รุ่ยอ๋องทำความเคารพก่อน “ฝ่าบาท”สายตาของเซียวอวี้ข้ามผ่านรุ่ยอ๋องไป จับจ้องไปที่ตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนเขาใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดกับนางทันที“เจ้า กลับไป เสด็จย่าไม่ชอบให้คนนอกมารบกวน”เหลียนซวงหน้าชื่นอกตรมพระนางเป็นถึงภรรยาที่ถูกต้องของฮ่องเต้ หลานสะใภ้ของไทฮองไทเฮา ไยอยู่ในคำพูดของฮ่องเต้ทรราชย์ก็กลายเป็นคนนอกไปแล้ว?เฟิ่งจิ่วเหยียนทำความเคารพด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“เพคะ”นางก็ไม่อยากมาตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้วเมื่อเขาบอกว่าไม่ต้อง นางก็สบายอารมณ์......ณ ตำหนักวั่นโซ่วไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตำแหน่งหลัก ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องนั่งอยู่สองข้างนางกวาดสายตาดุดันไปด้านหน้า“โมงยามนี้แล้ว เหตุใดฮองเฮายังไม่มาน้อมทักทายข้า?”เซียวอวี้ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง“ฮองเฮาปากพล่อย มีแต่จะทำให้เสด็จย่าอารมณ์เสียเปล่า ๆ“เราให้นางกลับไปแล้ว”ไทฮองไทเฮาไม่ได้ซักถามต่อชั่วครู่ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องจากไปแล้ว นางให้โจวหมัวมัวไปสืบถามผ่านไปครู่เดียว โจวหมัวมัวกลับมาแล้ว“บ่าวไปสืบถามมาแล้ว ที่แท้เมื่อวานฮองเฮาไม่สบาย มีอาการหมดสติในเวลากลางคืน“คิดดูแล้ว ฮ่องเต้คงจะเอ็นดูฮ
วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสว่าง กุ้ยเฟยก็ตื่นบรรทมแล้วในตำหนักไร้ซึ่งร่างเงาของฮ่องเต้ สายตาของนางพลันปรากฎความเศร้าสร้อยชุนเหอแขวนม่านมุ้งขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“ยินดีกับพระนางที่ฮ่องเต้ไม่ตัดขาดความโปรดปราน“เช้าวันนี้ก่อนฮ่องเต้เสด็จออกไปได้ทรงรับสั่งให้บ่าว ปรุงแกงไก่ใส่โสมบำรุงร่างกายให้ท่าน พระนาง บ่าวบังอาจกล่าวถาม เมื่อคืนท่าน...ได้ปรนนิบัติแล้วงั้นหรือ?”ฮ่องเต้โปรดปรานพระนางเป็นเรื่องที่ดี ทว่าแผลสาหัสของพระนางยังไม่หายดี ไม่ควรที่จะปรนนิบัติชุนเหอกังวลใจอย่างเลี่ยงไม่ได้กุ้ยเฟยไม่ได้ตอบกลับ “น้ำ”ตอนที่ชำระร่างกาย ชุนเหอกล่าวว่า“ไทฮองไทเฮากลับวังมาไม่ถึงสองวัน ก็จะไปภูเขาอวี้หยางอีกแล้ว พระนาง ท่านจะไปส่งเสด็จหรือไม่เพคะ?”กุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาเปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง“ส่งเสด็จ? ไปส่งศพเสียมากกว่า!“เดิมทีคิดว่านางจะสามารถลงมือจัดการเฟิ่งจิ่วเหยียน แต่นางกลับส่งเสริมให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาร่วมเรือนหอ นางอายุมากจนเลอะเลือน อายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน!” ชุนเหอมองไปด้านนอกตำหนักด้วยความระแวดระวัง เกรงว่าคำพูดเมื่อครู่จะถูกใครได้ยิน
