หลังจากเซียวอวี้ครุ่นคิดอยู่นาน ก็เปิดเผยออกมาอย่างระวังคำพูดเป็นพิเศษ“หากหนานฉีสามารถพิชิตแคว้นอื่นอย่างเป่ยเยี่ยนได้ ถึงแม้เราจะไม่แตะต้องแคว้นซีหนี่ว์ เนื่องจากสาเหตุเพราะเจ้า ก็ยากจะรับประกันได้ว่าทายาทรุ่นหลังจะไม่เกิดความคิดที่จะรวมแคว้น“ข้อกำหนดของการอยู่ร่วมกัน ก็คือแคว้นซีหนี่ว์จักต้องแข็งแกร่งพอ สามารถต้านทานกับหนานฉีได้ มิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการพึ่งพาหนานฉี และจะคอยหวาดระแวงราวกับนกตื่นธนูอยู่ตลอดเวลา“ภายในสิบปี หากแคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจคว้าโอกาส สร้างความแข็งแกร่งให้ตนเอง สุดท้ายจักต้องเสียเปรียบแคว้นอื่น“คนที่ทำให้แคว้นล่มสลาย หาใช่แคว้นอื่นไม่ แต่เป็นตนเอง”เซียวอวี้เอ่ยด้วยถ้อยคำที่ละมุนละม่อมถึงแม้เขาจะรักเฟิ่งจิ่วเหยียนมากเพียงใด กระทั่งตามนางไปอยู่แคว้นซีหนี่ว์ได้ ทว่าหากถึงคราวต้องเลือกตัวเลือกหนึ่งจากสองตัวเลือก เขาก็ต้องยอมละทิ้งแคว้นซีหนี่ว์ และปกป้องหนานฉีเว้นเสียแต่ว่าแคว้นซีหนี่ว์จะแข็งแกร่ง จนทำให้หนานฉีไม่อาจผนึกรวมได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็ยากจะหลีกเลี่ยงหายนะนี้ได้หลังเขาพูดจบ กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะโกรธ จึงดูระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด พลางจับมือของนา
สองวันต่อมา พายุหิมะก็หยุดตกเซียวอวี้จัดการกิจธุระในราชสำนักเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจว่าจะไปจางโจวพร้อมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เพื่อจัดการปัญหาของแคว้นซีหนี่ว์ให้เสร็จสิ้น เขาทนกับการรอคอยนางอยู่ในวังมาพอแล้วดังนั้น กลุ่มคณะจึงออกเดินทางไปตามเส้นทางขึ้นเหนือพ่อค้าที่ขายมนุษย์โอสถถูกจับและส่งกลับไปควบคุมตัวที่เมืองหลวง รวมถึงมนุษย์โอสถที่อยู่ในลัง ก็ถูกส่งไปยังเมืองหลวงเช่นกันเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ต่างก็เคยเห็นมนุษย์โอสถนั่นใบหน้าเขาถูกทำลาย แต่พอมองออกว่าเป็นบุรุษ จะขดตัวอยู่ตามตรอกซอย แววตาไร้อารมณ์ อยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ราวกับศพมีชีวิตคนประเภทนี้ หากถามก็คงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากปากเขา......ที่นี่ไปถึงจางโจว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือนตลอดการเดินทาง เซียวอวี้ไม่ได้เที่ยวชมธรรมชาติ เวลาส่วนใหญ่จะอยู่ที่การสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรครานั้นที่แคว้นต่าง ๆ มาล้อมโจมตีหนานฉี เมืองทางเหนือหลายแห่งถูกใช้เพื่อล่อศัตรู ชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นล่วงหน้า แต่บ้านเรือนไม่อาจเคลื่อนย้ายไปได้ ทหารเยี่ยนไม่ได้เสบียงไป จึงเผาบ้านเรือนไปไม่น้อยราชสำนักก็จัดกำลังคนมาสร้า
ณ จางโจวปีใหม่ใกล้เข้ามา หลังผ่านพ้นภัยอันตรายและรอดชีวิตมาได้ เหล่าราษฎรยิ่งเห็นความสำคัญของชีวิตในตอนนี้มากขึ้นทุกครัวเรือนประดับประดาโคมไฟ เพื่อเตรียมต้อนรับปีใหม่ณ จวนตระกูลซ่งนายท่านซ่งกลับมาจากเมืองหลวง เฟิ่งเวยเฉียงก็เคยถามเขาว่า อาการมีบุตรยากของพี่หญิงรักษาได้หรือไม่ คำตอบที่ได้กลับเป็น---เขาไม่ได้พบฮองเฮาด้วยซ้ำวันนี้ ขณะเวยเฉียงกำลังช่วยซ่งหลีจัดเตรียมสมุนไพร ซ่งหลีก็เห็นนางจิตใจเหม่อลอย ซ่งหลีจึงปลอบโยนนาง“เวยเฉียง เจ้าอย่ากังวลไปเลย ฮองเฮาเสด็จตามฮ่องเต้ไปตรวจเยี่ยมเมืองต่าง ๆ จักต้องปลอดภัยไร้ปัญหาแน่”เฟิ่งเวยเฉียงยังคงมีสีหน้ากังวลใจ“ไม่ใช่แค่พี่หญิงเท่านั้น ระยะนี้ท่านแม่ก็เงียบหายไร้ข่าวคราว ตกลงกันว่าจะเขียนจดหมายมาหาข้า แต่กลับ...”“เจ้าคิดไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว ท่านแม่ยายอาจจะอยู่กับครอบครัวของพี่ชายเจ้า จนหลงลืมไปชั่วขณะ”ซ่งหลีไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงคิดมากเพียงนี้ ไม่อาจเข้าใจความวิตกกังวลของนางในหลายวันที่ผ่านมานี้เขาทำได้เพียงปลอบโยนนางเท่าที่ตนเองจะทำได้ ให้นางไม่ต้องกลัวบ่าวรับใช้ก็วิ่งเข้ามาที่โรงสมุนไพร พร้อมตะโกนเรียกอย่างรีบร้อน“นายท่า
