หลังจากหมอเทวดาเหยียนตรวจชีพจรให้มู่หรงจ่างจี๋ ก็พบว่าคนผู้นี้สุขภาพแข็งแรงกว่าคนแก่ทั่วไปมาก ไม่ได้มีป่วยร้ายแรงอะไร“ทูลฝ่าบาท ที่คนผู้นี้พูดเหลวไหลไปทั่ว น่าจะเพราะเป็นโรคความจำเสื่อม...”“ข้าไม่ได้บ้านะ! เจ้าต่างหากที่บ้า!” มู่หรงจ่างจี๋เถียงหมอเทวดาเหยียนกลับจากนั้นก็มุ่งไปหาเซียวอวี้“ไล่พวกเขาออกไปเร็วเข้า ข้าจะทำให้ปฐมจักรพรรดิฟื้นคืนชีพ! หากพลาดเวลาไป พวกเจ้าจะต้องถูกตัดหัว!”เซียวอวี้ไม่ได้สนใจมู่หรงจ่างจี๋ เพียงให้คนควบคุมตัวเขาเอาไว้ เขาจะได้ไม่วิ่งไปไหนมั่วซั่วหมอเทวดาเหยียนไม่ถือสาคนป่วยเขาพูดต่อ“โรคความจำเสื่อม เป็นโรคทางใจ“อาการป่วยประเภทนี้ ปกติแล้วสิ่งที่คิดจะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน อย่างเช่นเห็นภาพเพ้อฝันที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง“สิ่งที่คนปกติเห็นคือกระดูกสีขาว เขากลับเห็นเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงให้เห็นว่าเขาถูกครอบงำด้วยความหมกมุ่นในใจของเขา อาการหนักจนรักษาไม่ได้แล้ว กระหม่อมจนปัญญา”หมอสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกและภายในได้ ทว่าไม่อาจรักษาใจคนได้โดยเฉพาะความยึดติดที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้เซียวอวี้มองไปย
ไทฮองไทเฮาอยากจะไปพบบรรพบุรุษที่คุกเทียนเหลา ทว่าฮ่องเต้ทรงมีคำสั่งว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วยเหตุนี้ ไทฮองไทเฮาจึงได้แต่ส่งคนเข้าไปรายงานในวังก่อนทว่าต่อให้ฮ่องเต้อนุญาต มู่หรงจ่างจี๋ผู้นั้นก็ไม่ยินดีจะพบคนอื่นเขาดึงดันที่จะเชื่อว่ายังมีหนทางช่วยปฐมจักรพรรดิได้ยามนี้ตนถูกขังไว้ที่คุกเทียนเหลา จึงร้อนใจยิ่ง“ฮ่องเต้น้อยอยู่ที่ไหน รีบเรียกเขามาพบข้า!”มู่หรงจ่างจี๋ไม่เห็นหัวเหล่าคนรุ่นหลังแม้แต่น้อยในสายตาของเขา แผ่นดินแคว้นหนานฉีนี้ เป็นเขาที่ช่วยปฐมจักรพรรดิรบชนะมา วีรบุรุษในใต้หล้านี้ เขายอมรับเพียงปฐมจักรพรรดิพระองค์เดียวเท่านั้นเด็กตระกูลเซียวนั่นนับเป็นตัวอะไร ถึงกับกล้าห้ามไม่ให้เขาช่วยปฐมจักรพรรดิ!มู่หรงจ่างจี๋ร้อนใจอยากรีบออกไป ทุกวันตะโกนว่าต้องการพบฝ่าบาทหารู้ไม่ว่าเพื่อที่จะให้มู่หรงจ่างจี๋ยอมรับความผิด เซียวอวี้จึงตั้งใจเมินเขาจนถึงวันที่ห้า ผู้คุมก็บอกมู่หรงจ่างจี๋ “ฝ่าบาทมีคำสั่ง หากเจ้าไม่สารภาพความผิดทั้งหมดออกมาพร้อมลงนาม เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนวันตาย!”มู่หรงจ่างจี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“เหิมเหริม! เหลวไหล! เขารู