ประตูตำหนักป้องกันเข้มงวดกวดขัน ฮูหยินเฟิ่งขอเข้าพบฮองเฮา รอมาหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงสามารถย่างก้าวเข้าสู่ประตูวังได้หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังเรื่องของพี่ใหญ่แล้ว ท่าทีนิ่งเฉย“ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง”เรื่องของเฟิ่งเหยียนเฉิน นางก็กำลังสืบสอบเช่นกันทว่า ไม่ว่าในอดีตจะเป็นเยี่ยงไร ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเฟิ่ง เขาไม่สามารถหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ไปได้ตลอดฮูหยินเฟิ่งคิดว่านางไม่สนใจใยดี“นั่นเป็นพี่ชายของเจ้านะ หากตัดอนาคตของเขาจริง ๆ ในภายภาคหน้าตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นไร? อย่ามาอ้างว่าพวกเจ้าไม่ได้เติบโตสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าจึง...”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนัยน์ตาของมารดา กล่าวขัดคำพูดอย่างเคร่งขรึม“ล้มลงอยู่ที่ใด ก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาที่นั่น“เหตุใดเขาจึงถูกผู้อื่นควบคุม เป็นเพราะเขาพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงเจ้านครฝ่ายซ้ายอำนาจน้อยนิด สูญเสียปณิธาน เขาทำลายอนาคตด้วยตัวเขาเอง“เวยเฉียงเกิดเหตุร้าย ในฐานะที่เขาเป็นพี่คนโตยังปกป้องนางไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องอนาคต เรื่องที่สามารถรับหน้าที่สำคัญของวงศ์ตระกูลได้อีก!”ฮูหยิน
ภายในตำหนักหย่งเหอ เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึมประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเย็นยะเยือก ถามเฟิ่งจิ่วเหยียนเชิงตำหนิ“หากไม่ใช่ว่าเราบังเอิญเจอวันนี้ ก็ไม่ทราบว่าเจ้าแอบดื่มยานี้ด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเรียบนิ่ง กล่าวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน“ยานี้ท่านแม่ของหม่อมฉันส่งมาให้ นางไม่ทราบเรื่องเบื้องลึกการร่วมเรือนหอ หม่อมฉันกำลังจะสั่งให้เหลียนซวงไปจัดการเสียเพคะ” นางปฏิเสธรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้คนสังเกตร่องรอยการกล่าวโป้ปดไม่ได้แม้แต่น้อยเซียวอวี้มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แววตาเย็นยะเยือก“ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”จากนั้น เขาทรงรับสั่งตามหน้าที่“ราชทูตรัฐเหลียงจวนจะเสด็จมาเยี่ยมเยือน จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับ“ก่อนหน้านั้นกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการ ทว่าเพลานี้นางบาดเจ็บสาหัส เราจึงส่งมอบต่อให้เจ้า“จำไว้ด้วย เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับสัมพันธภาพระหว่างสองแคว้น อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ได้ทั้งสิ้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยคนของรัฐเหลียงหน้าไหว้หลังหลอก วาจากลับกลอกการเสด็จมาเยือนแคว้นหนานฉีของราชทูตรัฐเหลียงครั้งนี้ จะต้องมีการต่อสู้แก่งแย่งชิงกันอีกเป็นแน่ทว่า เหล