เฟิ่งเวยเฉียงอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่า ตนเองเป็นสายเลือดของราชวงศ์แคว้นซีหนี่ว์“พี่หญิง ข้าเข้าใจแล้ว แคว้นซีหนี่ว์ต้องการสายเลือดของราชวงศ์เพื่อรักษาความมั่นคงของแผ่นดิน ขอเพียงคนที่นั่งบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นเป็นคนตระกูลซู่ ภายในแคว้นจะไม่เกิดความวุ่นวาย เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?” เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปฏิเสธเฟิ่งเวยเฉียงจึงถามต่อ: “พี่หญิง แล้วท่านแม่เล่า? หากต้องการแค่สายเลือดตระกูลซู่ ท่านแม่ก็ได้ใช่หรือไม่? การที่ท่านเลือกข้า ยังมีเหตุผลอื่นใช่หรือไม่?”พี่หญิงให้นางเป็นประมุขแคว้น แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพียงเพราะสายเลือดของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับมองใบหน้าของนาง แล้วอธิบายต่อนาง“ข้าต้องการให้เจ้าไปแทนข้า หนึ่งคือในพระราชโองการของท่านป้าเขียนไว้ชัดเจนว่า ต้องการให้ข้าสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้น สองคือ สิ่งที่แคว้นต่าง ๆ หวาดกลัว ก็คือใบหน้านี้”นางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเวยเฉียงเบา ๆ พร้อมแววตาที่ดูอ่อนโยนเรื่องของมนุษย์โอสถนั้นเร่งด่วน นางจำเป็นต้องสืบหาความจริงโดยเร็ว จึงไม่อาจสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ทว่า หากเวยเฉียงไม่ยินยอม นางก็จะคิดหาวิธีอื่นคำพูดนี้ นางไ
ความปรารถนาของซ่งหลีคือการใช้ทักษะความรู้ในการรักษาผู้คนซึ่งนี่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเขาจะทำการรักษาที่ใด ทว่า การต้องออกจากหนานฉี นี่เป็นครั้งแรกเขาจึงต้องคิดให้รอบคอบทว่า เมื่อเวยเฉียงตัดสินใจจะไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นเขาในฐานะสามีของเวยเฉียง แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยให้นางไปอยู่แคว้นอื่นตามลำพังได้“ตกลง ข้าจะไปด้วย ทว่าก็ต้องบอกท่านพ่อท่านแม่ให้รู้ก่อน”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปพยักหน้าให้เขา “นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว” หากจัดการปัญหาสำคัญนี้จบเแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็จะสามารถจดจ่อกับเรื่องอื่นได้อย่างเช่น เรื่องของมนุษย์โอสถในเวลาเดียวกันนั้นภายในเมืองหลวง สถานที่แห่งหนึ่งในเขตชานเมืองตะวันออก มีคฤหาสน์เงียบสงบหลังหนึ่งตั้งอยู่ท้องฟ้าแดดจ้า ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับเยือกเย็นและเงียบสงัด ภายในห้องหนังสือมีคนสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน อีกคนยืนรายงาน“นายท่าน เมื่อครู่ได้รับรายงานว่า ทางตะวันตกเกิดปัญหา พ่อค้าที่มีหน้าที่ขนส่งมนุษย์โอสถถูกทางการจับกุมแล้ว ตอนนี้กำลังจะถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงเพื่อสอบสวน”ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะและซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ตอนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนออกท่องยุทธภพในครานั้น ก็ได้รู้จักกับซ่งหลีในใจของซ่งหลี นางเป็นสหายที่ดี วีรกรรมของนาง เขาทั้งเคยเห็นกับตา และได้ยินมาด้วยตอนนี้จะเล่าให้เซียวอวี้ฟัง ก็เรียกได้ว่าเล่าได้ไม่รู้จักจบ “...