เลี่ยอู๋ซินเองก็นับว่าสร้างผลงานแล้วหากไม่ใช่เขา คงจะมีคนถูกปล่อยเลือดจนแห้งตายอีกเขาจับนักฆ่าพวกนั้นกลับมาแล้ว ส่งไปที่คุกเทียนเหลา สอบปากคำด้วยตนเอง ไม่คิดจะพักแม้แต่น้อยตอนแรกนักฆ่าพวกนั้นไม่ยอมสารภาพต่อมาเมื่อรู้ว่ามู่หรงจ่างจี๋ถูกจับกุม พวกเขาสูญเสียความหวังจากนั้นพวกเขาถึงได้ยอมสารภาพความจริง “พวกเราล้วนปฏิบัติตามคำสั่ง...”ที่จับตัวเซียวจั๋วไป ก็เพื่อเลือดของเขาแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าปฐมจักรพรรดิกลายเป็นโครงกระดูกไปเมื่อไหร่ พวกเขาก็ยังพูด“ไม่มีเรื่องอย่างการมีชีวิตอมตะ ปฐมจักรพรรดิเป็นโครงกระดูกองหนึ่งแต่แรกแล้ว!“สองร้อยปีก่อน หลังจากมู่หรงจ่างจี๋ขโมยโครงกระดูกออกมา ก็คิดว่าสามารถฟื้นคือชีพปฐมจักรพรรดิให้กลับมามีชีวิตได้ ที่จริงเป็นความคิดเพ้อเจ้อ!“นั่นมันก็คือคนที่ตายไปแล้ว!”น้ำเสียงที่พวกเขาใช้พูดถึงเรื่องนี้มีความเยาะหยันมู่หรงจ่างจี๋อยู่สองร้อยปีมาแล้วที่มู่หรงจ่างจี๋เอาแต่ทำเรื่องไร้ประโยชน์ในสายตาของพวกเขา คนผู้นี้ก็คือคนโง่ผู้หนึ่งเจ้าหน้าที่และเลี่ยอู๋ซินสอบปากคำพวกเขา “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปฐมจักรพรรดิไม่มีพระชนม์ชีพมาก่อน? ถ้ามู่หรงจ่างจี๋
ครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าปฐมจักรพรรดิ เขาก็นอนป่วยหายใจรวยรินอยู่บนเตียงแล้ว——[จ่างจี๋...น้องรอง เจ้าเข้าใจเราดี เรายังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ ยังไม่ได้จัดตั้งนโยบายบริหารบ้านเมืองใหม่ รัชทายาทก็ยังเด็กนัก...จ่างจี๋เอ๋ย เราเพียงแต่เกลียดที่สวรรค์ใจแคบ ไม่ยอมให้เราอยู่อีกซักสองสามปี ต่อให้เป็นแค่ปีเดียว ให้เราอยู่ต่ออีกซักปีก็ยังดี...อุทกภัยของทางใต้ ความแห้งแล้งของทางเหนือ แคว้นหนานฉีมีศัตรูรอบด้าน แคว้นเป่ยเยี่ยนข่มเหงแคว้นหนานฉี ภายในก็มีกบฏ...จะทำเช่นไรได้เล่า ในเมื่อพญายมต้องการชีวิตของเรา เรา...ก็ได้แต่วางมือ น้องรอง เรื่องในแคว้นเรามอบหมายให้เจ้า เจ้าจงช่วยสนับสนุนองค์รัชทายาท ด้านหนึ่งเจ้าเป็นท่านลุง ทั้งยังเป็นดุจบิดาของเขา น้องรอง เราเชื่อได้เพียงเจ้าเท่านั้น] ภาพของปฐมจักรพรรดิในความทรงจำ กับภาพที่เห็นตรงหน้าทับซ้อนกันมู่หรงจ่างจี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้นเบา ๆ เงาแผ่นหลังผอมบาง“พี่ใหญ่! ทุกอย่างที่ท่านต้องการ ข้าทำให้ท่านสำเร็จแล้ว! ท่านจะเป็นอมตะ แคว้นหนานฉีภายใต้การปกครองของท่าน จะต้องเจริญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้นไป ภายภาคหน้าจะต้องรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง สร้างคุณูปกา
โลกนี้มักจะมีเรื่องที่ไม่ตรงตามที่ตนเองคิด เลี่ยอู่ซินมาช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่เขามาถึงคุกเทียนเหลา มู่หรงจ่างจี๋ก็ขาดใจตายไปแล้วครั้นมองศพของมู่หรงจ่างจี๋ หมัดของเลี่ยอู่ซินก็ทุบไปที่กำแพง แล้วตะโกนเสียงต่ำออกมาว่ากันว่าคนดีมักอายุสั้น คนชั่วกลับอยู่เป็นพันปี เป็นเช่นนั้นจริง ๆ !คนอย่างมู่หรงจ่างจี๋มีอายุถึงสองร้อยกว่าปี ทว่าคนอย่างมู่สิงโจว ยังไม่ทันถึงวัยสวมกวานก็ถูกฆ่าตายแล้วเมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธเกลียดของเลี่ยอู่ซินก็ทะยานขึ้นฟ้า ทว่ากลับไม่รู้เลยว่าจะระบายไปที่ผู้ใดได้!