เมื่อเผชิญกับข่าวลือในวัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับทำตัววางเฉยถึงอย่างไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางประสบกับเรื่องราวทำนองนี้หากเทียบกับจัดการกับข่าวลือ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการหาต้นตอของข่าวลือต่างหากอยู่ดี ๆ ไทฮองไทเฮาก็ขอให้อดีตรัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นี่เท่ากับเริ่มวางแผนอันแยบยลไว้เรียบร้อยแล้วทว่า แผนการอันแยบยลนี้ไม่น่าจะเป็นไทฮองไทเฮาที่ทรงวางแผนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองออกไปด้านนอก แววตาเยือกเย็นแฝงความไร้กังวลณ ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยตรวจสอบรายชื่ออาหารสำหรับงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจสาวใช้คนสนิทของนางเอ่ยด้วยความกังวลว่า“พระนาง หากท่านไม่สร้างโอกาสให้ฮองเฮากับอดีตรัชทายาทได้พบกัน ข่าวลือคงไม่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กลัวแค่ว่าฮองเฮาจะสงสัยมาที่ตัวท่าน”การถูกเนรเทศของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาไม่ใช่คนที่ควรหาเรื่องด้วย นางกลัวว่าพระสนมของนางก็จะถูกฮองเฮา...หนิงเฟยแค่นเสียงเย็นชาและไม่แยแส“สงสัยข้าแล้วจะอย่างไร? ข่าวลือเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย”แต่ที่น่าแปลกคือ หลายวันถัดมา ข่าวลือโหมกระพือหนักขึ้นทุกวัน ทางตำหนัก
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเมินเฉย ขณะที่จดจ่ออยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นางก็ยังวางแผนที่จะออกจากวังไปพร้อมกันด้วยหากมีนางเพียงคนเดียว ก็สามารถออกไปได้เลยทันทีทว่าตอนนี้ยังจะต้องคำนึงถึงตระกูลเฟิ่งหากนางจากไป ตระกูลเฟิ่งจะต้องรับผิด วิธีที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือการแกล้งตายและหลบหนีหากเป็นเช่นนั้น ทั้งตระกูลเฟิ่งและเซียวอวี้จะไม่ตามหานางอีกนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลด้วยทว่า ร่างกายของนางก็ยังดีอยู่ การตายอย่างกะทันหัน จะทำให้คนเกิดความสงสัยอย่างแน่นอนดังนั้น โอกาสนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากนางกำลังรอโอกาสนี้...“ฝ่าบาทเสด็จ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเก็บของเข้าที่ พร้อมกับลุกขึ้นต้อนรับ เซียวอวี้มาถึงตำหนักหย่งเหอเมื่อเห็นนางมีรอยคล้ำใต้ดวงตา จึงรู้ว่าหลายวันมานี้นางคงนอนหลับไม่เต็มอิ่มนักเพื่องานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ นางคงเหน็ดเหนื่อยจริง ๆแต่หารู้ไม่ว่า การที่เหน็ดเหนื่อยไม่พักผ่อนนั้น กลับทำเพื่อจะได้ออกจากวัง“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ?” แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งราวกับน้ำไร้ระลอกคลื่นเซียวอวี้นั่งอยู่ตรงที
ณ เมืองซาง จวนตระกูลเมิ่งโชคดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนแจ้งให้รู้ทันกาล ฮูหยินเมิ่งจึงเตรียมการล่วงหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยรู้ว่าหลานชายของนางตายก่อนวัยอันควรหญิงชรานั่งเอนกายอยู่บนเตียง พร้อมกุมมือลูกสะใภ้“คนแก่ชราอย่างข้า เหตุใดเจ้ายังอุตส่าห์นึกถึง ทั้งเดินทางรอนแรมมาไกล มาอยู่ฉลองวันไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนข้าอีก”ฮูหยินเมิ่งยิ้มน้อย ๆ “ท่านพี่ก็คิดถึงท่าน สามปีนี้ไม่เคยกลับบ้าน หวังว่าท่านจะเข้าใจและให้อภัย”“การภักดีต่อกษัตริย์และการตอบแทนต่อแผ่นดิน ลูกหลานทุกคนในตระกูลเมิ่งของข้าก็เป็นเช่นนี้ นั่นสิ สิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง สู้รบกับรัฐเหลียงครั้งนี้ เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”หญิงชราเป็นห่วงหลานชาย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ กลัวว่าจะได้ยินข่าวร้าย ฮูหยินเมิ่งย่อมแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้ายจากนั้น หญิงชราพลันเอ่ยอีกว่า“สิงโจวอายุครบ 20 ปีแล้ว พวกเจ้าในฐานะพ่อแม่ ก็ควรต้องคิดถึงเรื่องการแต่งงานของเขาได้แล้ว”ฮูหยินเมิ่งข่มความโศกเศร้าในใจ ยิ้มพร้อมพยักหน้า“ท่านแม่พูดถูก พอกลับไปข้าจะไปหารือกับท่านพี่ เพียงแต่ หลานชายของท่านตั้งมาตรฐานสูงนัก และช่างเลือกเจ้าค่ะ”ฮูหย