ณ จวนตระกูลเฟิ่งฮูหยินเฟิ่งมองบุตรชายที่กลับมาด้วยอาภรณ์สภาพดูไม่ได้ เจ็บปวดใจเหลือคณา“เหยียนเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ใยดีความห่วงใยของมารดา มุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปที่ลานด้านในตลอดทาง สายตาของเขาว่างเปล่าเคว้งคว้าง ข้างหูล้วนเป็นเสียงการรบราฆ่าฟัน และซากศพที่ตายตาไม่หลับมากมายในปีนั้น เป็นเพราะเขาเป็นผู้ไร้ประโยชน์เช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนผิดหวัง“พี่ใหญ่!” เฟิ่งหมิงเซวียนที่เป็นน้องชายขวางทางเขา พินิจพิเคราะห์เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาเผยความยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความทุกข์อย่างซ่อนไม่อยู่“เป็นอะไรเช่นนี้พี่ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้น้อยเยี่ยงพี่ เหตุใดแม้กระทั่งอาภรณ์ยังรักษาไว้ไม่ได้กันล่ะ?”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ได้สนใจเฟิ่งหมิงเซวียนหยิบหนังสือแต่งตั้งออกมาหนึ่งใบ โอ้อวดอย่างออกนอกหน้า ยิ้มจนเนื้อปิดตาทั้งสองข้างมิด“เห็นหรือไม่ ข้าเป็นทูตส่งสาสน์แล้ว! ระดับแปดเชียวนะ สู้กว่าเจ้านครฝ่ายซ้ายของพี่ตั้งหนึ่งขั้น!”“ยินดีด้วย” เฟิ่งเหยียนเฉินเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฟิ่งหมิงเซวียนถ่มน้ำลายไปทางร่างเงาของเขา“ถุย! เจ้าคนไร้ประโยชน์!”เป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊ กลับทำต
ครั้งแรกของทุกสิบวันที่พิษกำเริบก็มาเยือนเช่นนี้ทว่าฝั่งซ่งหลี่นั้นยังไม่มีข่าวคราวเลยเฟิ่งจิ่วเหยียนรวบรวมพลังภายในเพื่อระงับพิษกำเริบอย่างเงียบเชียบ ทว่านี้ทำได้เพียงทุเลาลงเท่านั้น ไม่สามารถระงับได้ทั้งหมดดูแล้ว นางจำเป็นต้องไปขอยาถอนพิษจากเซียวอวี้ย่างเข้ายามค่ำคืนเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนโฉมหน้า รุดหน้าไปที่ตำหนักฉางซิ่นเพื่อขอยาครั้งนี้ นางระมัดระวังตัวมากกว่าเดิมในตำหนักฉางซิ่นไร้ผู้คนซุ่มโจมตีในตำหนักมีเพียงองครักษ์เฉินจี๋ผู้เดียว“ฮ่องเต้รับสั่ง ใช้พิษนี้ก็สามารถควบคุมเจ้าได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจับกุมเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องระแวดระวังตัวเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ปักใจเชื่อฮ่องเต้ทรราชย์นั้นพูดจากลับกลอกหลายคราแล้วนางได้ยาแล้ว รุดหน้าหลบหนีไปก่อนเฉินจี๋ไม่ได้ไล่ตามนางไป มุ่งหน้ากลับตำหนักจื้อเฉินเพื่อไปรายงานเซียวอวี้นั่งอยู่ริมโต๊ะยาว ข้าง ๆ มือได้วางแส้เก้าท่อนของนักฆ่าผู้นั้นไว้เฉินจี๋ฉงนอยู่ในใจ ผ่านไปนมนานแล้ว เหตุใดฮ่องเต้ยังเก็บไว้อีก?“ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องจับกุมนักฆ่าผู้นั้นจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”เซียวอวี้สีหน้าเย็นยะเยือก“จับไว้
กุ้ยเฟยฉลองพระองค์สีชาดที่เป็นสีของภรรยาหลวงสวมใส่ได้เท่านั้น ความมุ่งมาดปรารถนาเด่นเห็นได้ชัดนางงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผนวกกับการแต่งแต้มของเครื่องประทินโฉม สะกดทุกสายตาของเหล่าฝูงชน บดบังรัศมีนางสนมทั้งหมด ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใดไม่คิดว่า เมื่อฮองเฮาปรากฏกาย สายตาที่จับจ้องนางมลายสิ้นแล้วนางผินสายตามองตามฝูงชนไป ดวงตาเบิกกว้างทันที...เฟิ่งจิ่วเหยียนฉลองพระองค์อาภรณ์พิธีการสีเหลือง สวมมงกุฎราชินี งดงามสง่า ดูดีมีชาติตระกูลหากกล่าวว่ากุ้ยเฟยงดงามเย้ายวนใจ ฮองเฮาสง่างามยากจะหาสิ่งใดเปรียบได้กุ้ยเฟยคือบุปผาท่ามกลางชลาศัย ความงามที่เย้ายวนใจทำให้คนปรารถนานำมาเชยชมฮองเฮาคือจันทราบนท้องนภา ทำให้คนใฝ่หาทว่าเอื้อมไม่ถึง รู้อยู่แก่ใจว่าไม่คู่ควร และมิกล้าคิดสกปรกโสมม ทำได้เพียง“เคารพบูชา”นางอย่างระมัดระวัง นี่เป็นความงามชนิดหนึ่งที่ทำให้คนยอมสวามิภักดิ์ไทเฮานั่งอยู่ที่ตำแหน่ง มองไปที่ฮองเฮา อดไม่ได้ที่เหม่อลอยมังกรคู่หงส์ ดุจคู่สร้างคู่สมฮองเฮาอยู่ในลักษณะที่ควรจะเป็นสตรีตระกูลเฟิ่งชื่อเสียงสมคำร่ำลือรังสีที่ทำให้คนสวามิภักดิ์เช่นนั้น แผ่ซ่านออกจากเนื้อใน สวยงามอ่อน
“ฮองเฮา!” ราชทูตรัฐเหลียงทุกคนกล่าวพร้อมกันเฟิ่งจิ่วเหยียนสุขุมอย่างมาก เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข่าวลือเหล่านี้ ข้ามิเคยหลงเชื่อ”เหล่าราชทูตมองหน้ากันไปมา รู้สึกอึดอัดใจทันทีนางพูดสุภาพเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถชักสีหน้าได้!เกรงว่าฮองเฮาแคว้นหนานฉีผู้นี้จะพูด “ข่าวลือ” ไปมากกว่านี้หูเอ่อร์ต๋ากัดฟันกรอด“ถูกต้องแล้ว ล้วนเป็นข่าวลือ!“ข้าไม่มีกลิ่นกายแม้แต่น้อย!”ส่วนพวกอัครเสนาบดีจะเป็นเยี่ยงไรนั้น เขาขอไม่แสดงความคิดเห็นผ่านการตื่นตระหนกครั้งนี้ เหล่าราชทูตไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงเรื่องที่ฮองเฮาถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปอีกเหล่าเสนาบดีแคว้นหนานฉีกลับต่างออกไปพวกเขาอยากได้ยินสิ่งที่ฮองเฮาพูดต่อไปที่พูดไปเมื่อครู่ยังไม่สาแก่ใจ!กุ้ยเฟยยังคงกัดฟันกรอดหูเอ่อร์ต๋ามิพูดอันใดแล้วงั้นรึ?เพียงข่าวลือไม่กี่เรื่อง ก็ทำให้พวกเขาสะอึกจนพูดไม่ออกแล้วหรือ?ความจริงแล้ว สิ่งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมดเป็นเพียง“ข่าวลือ”เท่านั้น สิ่งที่นางทราบยังมีอีกมากมาย เกรงว่านางกล้าพูด พวกเขาก็ไม่กล้าฟัง!เซียวอวี้สายตาเรียบนิ่งมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนโดยไม่ตั้งใจส
เหล่าราชทูตถูกเชือกมัดรอบเอวและดิ้นไม่หลุดเมื่อเห็นม้าเริ่มวิ่งเร็วขึ้น พวกเขาจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเอาชีวิตรอด สองขาจะวิ่งแซงสี่ขาได้อย่างไร ผ่านไปสักพักพวกเขาก็ล้มลงกับพื้น และถูกกระชากลากถูทั้งเป็น ถึงแม้จะเป็นพื้นทราย พวกเขาก็ไม่อาจทนรับความทรมานได้เช่นกันหลังจากวิ่งไปสองสามรอบก็มีเสียงกรีดร้องของผู้คนที่รายล้อมอยู่ด้านบนสนามอาภรณ์ของพวกเขาถูกขูดจนฉีกขาด ส่วนเนื้อหนังก็ถูกครูดจนถลอก บนพื้นยังมีร่องรอยของคราบเลือด... พวกเขายังคงร้องขอความเมตตา“ฮ่องเต้ฉี! ฮ่องเต้โปรดไว้ชีวิตด้วย!” “ฮ่องเต้ฉี...กระหม่อมมิกล้า...กระหม่อมมิกล้าแล้ว!” ราชทูตที่เหลือเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่าโชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้พูดมาก เซียวอวี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินการร้องขอความเมตตาของคนเหล่านั้นเขาดื่มสุราและกินอาหารตามเดิม เขาไม่กลัวแม้แต่น้อยว่าจะร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตทว่าบรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มคุกรุ่น ผู้คนแทบไม่กล้าหายใจ ยกเว้นแต่หร่วนฝูอวี้ ถึงแม้ราชทูตหนานเจียงของนางจะอยู่ในสนามม้าด้วย นางยังคงกินดื่มตามเดิมโดยไม่รู้สึกหนักใจแม้แต่น้อย ทั้งยังให้นางกำนัลเติมสุราให้อีก
เมื่อเห็นว่าแคว้นตนเสียประโยชน์ เหล่าขุนนางของหนานฉีก็คัดค้านทันที“ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! อย่าว่าแต่เหมืองหินเซวียนอิงที่ยังขุดไม่สำเร็จ หินเซวียนอิงที่ได้ก็ยังไม่รู้จำนวนเป็นที่แน่นอนด้วย ถึงแม้จะได้ปริมาณมากพอ แต่นั่นก็ต้องแจกจ่าย นี่ก็ต้องแจกจ่าย เกรงว่าจะเหลือเพียงน้อยนิด!”“กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอ! นี่ไม่เท่ากับทำงานหนักโดยเสียเปล่าให้กับแคว้นอื่นหรอกหรือ?”เหล่าราชทูตสีหน้าดูไม่พอใจ และโต้แย้งกลับทันที“เหตุใดต้องทำงานหนักโดยเสียเปล่า แคว้นจ้าวของเรายินดีจ่ายห้าแสนตำลึงเป็นค่าแรงช่าง!”“ฮ่องเต้ฉี เป่ยเยว่ก็ยินดีจ่ายเงินห้าแสนตำลึงเช่นกัน!”ขุนนางอาวุโสผมขาวโพนผู้หนึ่งของหนานฉีโมโหโกรธเกรี้ยว “นี่เป็นปัญหาเรื่องเงินทองรึ! สิ่งล้ำค่าอย่างหินเซวียนอิงมีมูลค่าเท่าใด? เชื่อว่าพวกเจ้าต้องรู้ดีอยู่แก่ใจ!”แน่นอนว่าพวกเขารู้หินเซวียนอิงเป็นของหายากมีจำนวนน้อยหลายร้อยปีมานี้มีเฉพาะที่แคว้นเป่ยเยี่ยนเพียงแห่งเดียวเท่านั้นเนื่องจากแคว้นเป่ยเยี่ยนอุดมด้วยหินเซวียนอิง จึงได้หลอม “มังกรไฟ” ที่ทรงพลังขึ้นมา ในสมรภูมิรบไม่มีสงครามครั้งใดพ่ายแพ้ จนกลายเป็นแคว้นมหาอำนาจอ