เสียดายเพียง หลังจากกลุ่มพันธมิตรอู่หลินก่อตั้งขึ้นไม่นาน ซูฮ่วนก็จากไปโดยไม่บอกลา“ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า เป็นเพราะเกิดเรื่องกับเมิ่งสิงโจว”เซียวอวี้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจหยุดความอยากรู้ได้ว่า เมิ่งสิงโจวผู้นั้น เป็นคนอย่างไรอีกจากที่ได้ยินจิ่วเหยียนเล่าให้ฟัง เขาตายจากการสืบเรื่องของมนุษย์โอสถทว่าคนผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร หรือมีนิสัยอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยในคืนนั้นคณะของพวกเขาเข้าพักที่โรงพักแรมหลังจากซ่งหลีได้เข้าห้อง ถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ พลางจับมือเวยเฉียง ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ย“เวยเฉียง พรุ่งนี้พวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันได้หรือไม่?”เฟิ่งเวยเฉียงรีบถามกลับทันที: “ฝ่าบาททรงทำให้ท่านลำบากใจหรือ?”“ก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่...นั่งกับฝ่าบาท ก็ยากจะวางตัวถูก”เวยเฉียงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง“แต่ว่า...ข้าก็อยากนั่งไปกับพี่หญิง”นางยิ้มให้กับซ่งหลี “คงต้องท
เฟิ่งจิ่วเหยียนประหลาดใจมาก เซียวอวี้เคยเห็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?หลังออกมาจากหอบรรพบุรุษ นางดึงเซียวอวี้ไปตรงมุมที่มีคนน้อย เพื่อให้เขาเล่าเรื่องนี้ให้ละเอียด“ท่านไม่ได้ดูผิดใช่หรือไม่? เคยเห็นศิษย์พี่ของหม่อมฉันจริง ๆ หรือ?”เซียวอวี้ตอบด้วยท่าทีจริงจัง“ใช่เขา“ตอนนั้นเราออกตรวจเยี่ยมราษฎร วันที่ช่วยชีวิตหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เคยเห็นคนที่บนภาพ“แม้เพียงชั่วพริบตาเดียว เราก็จำได้อย่างแม่นยำ”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เป็นหวงกุ้ยเฟยที่ถวายตัวยับยั้งพิษวารีสวรรค์ให้กับเขาหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เดิมก็คือมนุษย์โอสถเฟิ่งจิ่วเหยียนคำนวณเวลาหากฝ่าบาทจำไม่ผิด ฉะนั้น วันที่เขาเจอกับศิษย์พี่ คือตอนที่ศิษย์พี่พบเจออันตรายนางถามต่อไป“สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร?”เซียวอวี้หวนคิด“ปีนั้น หลิงเยี่ยนเอ๋อร์เป็นมนุษย์โอสถที่หนีออกมา หลังจากเราช่วยชีวิตนางไว้ ก็ได้รู้ว่ามีคนกำลังฝึกมนุษย์โอสถ จึงนำกองกำลังทหารไปกวาดล้างพวกโจร“เมื่อไปถึงที่นั่น เจอศิษย์พี่ของเจ้า“ตอนนั้นไม่รู้สถานะของเขา ได้ต่อสู้กับเขา ดึงผ้าคลุมหน้าของเขาลงมา น่าเสียดายที่ปล่อยเขาหนีไปได้”ตอนนี้คิดดูแล้ว ห
แคว้นซีหนี่ว์หูย่วนเอ๋อร์ได้รับจดหมายลับของเฟิ่งจิ่วเหยียนโอวหยางเหลียนดูใส่ใจมาก ถามอย่างร้อนรน “นางพูดว่าอย่างไร?”หลังจากหูย่วนเอ๋อร์อ่านจดหมายแล้ว ท่าทีเคร่งขรึมและซับซ้อนนางเงยหน้าขึ้นมองอวหยางเหลียน บนใบหน้าชราของฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางจะกลับมาหรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์ตอบ “แม่ทัพน้อยยังมีน้องสาวฝาแฝดคนหนึ่ง ชื่อเวยเฉียง นางอยากให้น้องสาวคนนี้มาแทนตนเอง นั่งตำแหน่งประมุขไปก่อน”โอวหยางเหลียนฟังแล้ว สีหน้ายิ่งวิตกกังวล“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ตกลงกันแล้ว นางจะกลับมาเป็นประมุข นางจะให้ตัวปลอมคนหนึ่งมาได้อย่างไร?”หูย่วนเอ๋อร์แก้คำพูดนาง“ไม่ใช่ตัวปลอม เฟิ่งเวยเฉียงก็เป็นสายเลือดของตระกูลเฟิ่ง”อวหยางเหลียนตำหนินาง“ข้าจะไม่รู้ความสัมพันธ์นี้หรือ? ทว่า ให้คนมาแทน หากมีใครรู้...”“เรื่องนี้ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี” หูย่วนเอ๋อร์ขัดจังหวะที่นางกำลังพูด น้ำเสียงแน่วแน่ “ขอให้ภายในแคว้นนั้นไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ก็เพียงพอแล้ว แม่ทัพน้อยเป็นฮองเฮาแคว้นหนานฉี ยอมยังมีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำ”โอวหยางเหลียนถอนหายใจ“อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนการที่ดีในระ
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย