ในยามรัตติกาล บริเวณสถานที่พักแรมเงียบสงัดเฉียวม่อเดินไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยรอยยิ้มยินดี“ศิษย์พี่ ท่านมาได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือขึ้น วางบนไหล่ของนางเบา ๆเฉียวม่อแสร้งทำเป็นนิ่งไม่หลบหลีก ดวงตาทั้งสองข้างทอประกายดีใจ พร้อมกับมองมาที่นางเฟิ่งจิ่วเหยียนปัดใบไม้บนไหล่ของนาง ดวงตาเบื้องหลังหน้ากาก ปรากฏแววเย็นยะเยือก“มาส่งเจ้า”เฉียวม่อเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขอบตาพลันรื้นไปด้วยหยาดน้ำ“ศิษย์พี่ ข้า ข้านึกว่า…เรื่องในงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ ท่านยังเข้าใจข้าผิด ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจใยดีข้าอีกแล้ว…”นางกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างตื้นตัน “ศิษยพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นตรง มือที่วางแนบข้างลำตัว กำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นต่อมา นางก็ผลักเฉียวม่อออก จดจ้องดวงตาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถาม“จริงหรือ ไม่ได้โกหกข้าแน่นะ”เฉียวม่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น“แน่นอน! ศิษย์พี่ ข้ามีอะไรก็บอกท่านมาตลอด! ท่านวางใจได้ แม้นตอนนี้ข้าจะเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่ง แต่ตำแหน่งนี้ยังคงเป็นของท่านวันยังค่ำ ข้ากับอาจารย์และอาจารย์หญิงต่างเฝ้ารอให้ท่านกลับมา“ข้าจะไม่ยึดครองตั
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร แล้วทำความเคารพอย่างไม่ถือตัวและไม่ถ่อมตน“ถวายบังคมฝ่าบาท”หลิวซื่อเหลียงเหลือบมองฮองเฮา สีหน้าของนางดีขึ้นมาก ดูไม่เหมือนคนไม่สบาย ทว่าแววตานั้นกลับดูเย็นชากว่าปกติ ทอแววเยือกเย็นห้ามเข้าใกล้เซียวอวี้ดึงความสนใจจากสาส์นร้องทุกข์ เงยหน้ามองนาง แล้วเอ่ยถาม“มีเรื่องอะไร”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากกลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเพคะ”ในเมื่อสงสัยว่าเฉียวม่อคือบุคลคลลึกลับผู้นั้น ก็ต้องไปสืบหาหลักฐานประการแรก หากไม่มีหลักฐาน ย่อมไม่มีคนเชื่อนางประการที่สอง เพราะความสัมพันธ์ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมากับเฉียวม่อ จึงไม่อยากปรักปรำนางหากอยู่ในวังต่อไป ก็ไม่มีความหมายอันใดเฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบตาลง รอคำตอบของเซียวอวี้ทว่าชายหนุ่มกลับมองสำรวจมาที่นาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมยากที่จะโต้แย้ง“เจ้าเป็นฮองเฮา ไม่ควรออกจากวังไปโดยพลการ หากคิดถึงครอบครัว ให้พวกเขาเข้าวังมาก็ได้”หัวใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นวูบเดิมนางวางแผนไว้ว่าจะอาศัยข้ออ้างออกจากวังไปเยี่ยมบ้าน โดยใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบตบตา ไม่กลับมาที่นี่อีก ไม่คาดคิดเลยว่าเซียวอวี้จะเข้มงวดเช่นนี
ในตอนนั้นอดีตรัชทายาทลอบทำร้ายพี่ชาย จึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนลดสถานะเหลือเพียงสามัญชน ตามหลักแล้ว งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ เขาไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมไทฮองไทเฮาได้ยินความคิดเห็นของมู่หรงฉานครั้งแรก ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งมู่หรงฉานอ่อนโยนดุจสายน้ำ ดวงตาทอแววบริสุทธิ์อย่างมีเมตตา ราวกับว่าสามารถคลี่คลายความบาดหมางทุกอย่างในโลกได้ นางโน้มน้าวว่า“ท่านเคยบอกกับหม่อมฉัน ฝ่าบาทเคยตรัส ว่ายอมมีโอรสคนเดียว ดีกว่ามีหลายคนแล้วแก่งแย่งกัน“เห็นไทฮองไทเฮากังวลเรื่องนี้ หม่อมฉันก็พลอยเศร้าไปด้วย“จึงมีความเห็นว่า บางทีอาจจะใช้ประโยชน์จากอดีตรัชทายาท เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับฝ่าบาท เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจะเปลี่ยนความคิด ว่าการมีโอรสหลายองค์ต่างหากคือความสุข หากมีโอรสเพียงองค์เดียว คงโดดเดี่ยวเกินไป”เมื่อไทฮองไทเฮาได้ฟัง ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลหากฝ่าบาทพูดสิ่งใดอย่างมั่นเหมาะแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนคำง่าย ๆ หากเขาตั้งใจว่าจะมีโอรสเพียงองค์เดียวจริง ๆ เช่นนั้นเด็กคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องกำเนิดมาจากฮองเฮา ฉานเอ๋อร์ก็จะไม่หลงเหลือโอกาสอะไร“ข้าจะคิดดูอีกที”แม้นนางจะยินยอมให้อดีตรัชทาย