เนื่องจากอารมณ์ถูกกระตุ้นมากเกินไป เลี่ยอู่ซินที่เพิ่งจะเดินออกจากคุกเทียนเหลา จึงหมดสติไปภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงณ วังหลวงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาพักอยู่ในตำหนักจื้อเฉินชั่วคราวนางตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว ท้องค่อย ๆ นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด นี่ค่อยทำให้นางรู้สึกว่าที่นางตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องจริง——ข้างในมีเด็กคนหนึ่งกำลังค่อย ๆ เติบโตจริง ๆเซียวอวี้จัดให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรนางทุกวันช่วงนี้อาการครรภ์ของนางคงที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องดื่มยาบำรุงครรภ์อีก แค่พักผ่อนให้ดีก็พอเรื่องลูก เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ไ
จากการสอบสวนของรุ่ยอ๋อง ลูกน้องของซุนโฉวผู้นั้นรับสารภาพความจริง“พวก…พวกข้าเป็นคนทำเอง“มู่หรงจ่างจี๋ต้องการโลหิตของท่านอ๋องผู้เฒ่า จึงมอบหมายให้ซุนโฉวไปจัดการ“แต่นั่นคือท่านอ๋อง ทั้งยังมีวิชายุทธ์ไร้เทียมทาน ซุนโฉวจึงใช้แผนการยุแยงตะแคงรั่ว ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสงสัยในตัวท่านอ๋องผู้เฒ่า จากนั้นก็แต่งเรื่องราวสร้างความผิดโทษฐานกบฏให้ท่านอ๋องผู้เฒ่า”เรื่องต่อจากนั้น รุ่ยอ๋องรู้ตั้งนานแล้วแม้นบิดาของเขาจะถูกใส่ความ แต่ก็ยังจงรักภักดีต่อราชสำนักหากกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางจำต้องตายอย่างเลี่ยงไม่ได้จนกระทั่งถูกเนรเทศ บิดาก็ไม่ได้รวบรวมกองทัพเพื่อช่วยเหลือตัวเองเขายังคงหวังว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่สุดท้ายก็เดินหมากพลาดไป คาดการณ์ไม่ถึง ว่ากลุ่มค้ามนุษย์โอสถจะรีบร้อนอยากได้ชีวิตของเขา ด้วยการทำร้ายเขา ระหว่างทางที่เขาถูกเนรเทศเมื่อความจริงปรากฏ รุ่ยอ๋องเหมือนได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง แต่ท้ายที่สุดคนตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ในใจจึงรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงเขากลับมาถึงจวน ก็เห็นหร่วนฝูอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไกล ๆ เหมือ
ระหว่างคิ้วของเซียวอวี้ฉายด้วยความเบิกบาน“ภรรยาร้องสามีรับ จับมือปรองดองเพื่อความสันติ พระสวามีก็คือสามีเช่นกัน”เมื่อรุ่ยอ๋องได้ฟังคำตอบนี้ หัวใจที่แขวนลอยอยู่ด้วยพะว้าพะวง ในที่สุดก็ตกตายสนิทเขารีบประสานมือคารวะ ห้ามว่า“ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!“ท่านเป็นกษัตริย์ของแคว้น ไยต้องลดตัวไปอยู่ภายใต้อาณัติของสตรีด้วย?“หากคนรู้เข้า เกรงว่าคงหัวเราะเยาะเป็นแน่!”ในยามปกติรุ่ยอ๋องมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล แต่พอเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญ ก็กลายเป็นคนดื้อรั้นขึ้นมาทันทีเซียวอวี้พูดเสียงเข้ม“เราถึงได้บอก ว่าเรื่องนี้ ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”รุ่ยอ๋องบ่นงึมงำในใจที่แท้ฝ่าบาทก็อายเหมือนกัน“ฮองเฮายอมให้ท่านเป็นพระสวามีหรือ?”