หร่วนฝูอวี้มองฮองเฮาหนานฉีที่อยู่ในตำแหน่งสูงอย่างพินิจพิเคราะห์ฮองเฮาผู้นี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้าไปมองเซียวอวี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยท่าทางของเขาดูเฉยเมย ราวกับว่านั่งเฉย ๆ รอดูเสือต่อสู้กันจากบนภูเขา ราชทูตหนานเจียงกลับทอดสายตามายังฮองเฮา“ฮองเฮา ท่านคิดว่าสตรีผู้นี้เป็นเช่นไร?”เหล่าพระสนมพากันมองมาทางเฟิ่งจิ่วเหยียน ในความเห็นส่วนตัว พวกนางหวังว่าฮองเฮาจะปฏิเสธราชทูตหนานเจียงผู้นี้สตรีในวังหลวงนั้นมีมากพอแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนย้อนถามราชทูตด้วยท่าทีเคร่งขรึม“ข้าเห็นแล้วรู้สึกชอบใจ แต่ให้นางมาเป็นบ่าวรับใช้ข้า จะไม่ทำให้นางลำบากใจหรือ?”แววตาของราชทูตหนานเจียงพลันเปลี่ยนไปบ่าวรับใช้?พวกเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น!เมื่อหร่วนฝูอวี้ได้ยิน นางก็ยกยิ้มมุมปากหากเทียบกับฮ่องเต้ฉีผู้นั้น นางชอบฮองเฮาผู้นี้มากกว่าจะพูดอย่างไรดี รู้สึกตรงใจอย่างมาก ราชทูตหนานเจียงยังคงตรึกตรองการมอบหร่วนฝูอวี้ให้กับฮ่องเต้ฉีก็เพื่อให้นางทำลายชะตากรรมของหนานฉี และลอบสังหารจักรพรรดิอย่างเงียบ ๆหากนางเป็นบ่าวรับใช้ของฮองเฮา นางจะทำเรื่องนี้สำเร็จได้อย่างไร
การแต่งกายของราชทูตหนานเจียงแตกต่างจากแคว้นอื่น บุรุษจะมีรอยสักเป็นรูปสัญลักษณ์ทางความเชื่ออยู่บนใบหน้า สตรีจะมีผ้าคลุมหน้า และสวมเสื้อตัวสั้นเผยให้เห็นบั้นเอวเล็กพวกเขาเป็นชนเผ่าต่างถิ่น ชำนาญการเลี้ยงแมลงมีพิษ และมีธรรมเนียมปฏิบัติแปลกประหลาด ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในหลายแคว้นดูจากที่พวกเขาเข้ามาในท้องพระโรง ผู้คนพากันหลบหลีกแทบไม่ทัน บรรยากาศสรวลเสเฮฮาแต่เดิมพลันหยุดชะงัก สายตาที่ทอดมองไปแฝงด้วยการดูหมิ่นและการรังเกียจโดยเฉพาะสตรีที่เผยบั้นเอวผู้นั้น ช่างขัดต่อจารีตประเพณีเสียจริง!“กระหม่อมถวายบังคมฮ่องเต้ฉี!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตาของนางพลันฉายแววความประหลาดใจแวบหนึ่งในบรรดาราชทูตหนานเจียงมีสตรีเพียงคนเดียวสตรีผู้นี้ก็คือหร่วนฝูอวี้ที่นางเพิ่งส่งกลับไปเมื่อสองวันก่อน!หร่วนฝูอวี้อยู่ในชุดสีแดง ผ้าคลุมบนใบหน้าพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าพิลาศล้ำดวงนั้นมองเห็นไม่ชัดเจนดวงตาของนางมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ทำให้คนที่มองรู้สึกอ่อนระทวย งุนงง และคลั่งไคล้ขึ้นมาทันทีเหล่าบุรุษด้านหนึ่งก็ตำหนิว่านางไม่รู้จักกาละเทศะ แต่อีกด้านหนึ่งก็อดจ้องมองนางไม่ได้สีหน้าของเฟิ่ง
จดหมายของเวยเฉียงเรียบง่ายอย่างมาก ใช้ภาษาไม่ต่างจากเด็ก เขียนบรรยายเรื่องราวในชีวิตประจำวันแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับอ่านอยู่นานนางรู้ อาการป่วยของเวยเฉียงยังไม่หายดี แต่หากมีความสุขเรียบง่ายเช่นนี้ต่อไปได้ ก็นับว่าดีแล้ว……ชายแดนเหนือณ เซียวเหยาจวีเฟิ่งเวยเฉียงมีผ้าคลุมสีเงินผืนใหญ่คลุมบนไหล่ นั่งอยู่บนชิงช้าบริเวณชานเรือนอย่างเหม่อลอย เมื่อใดที่ได้นั่งก็มักจะนั่งเป็นเวลานานไฉ่เยว่ผู้เป็นสาวใช้คอยเฝ้าไม่ห่างกาย ส่วนซ่งหลีวุ่นอยู่กับยาสมุนไพรต่าง ๆ ข้างในเรือนที่นี่ไม่มีคนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวาย ชีวิตจึงสงบสุขทุกวันเมื่อไฉ่เยว่ป้อนยาเฟิ่งเวยเฉียง นางก็ยอมอ้าปากอย่างเชื่อฟังแต่นางจะมองไปยังเบื้องหน้าตลอดเวลา ไม่สบสายตากับผู้ใดทั้งนั้นราวกับเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภวังค์ฝันตลอดกาล ไม่มีใครสามารถปลุกนางขึ้นมาได้ทุกครั้งที่ไฉ่เยว่เห็นคุณหนูยอมทำตามทุกอย่าง มักจะรู้สึกปวดร้าวที่หัวใจเสมอหากคุณหนูไม่ประสบพบเจอเรื่องสกปรกพรรค์นั้น ป่านนี้ก็คงมีความสุขอย่างมาก“คุณหนู วันนี้ท่านจะเขียนจดหมายให้คุณหนูใหญ่หรือไม่?”เฟิ่งเวยเฉียงมีอาการตอบสนองโดยพลัน“เขียนจดหมาย ต้องเขียนจด
สุนัขสวรรค์กินดวงจันทร์ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในวังมีคำสั่งห้ามออกนอกบริเวณ เหล่าองครักษ์ลาดตระเวนจึงผ่อนปรนความเข้มงวดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นพลุส่งสัญญาณจากร้านรับจำนำผิงอัน คิดว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญ จึงรีบออกไปอย่างรวดเร็วครั้นเปิดประตูเข้าไปไม่ทันไร นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆท่ามกลางความมืดมืด พลันมีกลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูกของนางต่อมาไอสังหารก็รุกคืบเข้ามาใกล้เฟิ่งจิ่วเหยียนคว้าจับข้อมือของคนผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ แล้วใช้ฝ่ามือสกัดเอาไว้ทว่าหลังจากนั้น คนผู้นั้นก็พลอยล้มลงในอ้อมกอดของนางร่างกายนุ่มนวลอวบอิ่ม ทับบนตัวของนางโดยพลัน จะดันก็ดันไม่ออก“น้องชายสุดที่รัก พี่สาวคิดถึงเจ้าจะตายแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนพ่นลมหายใจออกมาเงียบ ๆปัญหามาหาแล้ว…ชุยไป๋เปิดไฟ ภายในห้องพลันสว่างวาบใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนทรยศ หักหลังรองผู้นำพันธมิตรเฟิ่งจิ่วเหยียนผลักหญิงสาวในอ้อมกอดออกไปอย่างไร้ความปราณีหร่วนฝูอวี้ใช้มือค้ำคาง ริมฝีปากสีแดงระเรื่อภายใต้ผ้าคลุมขยับเผยอเล็กน้อย“ไม่ได้เจอกันสา
เซียวอวี้นิ่งเงียบ บอกกล่าวเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างจริงจัง“เราอยากให้เจ้ารู้ เรื่องมอบหมายให้จิ้งเฟยดูแลหกตำหนัก เป็นเจตนารมณ์ของเสด็จย่า หาใช่ความต้องการของเรา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง“หมายความว่า…ท่านไม่พึงพอใจจิ้งเฟยงั้นหรือ?”ลมหายใจของเซียวอวี้หนักอึ้งเล็กน้อยนางอย่าชื่อว่าเฟิ่งเวยเฉียงเลย เปลี่ยนชื่อเป็นเฟิ่งก้อนหินดีกว่า!เขาแค่ไม่อยากให้นางเชื่อคำพูดไม่มีมูลในวังเหล่านั้น ที่บอกว่าเขาลำเอียงโปรดปรานแต่จิ้งเฟยแต่คิดอีกแง่มุม นางอยากเข้าใจผิดก็ปล่อยให้เข้าใจผิดไป เหตุใดตัวเขาต้องไปอธิบายกับนางด้วยเซียวอวี้กล่าวอย่างเย็นชา“เจ้าถือซะว่าเราไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” ……ในคืนนั้น ขบวนเสด็จมาเยือนตำหนักซินฮุ่ยฮ่องเต้แผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นชา