เมื่อเผชิญกับข่าวลือในวัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับทำตัววางเฉยถึงอย่างไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางประสบกับเรื่องราวทำนองนี้หากเทียบกับจัดการกับข่าวลือ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการหาต้นตอของข่าวลือต่างหากอยู่ดี ๆ ไทฮองไทเฮาก็ขอให้อดีตรัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นี่เท่ากับเริ่มวางแผนอันแยบยลไว้เรียบร้อยแล้วทว่า แผนการอันแยบยลนี้ไม่น่าจะเป็นไทฮองไทเฮาที่ทรงวางแผนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองออกไปด้านนอก แววตาเยือกเย็นแฝงความไร้กังวลณ ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยตรวจสอบรายชื่ออาหารสำหรับงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจสาวใช้คนสนิทของนางเอ่ยด้วยความกังวลว่า“พระนาง หากท่านไม่สร้างโอกาสให้ฮองเฮากับอดีตรัชทายาทได้พบกัน ข่าวลือคงไม่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กลัวแค่ว่าฮองเฮาจะสงสัยมาที่ตัวท่าน”การถูกเนรเทศของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาไม่ใช่คนที่ควรหาเรื่องด้วย นางกลัวว่าพระสนมของนางก็จะถูกฮองเฮา...หนิงเฟยแค่นเสียงเย็นชาและไม่แยแส“สงสัยข้าแล้วจะอย่างไร? ข่าวลือเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย”แต่ที่น่าแปลกคือ หลายวันถัดมา ข่าวลือโหมกระพือหนักขึ้นทุกวัน ทางตำหนัก
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเมินเฉย ขณะที่จดจ่ออยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นางก็ยังวางแผนที่จะออกจากวังไปพร้อมกันด้วยหากมีนางเพียงคนเดียว ก็สามารถออกไปได้เลยทันทีทว่าตอนนี้ยังจะต้องคำนึงถึงตระกูลเฟิ่งหากนางจากไป ตระกูลเฟิ่งจะต้องรับผิด วิธีที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือการแกล้งตายและหลบหนีหากเป็นเช่นนั้น ทั้งตระกูลเฟิ่งและเซียวอวี้จะไม่ตามหานางอีกนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลด้วยทว่า ร่างกายของนางก็ยังดีอยู่ การตายอย่างกะทันหัน จะทำให้คนเกิดความสงสัยอย่างแน่นอนดังนั้น โอกาสนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากนางกำลังรอโอกาสนี้...“ฝ่าบาทเสด็จ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเก็บของเข้าที่ พร้อมกับลุกขึ้นต้อนรับ เซียวอวี้มาถึงตำหนักหย่งเหอเมื่อเห็นนางมีรอยคล้ำใต้ดวงตา จึงรู้ว่าหลายวันมานี้นางคงนอนหลับไม่เต็มอิ่มนักเพื่องานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ นางคงเหน็ดเหนื่อยจริง ๆแต่หารู้ไม่ว่า การที่เหน็ดเหนื่อยไม่พักผ่อนนั้น กลับทำเพื่อจะได้ออกจากวัง“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ?” แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งราวกับน้ำไร้ระลอกคลื่นเซียวอวี้นั่งอยู่ตรงที
ณ เมืองซาง จวนตระกูลเมิ่งโชคดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนแจ้งให้รู้ทันกาล ฮูหยินเมิ่งจึงเตรียมการล่วงหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยรู้ว่าหลานชายของนางตายก่อนวัยอันควรหญิงชรานั่งเอนกายอยู่บนเตียง พร้อมกุมมือลูกสะใภ้“คนแก่ชราอย่างข้า เหตุใดเจ้ายังอุตส่าห์นึกถึง ทั้งเดินทางรอนแรมมาไกล มาอยู่ฉลองวันไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนข้าอีก”ฮูหยินเมิ่งยิ้มน้อย ๆ “ท่านพี่ก็คิดถึงท่าน สามปีนี้ไม่เคยกลับบ้าน หวังว่าท่านจะเข้าใจและให้อภัย”“การภักดีต่อกษัตริย์และการตอบแทนต่อแผ่นดิน ลูกหลานทุกคนในตระกูลเมิ่งของข้าก็เป็นเช่นนี้ นั่นสิ สิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง สู้รบกับรัฐเหลียงครั้งนี้ เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”หญิงชราเป็นห่วงหลานชาย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ กลัวว่าจะได้ยินข่าวร้าย ฮูหยินเมิ่งย่อมแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้ายจากนั้น หญิงชราพลันเอ่ยอีกว่า“สิงโจวอายุครบ 20 ปีแล้ว พวกเจ้าในฐานะพ่อแม่ ก็ควรต้องคิดถึงเรื่องการแต่งงานของเขาได้แล้ว”ฮูหยินเมิ่งข่มความโศกเศร้าในใจ ยิ้มพร้อมพยักหน้า“ท่านแม่พูดถูก พอกลับไปข้าจะไปหารือกับท่านพี่ เพียงแต่ หลานชายของท่านตั้งมาตรฐานสูงนัก และช่างเลือกเจ้าค่ะ”ฮูหย
“สวรรค์! เลือด!” นางสนมจวงผู้ขวัญอ่อนกรีดร้องออกมาก่อนทุกคนต่างหันไปมองจึงเห็นว่า เศษกระเบื้องในมือของนางกำนัลผู้นั้นกรีดโดนมือของฮองเฮา จนมีเลือดไหลออกมา...นางกำนัลยิ่งหวาดกลัว และคุกเข่าลงอีกครั้งเหลียนซวงโมโหจนหายใจหอบ: “เจ้าเจตนา!”เซียวอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรมีสีหน้าเย็นชา และมองไปทางนางกำนัลที่ทำผิดผู้นั้น“พวกรนหาที่ตาย ลากตัวออกไป!”นางกำนัลตะโกนขอชีวิต จากนั้นนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา เพื่อจัดการบาดแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเรียบเฉย แสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของนางกำนัลผู้นั้นบิดามารดาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางนั้นด้วยความเป็นห่วงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น สาวใช้ที่อยู่ข้างบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนถือเข็มเงินเล่มหนึ่งอยู่ในมือ นางอาศัยจังหวะกำลังเทสุรา เล็งไปที่มือของบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร...มือของนางรวดเร็วฉับไว จนยากจะหลบหลีกได้บิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันรู้สึกเจ็บขึ้นมา และยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณทว่ามองเห็นแมลงเปลือกแข็งตัวหนึ่งอยู่บนพื้น เขากลับคิดว่าอาจจะถูกมันกัด จึงไม่ได้สนใจเซียวอวี้พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนว่า“ฮองเฮ
เมื่อเห็นถุงหอมและผ้าเช็ดหน้า สีหน้าของเซียวจั๋วพลันเปลี่ยนไป เขารู้ทันทีว่า ตนเองกับฮองเฮาถูกกลั่นแกล้งแล้วบิดามารดาเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ต่างมองหน้ากัน สีหน้าดูหวาดหวั่นและสงสัยข้าหลวงที่ทำของขวัญพลิกคว่ำผู้นั้นรู้ตัวว่าทำผิด จึงรีบเก็บของขึ้นมาด้วยท่าทางลนลานองค์ชายน้อยจากเหล่าราชนิกุลที่อยู่ด้านข้างซุกซนอยู่ไม่นิ่ง เขาวิ่งมาด้านหน้า และหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมา เขาคิดว่าตนรู้จักตัวอักษรบนนั้น จึงอ่านออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา“‘ขุนเขาสองฝั่งรอรับส่ง ผู้ใดรู้ซึ้งถึงการจากลา น้ำตาพี่เอ่อล้น น้ำตาน้องเอ่อคลอ สองใจผูกพันมิทันหมั้นหมาย กระแสน้ำใยจึงพัดพาไป’”“ท่านพ่อ บทกลอนนี้เศร้านัก! ไม่เหมือนได้อยู่พร้อมหน้าในวันไหว้พระจันทร์!”เหล่าพระสนมตกใจมากถึงกับอ้าปากค้าง และพากันมองหน้ากันบทกลอนรักนี้ บ่งบอกถึงความโศกเศร้าของคนที่มีใจรักมั่นต่อกันแต่ไม่อาจครองคู่กันของขวัญนี้ฮองเฮาเป็นคนจัดเตรียม และมอบให้กับอดีตรัชทายาทนั่นหมายความว่า...ฮองเฮายังคิดถึงอดีตรัชทายาทไม่เสื่อมคลาย!เซียวอวี้มองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชานางจะมีความรู้สึกต่ออดีตรัชทายาทได้อย่างไร?!เฟิ่ง
ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ทุกคนจึงต้องเปิดของขวัญทว่าการเปิดแต่ละคนมีก่อนหลัง ไม่นานนักก็มีคนพบ “ยาทาผิวแตก! ของหม่อมฉันมียาทาผิวแตกเพิ่มมาหนึ่งตลับ!” เมื่อมู่หรงฉานได้ยินดังนั้น แววตาดูเปลี่ยนไปโชคดีที่ในเวลานี้ หนิงเฟยที่อยู่ฝ่ายเดียวกับนางเอ่ยขึ้นว่า“ฝ่าบาท ต่อให้พบบางอย่างจริง ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าฮองเฮา...”“หนิงเฟย ของเจ้าเป็นอะไร!”นางสนมเจียที่อยู่ด้านข้างมือไม้ว่องไว นางฉวยจังหวะขณะที่หนิงเฟยกำลังพูด เปิดของขวัญของนาง และพบเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ“เอ๊ะ! เหตุใดจึงมีหนูตาย !”ใบหน้าหนิงเฟยซีดลงทันทีจากนั้น พระสนมคนอื่น ๆ พากันส่งเสียงกรีดร้อง “เหตุใดขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้จึงเคยถูกกัด! น่าสะอิดสะเอียน!”“นี่มันสิ่งใดกันอีก?”กระทั่งในของขวัญของไทเฮา ก็ยังมีสายรัดเอวขององครักษ์อยู่หนึ่งเส้นไทเฮาทรงสบตากับไทฮองไทเฮาผู้เป็นแม่สามี จากนั้นเอ่ยต่อฮ่องเต้ในทันทีว่า“ข้าอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกในวังหลังเด็ดขาด! ฝ่าบาท ท่านต้องสืบสวนให้กระจ่าง!”วุ่นวาย!วุ่นวายไปหมดแล้ว!มู่หรงฉานเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ในมือแอบกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นนางรีบหันไปมองเ
บนบัลลังก์มังกร เซียวอวี้ดูหนังสือร้องเรียนนั้นอย่างละเอียด ไม่พลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียวผ่านไปไม่นาน เขาเงยหน้าขึ้น คนแรกที่หันไปมอง ก็คือฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบสายตาลง ท่าทางดูนอบน้อม“หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่า หนังสือร้องเรียนนี้ผู้ใดนำเข้ามาในวัง อีกทั้งเหตุใดจึงใส่เข้าไปในของขวัญของจิ้งกุ้ยเหริน”หนิงเฟยมองฮองเฮาด้วยความประหลาดใจนางบอกกับฮองเฮาว่า มู่หรงฉานคิดจะสับเปลี่ยนของขวัญของอดีตรัชทายาทดังนั้นฮองเฮาจึงสับเปลี่ยนของขวัญของคนอื่นด้วย เพื่อสร้างความวุ่นวาย และล้างมลทินให้กับตนเอง นางไม่แปลกใจเลยว่าฮองเฮาลงมือทำแบบนี้ และยังคิดด้วยว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ทว่าหนังสือร้องเรียนนี้ เกินความคาดหมายของนางอย่างมากการใส่หนังสือร้องเรียนไว้ในของขวัญของมู่หรงฉาน...เป็นแผนซ้อนแผนอันร้ายกาจของฮองเฮาจริง ๆ ! ในตอนนี้ นางรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับฮองเฮา...แม้หนิงเฟยจะสำนึกได้ในภายหลัง นางก็ยังแอบร่วมมือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างลับ ๆ“ฝ่าบาท หากท่านไม่ขอให้พวกเราเปิดของขวัญ หนังสือร้องเรียนนี้คงถูกจิ้งกุ้ยเหรินนำกลับไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่านางจะจัดการกับสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่
“คุ้มกันฮ่องเต้!” เฉินจี๋อารักขาอยู่ด้านหน้าจักรพรรดิเซียวอวี้ลุกขึ้นยืน เขามองลงมาจากด้านบนไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยแต่คนอื่น ๆ ในท้องพระโรงไม่ได้สงบนิ่งเช่นนั้น พวกเขาตื่นตระหนก และมองหาที่ซ่อนเซียวอวี้สั่งว่า: “คุ้มกันไทฮองไทเฮากลับตำหนักก่อน!”ไทเฮาได้ยินคำพูดนี้รู้สึกขมขื่นฮูหยินเฟิ่งนั้น สิ่งแรกที่นึกถึงคือบุตรสาวของตน ทว่ากลับถูกบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนดึงตัวออกไป พร้อมทั้งตะคอกใส่ว่า“มีองครักษ์อยู่ตั้งมากมาย!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับนักฆ่าอยู่บ่อยครั้ง นางสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์รอบด้านได้ จึงมีลางสังหรณ์ว่า หากเป็นการลอบสังหารที่วางแผนรอบคอบ การยิงลูกธนูสะเปะสะปะจะต้องเป็นการพรางตา และเบี่ยงเบนความสนใจแผนการสังหารที่แท้จริง จะซ่อนอยู่ในตำแหน่งที่นึกไม่ถึงทันใดนั้นเอง นางก็มองเห็นแล้ว!ชายผู้หนึ่งดูลักษณะเหมือนขันที เขากำลังอาศัยความโกลาหลซ่อนตัวอยู่หลังเสา พร้อมกับเล็งเกาทัณฑ์แขนเสื้อ[1]ไปยังฮ่องเต้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอีกต่อไปในสมองของนางปรากฎอยู่สี่คำ--- คุ้มกัน! โอกาส!จากนั้นนางรีบวิ่งไปโดย
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี
ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ
ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป
ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ
“มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้