เซียวอวี้ขมวดคิ้ว “เหตุใดนางต้องไม่ยอม? หรือว่านางยังสามารถแต่งงานกับบุรุษอื่นได้อีก?”รุ่ยอ๋องเกือบพาตัวเองซวย“กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงอยากถามว่า ฮองเฮารู้หรือไม่ ว่าเรื่องนี้ไม่ส่งผลดีต่อฝ่าบาท…”“รุ่ยหลิน เราเห็นเจ้าเป็นสหาย ถึงได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า เรื่องที่เราได้ตัดสินใจแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น เจ้าแค่จัดการร
ร่วนฝูอวี้ชอบผู้หญิงมาโดยตลอด ถึงแม้อยู่กับบุรุษ มีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าหยอกล้ออีกฝ่ายเท่านั้นพอตอนนี้เผชิญกับคำสารภาพของรุ่ยอ๋อง นางพลันทำตัวไม่ถูกอีกอย่างเห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาชอบผู้ชาย…รุ่ยอ๋องเห็นนางมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ก็รีบอธิบาย“พวกเราเคยประสบพบเจอเรื่องราวเหมือน ๆ กันมา หากใช้ชีวิตด้วยกัน มันก็ดีไม่ใช่หรือ?“หากเจ้าไป ข้าก็ต้องแต่งงานกับคนใหม่ คงไม่มีใครเหมือนเจ้า ที่ไม่ร้องขอสิ่งใดกับข้า “อีกอย่างข้ายังต้องคอยระแวงปกปิดตัวตนอีกด้วย เช่นนี้แล้ว สู้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หร่วนฝูอวี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ที่แท้ท่านก็หมายถึงอย่างนี้นี่เอง”นึกว่าเขาคิดไม่ซื่อกับนางจริง ๆ เสียอีก……ความผิดของมู่หรงจ่างจี๋ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เหล่าประชาชนยากที่จะเชื่อ มู่หรงจ่างจี๋ผู้นั้นจะมีอายุยืนมาถึงขนาดนี้“คนผู้นี้ต้องมีวิชาอมตะเป็นแน่ แต่เพราะหวั่นเกรงฝ่าบาท จึงถูกประหาร”“คดีมนุษย์โอสถซับซ้อนซ่อนเงื่อน ก่อนหน้านี้บอกว่าผู้ร้ายตัวจริงคือมู่หรงสวี้ ตอนนี้เปิดเผยออกมาว่าเป็นมู่หรงจ่างจี๋ ครั้งนี้คงไม่ผ
กองทัพแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง อาศัยว่ามีปืนมังกรไฟ แผดเสียงเกรี้ยวกราด “เร่งเปิดประตูเมือง หาไม่แล้ว อย่าหมายว่าผู้ใดจะรอดชีวิต!” เฉินจี๋ล่วงรู้ฤทธานุภาพของปืนมังกรไฟ เขอเสนอ “ฝ่าบาท ถอยทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” คาดว่าฮองเฮาก็มิปรารถนาให้ฝ่าบาทตกอยู่ในอันตราย สายตาเซียวอวี้ล้ำลึก ดวงตาฉายแววเยืยกเย็น “สั่งให้ทหารทั้งหมดล่าถอยออกไปยี่สิบลี้ก่อน” ฤทธานุภาพแห่งปืนมังกรไฟ มิใช่อันที่มนุษย์จะสามารถต้านรับได้ ดังนั้น จึงไม่อาจเผชิญหน้าตรง ๆ …… ณ ชายแดนด้านตะวันตกแคว้นหนานฉี ฝนพรำไม่ขาดสายหลายวันติดกัน จนแผ่นดินชุ่มโชกเป็นโคลนเหลว ปืนมังกรไฟมีน้ำหนักมาก ล้อรถจมลึกลงพื้นดิน หนึ่งแรงคนมิอาจเข็นขยับได้โดยง่าย ครั้นข่าวล่วงรู้ถึงหูหนานซานอ๋อง เขาถึงโกรธทั้งร้อนใจ “ในยามสำคัญ เหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!” ฮ่องเต้ยังอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ หากแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งบุกโจมตี ใครจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท! “ท่านอ๋อง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสายฝน...” “อย่าพูดไร้สาระ เร่งหาไม้กระดาน หาก้อนหิน เร่งขนส่งปืนมังกรไฟไปยังแคว้นซีหนี่ว์ให้ได้โดยเร็ว!” หนานซานอ