“สวรรค์! เลือด!” นางสนมจวงผู้ขวัญอ่อนกรีดร้องออกมาก่อนทุกคนต่างหันไปมองจึงเห็นว่า เศษกระเบื้องในมือของนางกำนัลผู้นั้นกรีดโดนมือของฮองเฮา จนมีเลือดไหลออกมา...นางกำนัลยิ่งหวาดกลัว และคุกเข่าลงอีกครั้งเหลียนซวงโมโหจนหายใจหอบ: “เจ้าเจตนา!”เซียวอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรมีสีหน้าเย็นชา และมองไปทางนางกำนัลที่ทำผิดผู้นั้น“พวกรนหาที่ตาย ลากตัวออกไป!”นางกำนัลตะโกนขอชีวิต จากนั้นนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา เพื่อจัดการบาดแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเรียบเฉย แสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของนางกำนัลผู้นั้นบิดามารดาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางนั้นด้วยความเป็นห่วงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น สาวใช้ที่อยู่ข้างบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนถือเข็มเงินเล่มหนึ่งอยู่ในมือ นางอาศัยจังหวะกำลังเทสุรา เล็งไปที่มือของบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร...มือของนางรวดเร็วฉับไว จนยากจะหลบหลีกได้บิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันรู้สึกเจ็บขึ้นมา และยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณทว่ามองเห็นแมลงเปลือกแข็งตัวหนึ่งอยู่บนพื้น เขากลับคิดว่าอาจจะถูกมันกัด จึงไม่ได้สนใจเซียวอวี้พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนว่า“ฮองเฮ
เมื่อเห็นถุงหอมและผ้าเช็ดหน้า สีหน้าของเซียวจั๋วพลันเปลี่ยนไป เขารู้ทันทีว่า ตนเองกับฮองเฮาถูกกลั่นแกล้งแล้วบิดามารดาเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ต่างมองหน้ากัน สีหน้าดูหวาดหวั่นและสงสัยข้าหลวงที่ทำของขวัญพลิกคว่ำผู้นั้นรู้ตัวว่าทำผิด จึงรีบเก็บของขึ้นมาด้วยท่าทางลนลานองค์ชายน้อยจากเหล่าราชนิกุลที่อยู่ด้านข้างซุกซนอยู่ไม่นิ่ง เขาวิ่งมาด้านหน้า และหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมา เขาคิดว่าตนรู้จักตัวอักษรบนนั้น จึงอ่านออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา“‘ขุนเขาสองฝั่งรอรับส่ง ผู้ใดรู้ซึ้งถึงการจากลา น้ำตาพี่เอ่อล้น น้ำตาน้องเอ่อคลอ สองใจผูกพันมิทันหมั้นหมาย กระแสน้ำใยจึงพัดพาไป’”“ท่านพ่อ บทกลอนนี้เศร้านัก! ไม่เหมือนได้อยู่พร้อมหน้าในวันไหว้พระจันทร์!”เหล่าพระสนมตกใจมากถึงกับอ้าปากค้าง และพากันมองหน้ากันบทกลอนรักนี้ บ่งบอกถึงความโศกเศร้าของคนที่มีใจรักมั่นต่อกันแต่ไม่อาจครองคู่กันของขวัญนี้ฮองเฮาเป็นคนจัดเตรียม และมอบให้กับอดีตรัชทายาทนั่นหมายความว่า...ฮองเฮายังคิดถึงอดีตรัชทายาทไม่เสื่อมคลาย!เซียวอวี้มองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชานางจะมีความรู้สึกต่ออดีตรัชทายาทได้อย่างไร?!เฟิ่ง
ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ทุกคนจึงต้องเปิดของขวัญทว่าการเปิดแต่ละคนมีก่อนหลัง ไม่นานนักก็มีคนพบ “ยาทาผิวแตก! ของหม่อมฉันมียาทาผิวแตกเพิ่มมาหนึ่งตลับ!” เมื่อมู่หรงฉานได้ยินดังนั้น แววตาดูเปลี่ยนไปโชคดีที่ในเวลานี้ หนิงเฟยที่อยู่ฝ่ายเดียวกับนางเอ่ยขึ้นว่า“ฝ่าบาท ต่อให้พบบางอย่างจริง ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าฮองเฮา...”“หนิงเฟย ของเจ้าเป็นอะไร!”นางสนมเจียที่อยู่ด้านข้างมือไม้ว่องไว นางฉวยจังหวะขณะที่หนิงเฟยกำลังพูด เปิดของขวัญของนาง และพบเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ“เอ๊ะ! เหตุใดจึงมีหนูตาย !”ใบหน้าหนิงเฟยซีดลงทันทีจากนั้น พระสนมคนอื่น ๆ พากันส่งเสียงกรีดร้อง “เหตุใดขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้จึงเคยถูกกัด! น่าสะอิดสะเอียน!”“นี่มันสิ่งใดกันอีก?”กระทั่งในของขวัญของไทเฮา ก็ยังมีสายรัดเอวขององครักษ์อยู่หนึ่งเส้นไทเฮาทรงสบตากับไทฮองไทเฮาผู้เป็นแม่สามี จากนั้นเอ่ยต่อฮ่องเต้ในทันทีว่า“ข้าอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกในวังหลังเด็ดขาด! ฝ่าบาท ท่านต้องสืบสวนให้กระจ่าง!”วุ่นวาย!วุ่นวายไปหมดแล้ว!มู่หรงฉานเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ในมือแอบกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นนางรีบหันไปมองเ
บนบัลลังก์มังกร เซียวอวี้ดูหนังสือร้องเรียนนั้นอย่างละเอียด ไม่พลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียวผ่านไปไม่นาน เขาเงยหน้าขึ้น คนแรกที่หันไปมอง ก็คือฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบสายตาลง ท่าทางดูนอบน้อม“หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่า หนังสือร้องเรียนนี้ผู้ใดนำเข้ามาในวัง อีกทั้งเหตุใดจึงใส่เข้าไปในของขวัญของจิ้งกุ้ยเหริน”หนิงเฟยมองฮองเฮาด้วยความประหลาดใจนางบอกกับฮองเฮาว่า มู่หรงฉานคิดจะสับเปลี่ยนของขวัญของอดีตรัชทายาทดังนั้นฮองเฮาจึงสับเปลี่ยนของขวัญของคนอื่นด้วย เพื่อสร้างความวุ่นวาย และล้างมลทินให้กับตนเอง นางไม่แปลกใจเลยว่าฮองเฮาลงมือทำแบบนี้ และยังคิดด้วยว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ทว่าหนังสือร้องเรียนนี้ เกินความคาดหมายของนางอย่างมากการใส่หนังสือร้องเรียนไว้ในของขวัญของมู่หรงฉาน...เป็นแผนซ้อนแผนอันร้ายกาจของฮองเฮาจริง ๆ ! ในตอนนี้ นางรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับฮองเฮา...แม้หนิงเฟยจะสำนึกได้ในภายหลัง นางก็ยังแอบร่วมมือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างลับ ๆ“ฝ่าบาท หากท่านไม่ขอให้พวกเราเปิดของขวัญ หนังสือร้องเรียนนี้คงถูกจิ้งกุ้ยเหรินนำกลับไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่านางจะจัดการกับสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่
“คุ้มกันฮ่องเต้!” เฉินจี๋อารักขาอยู่ด้านหน้าจักรพรรดิเซียวอวี้ลุกขึ้นยืน เขามองลงมาจากด้านบนไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยแต่คนอื่น ๆ ในท้องพระโรงไม่ได้สงบนิ่งเช่นนั้น พวกเขาตื่นตระหนก และมองหาที่ซ่อนเซียวอวี้สั่งว่า: “คุ้มกันไทฮองไทเฮากลับตำหนักก่อน!”ไทเฮาได้ยินคำพูดนี้รู้สึกขมขื่นฮูหยินเฟิ่งนั้น สิ่งแรกที่นึกถึงคือบุตรสาวของตน ทว่ากลับถูกบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนดึงตัวออกไป พร้อมทั้งตะคอกใส่ว่า“มีองครักษ์อยู่ตั้งมากมาย!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับนักฆ่าอยู่บ่อยครั้ง นางสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์รอบด้านได้ จึงมีลางสังหรณ์ว่า หากเป็นการลอบสังหารที่วางแผนรอบคอบ การยิงลูกธนูสะเปะสะปะจะต้องเป็นการพรางตา และเบี่ยงเบนความสนใจแผนการสังหารที่แท้จริง จะซ่อนอยู่ในตำแหน่งที่นึกไม่ถึงทันใดนั้นเอง นางก็มองเห็นแล้ว!ชายผู้หนึ่งดูลักษณะเหมือนขันที เขากำลังอาศัยความโกลาหลซ่อนตัวอยู่หลังเสา พร้อมกับเล็งเกาทัณฑ์แขนเสื้อ[1]ไปยังฮ่องเต้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอีกต่อไปในสมองของนางปรากฎอยู่สี่คำ--- คุ้มกัน! โอกาส!จากนั้นนางรีบวิ่งไปโดย
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย