คำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน กระตุ้นให้มู่หรงจ่างจี๋เผยธาตุแท้ออกมาอย่างหมดเปลือก เขาจับกรงประตูคุก ราวกับอยากฉีกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกออกเป็นสองท่อน “เจ้าคนต่ำช้า! กล้าสาปแช่งไท่จู่อย่างนั้นรึ!” “หากไม่ใช่เพราะปฐมจักรพรรดิต่อสู้ก่อตั้งแผ่นดินนี้ขึ้นมา พวกเจ้ายังจะมีวันนี้ได้หรือ? “โดยเฉพาะเจ้า! เจ้าเด็กสกุลเซียว! หากเจ้ายังอยากให้ไท่จู่มีชีวิตอยู่ ก็รีบปล่อยข้าไปเสีย!” สีหน้าเซียวอวี้เยือกเย็น แววตาสงบนิ่ง “ปฐมจักรพรรดิ ตอนนี้อยู่ที่ใด” มู่หรงจ่างจี๋ไม่เชื่อใจเขา “ปล่อยข้าออกไป! มิฉะนั้น เจ้าจะกลายเป็นคนทรยศต่อแผ่นดิน!” น้ำเสียงเซียวอวี้สงบใจเย็น อดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองไว้“หากไท่จู่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นเรื่องดี ทว่า เจ้าต้องบอกเรา พระองค์อยู่ที่ใดกันแน่!” มู่หรงจ่างจี๋จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเซียวอวี้ เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยสถานที่ออกมาในที่สุด...ภูเขาลิ่วจื่อ ภูเขาลิ่วจื่อแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เซียวอวี้รีบนำคนเดินทางไปด้วยตนเองทันที เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่วางใจ เกรงว่ามู่หรงจ่างจี๋จะวางกับดักหรือซ่อนกลไกไว้ในภูเขาลิ่วจื่อ ดังนั้น นางจึงตัดสินใจต
“แม่ทัพน้อย สารด่วนที่สุด! คุณหนูใหญ่ได้รับความอัปยศจนปลิดชีพตัวเอง นายหญิงต้องการให้ท่านกลับโดยเร็วที่สุด เพื่ออภิเษกสมรสแทนคุณหนูใหญ่!”ชายแดนแคว้นหนานฉี เกือกม้าย่ำผ่านลำธารที่เพิ่งละลาย หยดน้ำกระเซ็นซ่านเฟิ่งจิ่วเหยียนควบม้านำอยู่หน้าสุด นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแขนสอบสีดำ ใช้ปิ่นไม้อันเดียวรวบผมดำขลับ เส้นผมและชายชุดสะบัดพลิ้ว ในความองอาจเหนือคนนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์อันคุกรุ่นนางกับเฟิ่งเวยเฉียงน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากการมีฝาแฝดไม่เป็นมงคล นางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็กเวยเฉียงมีนิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยผูกความแค้นกับใครนางไม่เข้าใจเลย ใครจะทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนั้นนางจะจับคนผู้นั้นมาถลกหนังเลาะกระดูก สับเป็นชิ้น ๆ ป้อนให้สุนัขกินเสีย!องครักษ์เห็นว่าจะตามไม่ทันความเร็วของนางแล้วจึงตะโกนว่า“แม่ทัพน้อย ตอนนี้ควบม้าตายไปสองตัวแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม แวะพักก่อนดีหรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดแส้ม้า“ตามไม่ทันก็ไสหัวกลับค่ายทหาร! ย่าห์!”โง่เง่า! มีเวลามาพักผ่อนเสียที่ไหน!สิ่งที่นางแบกรับอยู่ตอนนี้คือหนึ่งร้อยกว่าชีวิตในตระกูลเฟิ่ง!องคร
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ในห้องหรี่ดวงเนตรงามลงเล็กน้อยวันนี้ไม่ว่าผลตรวจร่างกายเป็นเช่นไร ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้นหวงกุ้ยเฟยจะต้องตัดสินว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ จากนั้นก็ใช้เหตุนี้สร้างเรื่องตามมาถ้าคนที่มาสวมรอยแทนอย่างนางถูกตรวจร่างกายได้ผลว่ายังบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถป้องกันแผนร้ายของหวงกุ้ยเฟย แต่ก็คงจะทำให้หวงกุ้ยเฟยนึกสงสัยขึ้นมาทันทีที่เรื่องสวมรอยแต่งงานมีพิรุธปรากฏ ถึงยามนั้นโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็เพียงพอให้ตระกูลเฟิ่งประสบหายนะได้แล้ว!สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปข้างหน้า ใช้มือที่จับทวนมาจนชินนั้นแต้มบุปผาตรงหว่างคิ้วของตนเองอย่างหนักแน่นสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนนางมีเพียงหลักพิชัยสงครามและหลักการเป็นขุนนางอาจารย์หญิงเคยสอนหลักการครองเรือนให้นาง ในนั้นย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติในวังหลวงด้วยเช่นกัน ยามนั้นแม้นางได้เรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้งานเพราะปณิธานของนางอยู่ที่ใต้หล้า ไม่ต้องการถูกคุมขังไว้ในเรือน เป็นเพียงภรรยาตัวน้อยที่โอนอ่อนผ่อนตามสามีคิดไม่ถึงว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตนอกห้องขันทีผู้นั้นเดินนำนางกำนัลจากในวังหลวงตรงมา
ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก
ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว
กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
คืนนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่านางต้องถูกเอาเปรียบซักครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วที่จริงเมื่อเทียบกับโดนฮ่องเต้ทรราชนี่พรากคืนแรกไป ให้ทำเองยังนับว่าดีกว่ามากนักอย่างน้อยก็ไม่ต้องทนถูกคนกดไว้ข้างล่างเฟิ่งจิ่วเหยียนฉีกผ้าจากชายกระโปรงออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาปูรองไว้เป็นผ้าพรหมจรรย์[1]หลังจากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นมา อีกข้างพลิกมือจับกริชนั้นถึงแม้นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำ แต่ร่างกายยังคงต่อต้านโดยสัญชาตญาณนางปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่าโดนแทงหนึ่งทีแล้วกันตั้งแต่เล็กจนโตนางบาดเจ็บมาน้อยหรือไร?จากนั้นนางก็เริ่มออกแรง...เพียงชั่วพริบตานั้นเองพละกำลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับข้อมือนางเอาไว้แน่นเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเซียวอวี้แย่งกริชในมือนางไปอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก“ช่างเป็นสตรีที่โง่เสียจริง”เคร้ง!กริชถูกโยนออกไปนอกม่านเตียงอักษรมงคล“เจ้าจะบริสุทธิ์หรือไม่ เราไม่แยแสแม้แต่น้อย”“ในเมื่อเจ้ากล้าแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป็นฮองเฮาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าแกล้งโง่ไปเลย”“ดังเช่นที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่ที่ตำหนักห
คำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน กระตุ้นให้มู่หรงจ่างจี๋เผยธาตุแท้ออกมาอย่างหมดเปลือก เขาจับกรงประตูคุก ราวกับอยากฉีกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกออกเป็นสองท่อน “เจ้าคนต่ำช้า! กล้าสาปแช่งไท่จู่อย่างนั้นรึ!” “หากไม่ใช่เพราะปฐมจักรพรรดิต่อสู้ก่อตั้งแผ่นดินนี้ขึ้นมา พวกเจ้ายังจะมีวันนี้ได้หรือ? “โดยเฉพาะเจ้า! เจ้าเด็กสกุลเซียว! หากเจ้ายังอยากให้ไท่จู่มีชีวิตอยู่ ก็รีบปล่อยข้าไปเสีย!” สีหน้าเซียวอวี้เยือกเย็น แววตาสงบนิ่ง “ปฐมจักรพรรดิ ตอนนี้อยู่ที่ใด” มู่หรงจ่างจี๋ไม่เชื่อใจเขา “ปล่อยข้าออกไป! มิฉะนั้น เจ้าจะกลายเป็นคนทรยศต่อแผ่นดิน!” น้ำเสียงเซียวอวี้สงบใจเย็น อดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองไว้“หากไท่จู่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นเรื่องดี ทว่า เจ้าต้องบอกเรา พระองค์อยู่ที่ใดกันแน่!” มู่หรงจ่างจี๋จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเซียวอวี้ เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยสถานที่ออกมาในที่สุด...ภูเขาลิ่วจื่อ ภูเขาลิ่วจื่อแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เซียวอวี้รีบนำคนเดินทางไปด้วยตนเองทันที เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่วางใจ เกรงว่ามู่หรงจ่างจี๋จะวางกับดักหรือซ่อนกลไกไว้ในภูเขาลิ่วจื่อ ดังนั้น นางจึงตัดสินใจต
เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดต่อไป “ความผิดข้อที่สอง ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์” มู่หรงจ่างจี๋ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฮ่าๆ... เจ้าเด็กโง่เขลา พูดจาเหลวไหล! ฝ่าบาท แม้นต้องการให้ข้าตาย ก็ไม่เห็นต้องใส่ร้ายกันถึงเพียงนี้กระมัง!” สีหน้าของเขาดูแน่วแน่ไม่หวาดหวั่น ทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดตามตรง “คนที่เจ้าลอบสังหารคือ ผู้ใกล้ชิดปฐมจักรพรรดิในตอนนั้น” คำพูดนี้ แม้นแต่เซียวอวี้ยังต้องตกตะลึง มู่หรงจ่างจี๋เคยสังหารผู้ใดกัน? จิ่วเหยียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? เวลานี้ มู่หรงจ่างจี๋กลับเงียบสงบผิดปกติ สายตาจับจ้องเฟิ่งจิ่วเหยียน “ฝ่าบาทเคยตรัสถึงหายนะจากศิลาทิพย์ นับจากสถาปนาแคว้นหนานฉี เหล่าผู้ใกล้ชิดปฐมจักรพรรดิต่างล้มตายอย่างลึกลับ ในเวลานั้นทุกคนเชื่อว่า เป็นเพราะคำสาปของศิลาทิพย์ แต่แท้จริงแล้ว คนเหล่านั้นถูกเจ้ามู่หรงจ่างจี๋ทำร้ายต่างหาก!” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดออกมา นัยน์ตามู่หรงจ่างจี๋หดลงทันที น้ำเสียงของนางราบเรียบ ผู้คนรอบข้างกลับตื่นตระหนกร้อนรน “หากข้าคาดเดาไม่ผิด ตอนนั้นปฐมจักรพรรดิทรงประชวรนัก เจ้ามัวแต่แสวงหาวิธีเป็นอมตะ หลงมัวเมาในศาสตร์มาร ใช้เลือดของผู้ใกล้ชิดไท
นักพรตอาวุโสคนนั้น เป็นนักพรตปลอมที่เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดหามา เขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจากแคว้นฉู่ ทว่ามีอายุยืนยาวสามร้อยกว่าปีเป็นเรื่องจริง ใช้แผนการนี้ เพียงเพื่อล่อตัวการของคดีมนุษย์โอสถ เพราะนางสันนิษฐานว่า เป้าหมายสูงสุดของคนผู้นั้น คือการมีชีวิตเป็นอมตะ ดังนั้น คราวนี้จะต้องประสบความสำเร็จให้จงได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเต้นระส่ำ กระสับกระส่ายไม่เป็นสุข เซียวอวี้พูดเตือนนาง “ยาเย็นหมดแล้ว ดื่มยาเสียก่อน” ……ค่ำคืนล่วงเลยไป มีข่าวจากข้างนอกวังมารายงาน...ตามหานักพรตอาวุโสคนนั้นเจอแล้ว เมื่อเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินข่าวนี้ ต่างก็รู้ว่าต้องมีอีกข่าวหนึ่งตามมาด้วย “ฝ่าบาท พวกหยิ่นเอ้อร์ได้จับตัวคนร้ายไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้กำลังนำตัวไปยังคุกเทียนเหลาเพื่อสอบสวนพ่ะย่ะค่ะ!” อารมณ์เซียวอวี้กระวนกระวาย เขาร้อนรุ่มใจ อยากรู้ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่อาจทนรอจนถึงรุ่งสาง เขากับเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบมุ่งหน้าไปยังคุกเทียนเหลาทันที ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายในคุกเทียนเหลา พวกเขาได้เจอคนที่ลักพาตัวนักพรตอาวุโสเฒ่าไป และเป็นไปได้สูงว่านี่คือผู้อยู่เบื้องหลัง
ปลายเดือนสี่ คดีมนุษย์โอสถจบลงในที่สุด ผู้บงการตัวจริงคือมู่หรงสวี้ ส่วนคนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงล้วนพ้นผิด เหล่าสมาชิกของขบวนการมนุษย์โอสถ ล้วนถูกตัดสินโทษประหาร รอการลงดาบในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้ไม่ขาดปาก “ในที่สุด เรื่องนี้ก็จบลงสักที!”“ศาลต้าหลี่ทำคดีเก่งกาจยิ่งนัก!” “เรื่องฉาวโฉ่ของตระกูลมู่หรงช่างมีมากมายจริง ๆ หากพูดว่าคนอื่น ๆ ในตระกูลไม่เกี่ยวข้อง ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด” “ข้าก็คิดเช่นนี้ ไม่แน่มู่หรงสวี้อาจเป็นแค่แพะรับบาป!” อย่างไรเสีย เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกลักพาตัวไปทำมนุษย์โอสถอีกต่อไป ภายใต้แสงตะวัน ทุกสิ่งยังคงดำเนินไป ต้นเดือนห้า เมืองหลวงเกิดข่าวลือใหม่ ตามโรงน้ำชาและโรงสุรา ผู้คนต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อนมีนักพรตผู้หนึ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง บอกว่ามีวิชาทำให้มีชีวิตเป็นอมตะ ผู้คนพากันไปกราบไหว้จนธรณีประตูของเขาแทบพัง!” “ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ในใต้หล้าจะมีชีวิตเป็นอมตะได้อย่างไรกัน” “ข้ายัง
เซียวอวี้ตามความคิดของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ทัน เมื่อครู่ยังพูดถึงมู่หรงจ่างจี๋อยู่แท้ ๆ ทำไมตอนนี้ถึงวกไปพูดถึงปฐมจักรพรรดิได้? ทว่าเขาก็ยังตอบนาง “ไท่จู่ฝังที่สุสานตะวันออก” เพื่อป้องกันการถูกปล้นสุสาน สุสานปฐมจักรพรรดิมีทั้งหมดสิบสามแห่ง ล้วนมีเวรยามคอยเฝ้าปกป้องแน่นหนา ความจริง ทั้งสิบสามแห่งนั้นล้วนเป็นของปลอม สถานที่ฝังพระศพที่แท้จริง มีเพียงจักรพรรดิในแต่ละยุคเท่านั้นที่ล่วงรู้ เฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาท ทรงเปิดสุสานได้หรือไม่เพคะ?” เซียวอวี้ขมวดคิ้วทันที“ไม่ได้” ปฐมจักรพรรดิเสด็จสวรรคตไปนานแล้ว เขาจะทำลายความสงบของท่านได้อย่างไร เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้าใจ คำขอนี้ทำให้เขาลำบากใจ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความจริงของคดีมนุษย์โอสถ นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผู้ที่ต้องการมีชีวิตอมตะที่แท้จริง อาจไม่ใช่มู่หรงจ่างจี๋ แต่เป็นปฐมจักรพรรดิ” เซียวอวี้ตกตะลึงอย่างมาก อ้าปากเล็กน้อย “จิ่วเหยียน เจ้าพูดจาเลอะเลือน “เจ้าหมายความว่า คนที่อยู่เบื้องหลังคดีมนุษย์โอสถ คือปฐมจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?” เรื่องนี
ก่อนหน้านี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเคยสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับบันทึกบรรพบุรุษของตระกูลมู่หรง จึงเคยเห็นภาพวาดนี้มาก่อน ตามบันทึกกล่าวไว้ว่า ปฐมจักรพรรดิทรงขยายดินแดนรวบรวมแผ่นดิน โดยได้รับการสนับสนุนจากมู่หรงจ่างจี๋ที่ยอมสละยุทธสัมภาระ มู่หรงจ่างจี๋ในวัยเพียงสี่สิบ ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีได้ไม่ถึงสามปี ก็จากโลกนี้ไปตลอดกาล ภาพบุคคลที่อยู่เบื้องหลังที่ตงฟางซื่อวาดขึ้นมาในตอนนี้ ใบหน้าคล้ายคลึงกับมู่หรงจ่างจี๋อย่างมาก เซียวอวี้ก็นำภาพวาดมาเทียบกัน เขามองภาพวาดในมือ แล้วก็มองภาพวาดที่บันทึกไว้ ถึงจะไม่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็มีความคล้ายถึงเก้าส่วนจากสิบ! เขาสบตากับเฟิ่งจิ่วเหยียน “อาจเป็นเพียงคนหน้าคล้ายกัน หรือไม่ก็อาจเป็นบุตรนอกสมรสของตระกูลมู่หรงที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างนอก”อย่างไรก็ตาม เขาไม่เชื่อว่ามู่หรงจ่างจี๋จะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางท่องยุทธภพมานาน เคยพบเจอเรื่องราวประหลาดมามากมาย ที่แคว้นฉู่มีชายชราท่านหนึ่ง อายุมากถึงสามร้อยกว่าปี นักพรตอาวุโสของสำนักเทพยุทธ์ มีอายุยืนยาวถึงสองร้อยสิบเจ็ดปี แคว้นหนานฉีสถาปนาราชวงศ์มายาวนานกว่าสองร้
หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความจริงเรื่องที่เซียวอวี้รับนางกลับมา เป็นเพราะกลัวว่านางจะไปแคว้นซีหนี่ว์แล้วไม่กลับมาอีก ก็นิ่งเงียบอยู่นานขณะที่เซียวอวี้กำลังครุ่นคิดว่าจะยอมรับผิดอย่างไร จู่ ๆ นางก็จุมพิตเบา ๆ ที่ริมฝีปากเขาเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก้มลงจุมพิตเขาอีกครั้ง การกระทำดูนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรู้สึกปลอบโยน“เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิท่านได้ ท่านไม่เชื่อ เป็นเพราะหม่อมฉันให้ความเชื่อมั่นกับท่านไม่มากพอ“ถานไถเหยี่ยนมีทักษะในการพูด และมักจะทำให้คนหลงเชื่อได้ง่าย“ทว่า ฝ่าบาท หม่อมฉันจะบอกท่านให้ชัดเจนว่า ในใจของหม่อมฉัน ที่ที่มีคนในครอบครัวอยู่ ที่นั่นถึงจะเป็นบ้าน“ท่านเป็นสามีของหม่อมฉัน แม้จะไม่ใช่เครือญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ท่านเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ของหม่อมฉัน“ต่อให้แคว้นซีหนี่ว์จะดีเพียงใด ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับท่าน”เซียวอวี้นิ้วมือสั่นเทา“จริงหรือ?”ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ จึงถามอีกครั้ง: “เราเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเจ้าจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามกลับ: “ไม่ใช่ท่าน แล้วจะเป็นใครได้เพคะ?”เรื่
ในที่ประชุมเช้าเหล่าขุนนางที่ร่วมประชุมรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง พากันเรียกร้องให้ตรวจสอบตระกูลมู่หรงอย่างเข้มงวด“ฝ่าบาท ในเมื่อได้สืบพบความผิดปกติภายในหอบรรพบุรุษของตระกูลมู่หรง อีกทั้งยังค้นพบรังมนุษย์โอสถที่จวนของมู่หรงสวี้ เช่นนั้นก็ต้องตรวจสอบคนอื่นในตระกูลมู่หรงอย่างเข้มงวดด้วย!” “กระหม่อมเห็นด้วย! จะต้องไม่ใช่การกระทำของมู่หรงสวี้เพียงผู้เดียวเป็นแน่ คนอื่น ๆ ในตระกูลมู่หรงต่อให้ไม่มีส่วนร่วมโดยตรง ก็มีความผิดฐานปกปิด! ความผิดฐานละเลยไม่ตรวจสอบ!”เริ่มต้นหลังจากเกิดความวุ่นวายที่วิหารบรรพบุรุษ ตระกูลมู่หรงก็ไม่ต่างจากสภาพของกำแพงที่คลอนแคลนและถูกผู้คนผลักให้ล้มลงตอนนี้คดีมนุษย์โอสถทำให้ขุนนางที่ไม่มีความผิดหลายคนถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง และสร้างความวุ่นวายจนทำให้ผู้คนตื่นตระหนก ทุกคนจึงสะสมความคับแค้นมาเป็นเวลานานในเมื่อสืบพบตัวการที่กระทำความผิด ก็ต้องลงโทษให้หนัก ถึงจะระงับความโกรธแค้นของราษฎรได้ดังนั้นแล้ว ตระกูลมู่หรงจึงถูกคุมขังทั้งตระกูลอีกครั้งครั้งก่อนก็มีบิดาของมู่หรงหลัน---มู่หรงเหลียนสละชีพปกป้องทั้งตระกูลครั้งนี้ โอกาสรอดชีวิตของตระกูลมู่หรงมีน้อยเห
ณ ห้องทรงพระอักษร“ฝ่าบาท รุ่ยอ๋องและพระชายาถูกช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว! รุ่ยอ๋องกำลังรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนัก มีเรื่องสำคัญจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ได้ยินเช่นนั้น เซียวอวี้จึงรีบสั่งให้รุ่ยอ๋องเข้ามาในตำหนักทันทีไม่นาน รุ่ยอ๋องก็มาถึงเขาทำความเคารพทันที: “กระหม่อม ถวายบังคมฝ่าบาท!”เซียวอวี้เห็นสภาพร่างกายและจิตใจของเขายังดีอยู่ ในใจก็คลายกังวลลงบ้าง“ปลอดภัยก็ดี”รุ่ยอ๋องสีหน้าดูคร่ำเคร่ง“ฝ่าบาท สาเหตุที่กระหม่อมถูกจับ เป็นเพราะพวกเขาต้องการเลือดของกระหม่อม นี่ทำให้กระหม่อมนึกถึงการตายของบิดา”เซียวอวี้กลับเพิ่งได้ยินเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกเขาจ้องมองไปที่รุ่ยอ๋อง “ต้องการเลือดของเจ้าเพราะเหตุใด? แล้วพวกเขาได้ไปหรือไม่?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะ“กระหม่อมไม่รู้สิ่งใดเลย เพียงแต่สงสัยว่า คนที่สังหารบิดากระหม่อม และจับตัวกระหม่อม อาจจะเป็นพวกเดียวกัน”เซียวอวี้คิ้วขมวดแน่นความคับข้องใจที่ถูกใส่ร้ายของท่านอ๋องผู้เฒ่า เขาเข้าใจเป็นอย่างดีฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงเสียพระทัยมาตลอดและเนื่องด้วยความผิดพลาดในอดีตที่เป็นข้อเตือนใจนี้ ทุกครั้งที่มีคนกล่าวหาว่าเมิ่งสิงโจวมีกองก