แม่ทัพแคว้นเจิ้งหาได้โง่เขลา เขารู้แจ้งแก่ใจว่าจุดประสงค์ของเป่ยเยี่ยนคืออะไร จึงกลับคำข่มขู่ราชทูตเป่ยเยี่ยน “หากไม่มีปืนมังกรไฟ พวกเราอย่างมากก็เพียงพ่ายศึกและยอมจำนน หรือไม่ก็รู้ว่ามิอาจต่อสู้การร่วมมือระหว่างกองทัพแคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉี ก็เพียงถอนทัพกลับเสียก็พอ “ทว่า สถานการณ์ของเป่ยเยี่ยน หาใช่ง่ายดายเช่นนี้ไม่ “แคว้นหนานฉีชนะศึกกับทั่วแว่นแคว้น กำลังอิทธิพลเพิ่มพูน ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์กับแคว้นหนานฉีเชื่อมสัมพันธ์กัน พันธไมตรีแน่นแฟ้นมิอาจทำลาย “หากแคว้นหนานฉีกลืนกินแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้แล้วไซร้ ทั่วทั้งแดนตะวันตกย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งแคว้นหนานฉี ครานั้นเป่ยเยี่ยนจักสูญเสียพันธมิตรทางใต้และทางตะวันตก กลายเป็นโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง!” สายตาราชทูตเป่ยเยี่ยนฉายแววบูดบึ้ง แม่ทัพคนนี้ที่เชี่ยวชาญเพียงการศึก กลับมีสติปัญญาอยู่บ้าง แม่ทัพแคว้นเจิ้งเห็นราชทูตจนถ้อยคำ จึงพูดต่อถึงข้อดีข้อเสีย “ราชทูตนำความทูลฮ่องเต้เป่ยเยี่ยน รีบยืมปืนมังกรไฟมาโดยไว เช่นนี้ยังมีโอกาสสังหารฮ่องเต้ฉีได้ หากแคว้นหนานฉีวุ่นวาย เป่ยเยี่ยนจึงจักมีโอกาสโต้กลับแคว้นหนานฉี ช่วง
ราชทูตเป่ยเยี่ยนเตรียมการมาก่อนล่วงหน้าก่อนหน้านั้นแต่ละแคว้นล้อมโจมตีแคว้นหนานฉี มิคาดคิดว่าแคว้นซีหนี่ว์ทรยศพันธมิตร ละทิ้งสัตยาบัน แปรพักตร์กลางสมรภูมิ หันมาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหนานฉียามนี้แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งมุ่งหมายโจมตีแคว้นซีหนี่ว์ เป่ยเยี่ยนย่อมสนับสนุนสุดกำลังมิอาจสั่นคลอนแคว้นหนานฉี ทว่าแคว้นซีหนี่ว์เพียงแคว้นเดียว ย่อมมิใช่เรื่องยากเมื่อแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งล่วงรู้เจตนารมณ์ของราชทูตเป่ยเยี่ยน ก็บังเกิดความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นพวกเขาถามอย่างตื่นเต้น“ฮ่องเต้เยี่ยนยินดีให้ยืม ‘ปืนมังกรไฟ’ จริง ๆ หรือ?”ยามนี้พวกเขาโจมตีเมืองอย่างยากลำบาก หากได้ปืนมังกรไฟมาหนุนเสริม ศึกครั้งนี้ย่อมดุจดั่งพยัคฆ์ติดปีก!เพียงแต่ได้ยินมาว่า ปืนมังกรไฟนั้นเป็นอาวุธลับแห่งเป่ยเยี่ยน เป่ยเยี่ยนจะยอมให้ยืมจริง ๆ หรือ?พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ราชทูตเป่ยเยี่ยนยิ้มแย้ม พลางหยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมาเห็นดังนี้ เหล่าขุนพลแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งต่างจ้องมองหน้ากันด้วยความฉงนใจจากนั้นราชทูตก็พูดอธิบาย“เป่ยเยี่ยนกับสองแคว้นเป็นพันธมิตรต่อกัน บัดนี้สงครามปะทุ เป่ยเยี่ยนย่
หลังจากส่งฮ่องเต้ไปไกลเป็นพันลี้ กองทัพเดินทางออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่นานก็ไม่ยอมจากไปอู๋ไป๋เอ่ยเตือนเบา ๆ“ประมุขแคว้น ควรเสด็จกลับวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้ดึงสายตากลับมาในพระราชวังเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ง่ายที่จะมีเวลาว่าง นายหญิงเฟิ่งจึงมาขอเข้าพบช่วงหลายวันมานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะทำหน้าที่ประมุขแคว้น จึงยุ่งจนไม่มีเวลาจะแยกร่างไปทำสิ่งใด แม้แต่เวลาที่จะนั่งคุยกับมารดาก็ยังไม่มีนายหญิงเฟิ่งเข้าใจเป็นอย่างดี และไม่มารบกวนนางจนกระทั่งวันนี้ ที่กองทัพออกเดินทาง นายหญิงเฟิ่งถึงได้มาพบนางคนอื่นอาจไม่รู้ ทว่านายหญิงเฟิ่งกลับจำได้ว่า คนโปรดคนใหม่ของประมุขแคว้นที่สวมหน้ากากผู้นั้น ก็คือฮ่องเต้หนานฉีนายหญิงเฟิ่งไม่คาดคิดว่า ฮ่องเต้จะทรงเสด็จตามจิ่วเหยียนมาแคว้นซีหนี่ว์ อีกทั้งยังออกรบเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ นี่เป็นเรื่องที่หนึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ จิ่วเหยียนของนาง ในที่สุดก็ตั้งครรภ์แล้วนายหญิงเฟิ่งมองพินิจจิ่วเหยียนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ โดยเฉพาะส่วนท้องที่นูนขึ้นมา พลางสะอื้นอยู่หลายครั้ง“ในเมื่อตั้งครรภ์แล้ว
ก่อนอาหารมื้อค่ำ เซียวอวี้กลับมาถึงวังหลวงตรงตามเวลาเขายังนำผลไม้อบแห้งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนชอบกินมาด้วยถึงแม้ใบหน้าเขาจะแสดงออกอย่างเรียบเฉย เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจที่ข่มไว้ของเขายังมี กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ที่อยู่บนตัวเขาด้วยอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะแล้ว ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน และมีข้าหลวงคอยรับใช้ เพื่อคอยตักอาหารให้พวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนให้ข้าหลวงออกไปก่อน และถามเซียวอวี้ตามตรง“วันนี้ไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร ไม่ราบรื่นหรือเพคะ?”เซียวอวี้ปากหนักไม่ยอมรับ พร้อมกับเปิดห่อผลไม้ให้นาง“อ่านฎีกาจบแล้วหรือ?” เขาถามโดยเปลี่ยนเรื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาไม่อยากเอ่ยถึงอีก จึงไม่ถามต่อจากที่เขาถาม นางยิ้มอ่อน ๆ“ฎีกาไม่มีวันอ่านจบ ของวันนี้อ่านจบ ก็ยังมีของพรุ่งนี้อีก”เซียวอวี้ก็ยิ้มเช่นกัน พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง แววตาดูอ่อนโยนสงบนิ่ง“หากเป็นฮ่องเต้ทรราช ก็คงไม่ต้องเหนื่อยเช่นนี้”หลังมื้อค่ำเฟิ่งจิ่วเหยียนอ้างว่าจะไปห้องทรงพระอักษรเพื่ออ่านฎีกาต่อ แท้จริงแล้วกลับให้อู๋ไป๋ไปที่ค่ายทหาร เพื่อสืบดูว่า วันนี้เซียวอวี้พบปัญหาใดอู๋ไป๋กลับหลักแหลม
ตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นประมุขแคว้น หากเซียวอวี้ต้องการจะพบนาง ก็ต้องรอให้คนไปกราบทูลก่อนสิ่งนี้ทำให้เขาไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งทว่า กฎก็คือกฎที่หนานฉี แม้ว่าจิ่วเหยียนจะสูงส่งเป็นถึงฮองเฮา หากต้องการจะเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ก็ยังไม่อาจทำได้ตามใจชอบ“จะออกเดินทางเมื่อใด?” บนบัลลังก์มังกร คำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ถามขึ้นกะทันหัน ขัดจังหวะความคิดของเซียวอวี้ เซียวอวี้เงยหน้าขึ้นมองนาง ถึงแม้ในตำหนักจะไม่มีคนนอก เขายังคงรู้สีกว่า ระหว่างตนเองกับจิ่วเหยียน ราวกับมีบางอย่างคั่นกลางอยู่บางที นั่นอาจจะเป็นช่องว่างทางสถานะผู้ที่เป็นกษัตริย์ แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ต่อให้ใกล้ชิดดั่งคนที่นอนร่วมหมอน ก็ไม่อาจก้าวข้ามช่องว่างนี้ได้ไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้จิ่วเหยียนก็ยกเรื่องนี้มาเป็นอุปสรรค ไม่ยอมเป็นฮองเฮาของเขาเซียวอวี้พยายามทำให้ตนเองกลับมามีสภาพจิตใจที่เป็นปกติตามเดิม“เสบียงถูกส่งไปก่อนแล้ว วันนี้เราจะไปตรวจเยี่ยมค่ายทหาร หากราบรื่น พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทาง”เฟิ่งจิ่วเหยียนด้านหนึ่งก็ฟังเขาพูด อีกด้านหนึ่งก็อ่านฎีกานางทำหลายอย่างพร้อมกัน ช่างดูยุ่งเหลือเกิน
นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้ส่งกองกำลังออกรบแล้ว กองทัพมืดฟ้ามัวดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นสงครามที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดและล่มสลายของทั้งสองแคว้นก่อนเคลื่อนทัพ แม่ทัพใหญ่ตรวจสอบความพร้อมของทหาร เพื่อสร้างความฮึกเหิม“ทหารทุกคน! วันนี้จะเป็นวันที่จะลบล้างความอัปยศ! หากไม่อยากตกเป็นทาสของแคว้นล่มสลาย และไม่อยากถูกสตรีบัญชาการ ก็จงต่อสู้สุดชีวิต! ทำลายชายแดนของแคว้นซีหนี่ว์ เคลื่อนกำลังเข้าไป จนเข้าไปถึงเมืองหลวง และจับตัวประมุขแคว้นของพวกนางมา!”ทั้งสามกองทัพเปล่งเสียงขานรับโดยพร้อมเพรียง“ลบล้างความอัปยศ! จับตัวประมุขแคว้นซีหนี่ว์!”ทันใดนั้น ทหารสอดแนมก็มารายงาน“ท่านแม่ทัพ พบกองทัพของแคว้นซีหนี่ว์ นำทัพโดยหูย่วนเอ๋อร์!”หูย่วนเอ๋อร์เป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้องอาจของแคว้นซีหนี่ว์ และยังเป็นแม่ทัพคู่ใจของอดีตประมุขแคว้นซีหนี่ว์ด้วยก่อนหน้านี้ได้ยินสายลับมารายงานว่า ประมุขแคว้นคนปัจจุบันไม่ชอบหูย่วนเอ๋อร์ และจับนางไปคุมขังไว้ในคุกเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดน?หรือว่าข่าวจากสายลับจะผิดพลาด?แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองแคว้นถามด้วยความสงสัย“หรืออาจจะเป็น