เซียวจั๋วอดีตรัชทายาท เขาอยู่ในชุดสามัญชนสีคราม ช่างดูขัดตากับพระราชวังอันโอ่อ่าหรูหราแห่งนี้เหลือเกิน ราวกับหมอกควันที่จู่ ๆ ลอยมาบนยอดเขาสูงเขายืนอยู่ด้านนอกตำหนักฉือหนิง อาจจะรอให้ไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าวันนี้สภาพอากาศไม่ดีนักเมฆดำลอยมาเป็นระยะ เงาดำมืดสลัวปกคลุมบนตัวเขาลมพัดแรงจนชายเสื้อเปิด ทั้งพัดเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง จนพองตัว ทำให้แขนเสื้อที่ปะชุนของเขายิ่งเห็นเด่นชัดเหลียนซวงมองเซียวจั๋วด้วยสีหน้าฉงน ในความทรงจำของนาง เขาเป็นคนมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ไม่เป็นรองใคร ทว่าตอนนี้กลับ...เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นท่าทางใจลอยของเหลียนซวงสำหรับเรื่องที่เหลียนซวงอาศัยแค่เงาด้านข้างก็จำอดีตรัชทายาทผู้นี้ได้นั้น นางไม่ได้ถามให้มากความในตอนนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจทว่าเหลียนซวงกลับรู้สึกกังวลใจ จึงเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ฮองเฮา นั่นคืออดีต...”“ข้ารู้” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ และส่งสายตาให้นางเป็นการตักเตือนหากแม้แต่ตนเองยังรู้สึกผิดจนไม่กล้าเดินหน้า คนอื่นจะยิ่งนำไปพูดจนบิดเบือนความจริง“ฮองเฮา” องครักษ์เฝ้าประตูทำความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวจั๋วได้ยินเสียงนั้
เมื่อเผชิญกับข่าวลือในวัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับทำตัววางเฉยถึงอย่างไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางประสบกับเรื่องราวทำนองนี้หากเทียบกับจัดการกับข่าวลือ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการหาต้นตอของข่าวลือต่างหากอยู่ดี ๆ ไทฮองไทเฮาก็ขอให้อดีตรัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นี่เท่ากับเริ่มวางแผนอันแยบยลไว้เรียบร้อยแล้วทว่า แผนการอันแยบยลนี้ไม่น่าจะเป็นไทฮองไทเฮาที่ทรงวางแผนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองออกไปด้านนอก แววตาเยือกเย็นแฝงความไร้กังวลณ ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยตรวจสอบรายชื่ออาหารสำหรับงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจสาวใช้คนสนิทของนางเอ่ยด้วยความกังวลว่า“พระนาง หากท่านไม่สร้างโอกาสให้ฮองเฮากับอดีตรัชทายาทได้พบกัน ข่าวลือคงไม่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กลัวแค่ว่าฮองเฮาจะสงสัยมาที่ตัวท่าน”การถูกเนรเทศของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาไม่ใช่คนที่ควรหาเรื่องด้วย นางกลัวว่าพระสนมของนางก็จะถูกฮองเฮา...หนิงเฟยแค่นเสียงเย็นชาและไม่แยแส“สงสัยข้าแล้วจะอย่างไร? ข่าวลือเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย”แต่ที่น่าแปลกคือ หลายวันถัดมา ข่าวลือโหมกระพือหนักขึ้นทุกวัน ทางตำหนัก
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับเมินเฉย ขณะที่จดจ่ออยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ นางก็ยังวางแผนที่จะออกจากวังไปพร้อมกันด้วยหากมีนางเพียงคนเดียว ก็สามารถออกไปได้เลยทันทีทว่าตอนนี้ยังจะต้องคำนึงถึงตระกูลเฟิ่งหากนางจากไป ตระกูลเฟิ่งจะต้องรับผิด วิธีที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือการแกล้งตายและหลบหนีหากเป็นเช่นนั้น ทั้งตระกูลเฟิ่งและเซียวอวี้จะไม่ตามหานางอีกนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลด้วยทว่า ร่างกายของนางก็ยังดีอยู่ การตายอย่างกะทันหัน จะทำให้คนเกิดความสงสัยอย่างแน่นอนดังนั้น โอกาสนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากนางกำลังรอโอกาสนี้...“ฝ่าบาทเสด็จ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเก็บของเข้าที่ พร้อมกับลุกขึ้นต้อนรับ เซียวอวี้มาถึงตำหนักหย่งเหอเมื่อเห็นนางมีรอยคล้ำใต้ดวงตา จึงรู้ว่าหลายวันมานี้นางคงนอนหลับไม่เต็มอิ่มนักเพื่องานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ นางคงเหน็ดเหนื่อยจริง ๆแต่หารู้ไม่ว่า การที่เหน็ดเหนื่อยไม่พักผ่อนนั้น กลับทำเพื่อจะได้ออกจากวัง“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ?” แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งราวกับน้ำไร้ระลอกคลื่นเซียวอวี้นั่งอยู่ตรงที
ณ เมืองซาง จวนตระกูลเมิ่งโชคดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนแจ้งให้รู้ทันกาล ฮูหยินเมิ่งจึงเตรียมการล่วงหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยรู้ว่าหลานชายของนางตายก่อนวัยอันควรหญิงชรานั่งเอนกายอยู่บนเตียง พร้อมกุมมือลูกสะใภ้“คนแก่ชราอย่างข้า เหตุใดเจ้ายังอุตส่าห์นึกถึง ทั้งเดินทางรอนแรมมาไกล มาอยู่ฉลองวันไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนข้าอีก”ฮูหยินเมิ่งยิ้มน้อย ๆ “ท่านพี่ก็คิดถึงท่าน สามปีนี้ไม่เคยกลับบ้าน หวังว่าท่านจะเข้าใจและให้อภัย”“การภักดีต่อกษัตริย์และการตอบแทนต่อแผ่นดิน ลูกหลานทุกคนในตระกูลเมิ่งของข้าก็เป็นเช่นนี้ นั่นสิ สิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง สู้รบกับรัฐเหลียงครั้งนี้ เขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”หญิงชราเป็นห่วงหลานชาย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ กลัวว่าจะได้ยินข่าวร้าย ฮูหยินเมิ่งย่อมแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้ายจากนั้น หญิงชราพลันเอ่ยอีกว่า“สิงโจวอายุครบ 20 ปีแล้ว พวกเจ้าในฐานะพ่อแม่ ก็ควรต้องคิดถึงเรื่องการแต่งงานของเขาได้แล้ว”ฮูหยินเมิ่งข่มความโศกเศร้าในใจ ยิ้มพร้อมพยักหน้า“ท่านแม่พูดถูก พอกลับไปข้าจะไปหารือกับท่านพี่ เพียงแต่ หลานชายของท่านตั้งมาตรฐานสูงนัก และช่างเลือกเจ้าค่ะ”ฮูหย
“สวรรค์! เลือด!” นางสนมจวงผู้ขวัญอ่อนกรีดร้องออกมาก่อนทุกคนต่างหันไปมองจึงเห็นว่า เศษกระเบื้องในมือของนางกำนัลผู้นั้นกรีดโดนมือของฮองเฮา จนมีเลือดไหลออกมา...นางกำนัลยิ่งหวาดกลัว และคุกเข่าลงอีกครั้งเหลียนซวงโมโหจนหายใจหอบ: “เจ้าเจตนา!”เซียวอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรมีสีหน้าเย็นชา และมองไปทางนางกำนัลที่ทำผิดผู้นั้น“พวกรนหาที่ตาย ลากตัวออกไป!”นางกำนัลตะโกนขอชีวิต จากนั้นนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา เพื่อจัดการบาดแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเรียบเฉย แสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของนางกำนัลผู้นั้นบิดามารดาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางนั้นด้วยความเป็นห่วงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น สาวใช้ที่อยู่ข้างบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนถือเข็มเงินเล่มหนึ่งอยู่ในมือ นางอาศัยจังหวะกำลังเทสุรา เล็งไปที่มือของบิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร...มือของนางรวดเร็วฉับไว จนยากจะหลบหลีกได้บิดาเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันรู้สึกเจ็บขึ้นมา และยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณทว่ามองเห็นแมลงเปลือกแข็งตัวหนึ่งอยู่บนพื้น เขากลับคิดว่าอาจจะถูกมันกัด จึงไม่ได้สนใจเซียวอวี้พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนว่า“ฮองเฮ
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี
ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ
ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป
ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ
“มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้