กลุ่มขุนนางที่ถูกจับกุม แต่ละคนบ้างก็ตกใจ บ้างก็โกรธแค้น บ้างก็คุกเข่าร้องขอชีวิตทันที“เฟิ่งจิ่วเหยียน! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาจับหม่อมฉัน! หม่อมฉันคือขุนนางอาวุโสสามสมัย!”“หม่อมฉันไม่ได้คิดจะก่อกบฏ...ประมุขแคว้น พวกเขาจะต้องจับคนผิดอย่างแน่นอน!”“ประมุขแคว้นโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย! หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้ว!”ขุนนางคนอื่นถอยห่าง แทบไม่อยากเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ถูกจับโอวหยางเหลียนก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“ประมุขแคว้น ตั้งแต่อดีต ขุนนางที่ก่อกบฏทรยศแผ่นดินมีความผิดสมควรตาย หม่อมฉันคิดว่า ควรรีบประหารชีวิตพวกเขาทันที ไม่อาจให้ความเมตตาได้!”โอวหยางเหลียนอายุมากแล้ว ทว่านางทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเด็ดขาดชัดเจนเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ใช่คนใจอ่อนเช่นกันนางเพิ่งจะเป็นประมุขแคว้น แต่ก็รู้ว่า ความวุ่นวายภายในแคว้นซีหนี่ว์ ล้วนเกิดจากคนที่ไม่จงรักภักดีเหล่านี้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะยุติความวุ่นวายภายในได้หากไม่สังหาร ก็ไม่เพียงพอที่จะเตือนใจให้กับคนอื่นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้ข้าหลวงอ่านความผิดของคนเหล่านี้ อ่านจบทีละคน ก็สังหารท
จันทร์เสี้ยวลอยลงต่ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงณ พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ในที่ประชุมเช้า เหล่าขุนนางมองไปยังคนที่อยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย และความประหลาดใจขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างใจกล้า“คนที่นั่งอยู่บนนั้น เจ้าเป็นใคร! แล้วประมุขแคว้นอยู่ที่ใด!”คนที่อยู่ด้านบน ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกับประมุขแคว้น ทว่าส่วนท้องนูนออกมา เห็นชัดว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ คนผู้นี้กับประมุขแคว้นเมื่อหลายวันก่อนผู้นั้น ไม่ใช่คนเดียวกันโดยสิ้นเชิงความแตกต่างที่เห็นชัดเช่นนี้ ขอเพียงไม่ใช่คนตาบอด ก็มองออกชัดเจนหลังจากมีคนหนึ่งออกหน้า คนอื่น ๆ ก็พากันเกิดความสงสัยตามมา“รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”“เจ้าคนชั่วอาจหาญ กล้าสวมรอยเป็นประมุขแคว้น ยังไม่รีบลงมาอีก!”“ประมุขแคว้นเล่า? ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ใด รีบไปตามหาประมุขแคว้น!”ในราชสำนักเริ่มเกิดความวุ่นวายก่อนหน้านี้หูย่วนเอ๋อร์ก็ถูก “ขัง” อยู่ในคุก มิได้เข้าร่วมประชุมเช้าของวันนี้ จึงมีเพียงโอวหยางเหลียนเท่านั้นที่รู้ความจริงในที่นี้โอวหยางเหลียนยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่เอ่ยสิ่งใดจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่บนบัลลังก์มังกรก