ทำให้บ่าวรับใช้รอบด้านไม่กล้าปริปากพูดแม้แต่จิ้งเฟยก็ยังเงียบหลังจากผ่านอาหารมื้อเย็น เห็นว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับ จิ้งเฟยก็ฮึดสู้ รวบรวมความกล้าดึงรั้งชายอาภรณ์ของเขาเอาไว้ใบหน้าของเซียวอวี้พลันมีแววไม่พอใจพาดผ่านเมื่อหันกลับไป ก็เห็นจิ้งเฟยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เผยอริมฝีปากจะพูด“ฝ่าบาท ได้ยินว่าคืนน
หนิงเฟยมาถึงตำหนักหย่งเหอ กลับได้ยินว่าฮองเฮากำลังงีบหลับ ไม่ต้อนรับแขกไฟแทบจะไหม้ลามถึงขนคิ้วอยู่แล้ว ฮองเฮายังมีกะจิตกะใจนอนอีกหรือ?หนิงเฟยไม่กลับไปไหน ยังคงรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางกำนัลก็มาเรียนแจ้ง“หนิงเฟย ฮองเฮาตื่นแล้วเพคะ เชิญท่านเข้ามาคุยข้างใน”จุดประสงค์ที่หนิงเฟยมาที่นี่ไม่มีอะไรมาก และไม่คิดที่จะปิดบังไม่ให้คนรู้ด้วยนางทำความเคารพเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จ ก็เอ่ยออกมาว่า“ฮองเฮาเพคะ ท่านรู้หรือไม่ ช่วงหลายวันมานี้ ระหว่างที่ท่านอยู่ในตำหนักเย็น จิ้งเฟยผู้นั้นลำพองใจมากเพียงใด!”“ของดี ๆ ที่แต่ละแคว้นส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ ฝ่าบาทต่างประเคนให้นางหมด“อย่าหาว่าหม่อมฉันปากมากเลยนะเพคะ ขนาดตอนที่ท่านยังตั้งครรภ์โอรสรัชทายาทอยู่ ยังไม่ได้รับของพระราชทานมากมายขนาดนั้น “แถมจิ้งเฟยยังขยันหาเรื่องให้คนอื่นหมั่นไส้ นำสิ่งของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้มาแจกจ่าย ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่านางโอ้อวดที่ตัวเองได้รับความโปรดปรานหรอกหรือ! แค้นนี้ ฮองเฮาอาจจะทนได้ แต่หม่อมฉันทนไม่ได้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนตำแหน่งหลักอย่างรักษากริยาท่าทาง ดื่มชาไปพลาง ฟังหนิง
จอมมารหร่วนฝูอวี้งั้นหรือ!?บุรุษใส่หน้ากากยังไม่ทันได้ตกใจ ศีรษะก็หล่นลงพื้นในชั่วพริบตาต่อมาจางฉีหยางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วหร่วนฝูอวี้…ชื่อนี้ เหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหนสักแห่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาอย่างเป็นมิตรหรือศัตรู ปฏิกิริยาแรกของจางฉีหยางคือหนีเท่านั้นทันใดนั้น พลันมีสายลมเย็นวูบพัดผ่านต่อมา ก็มีมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งมาบีบคอของเขาเอาไว้เสียงอ่อนหวานยั่วยวนแต่อำมหิตของหญิงสาวดังขึ้นมาข้างหู“เจ้าคือลูกศิษย์ที่ซูฮ่วนเพิ่งรับเข้ามาใหม่สินะ?”นางรู้จักอาจารย์?จางฉีหยางไม่ตอบกลับด้วยความระมัดระวังหญิงสาวหัวเราะคิกคัก“ช่างเป็นคนหัวแข็งเสียจริง ไม่เป็นไร ข้าพอมีเวลาว่าง”เล็บยาวราวกรงเล็บของนาง กุมศีรษะของเขาเอาไว้ครั้นนางออกแรง เขาก็รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อในหัวกำลังจะถูกดูดออกมาอย่างไรอย่างนั้น เจ็บปวดอย่างยิ่งเขากัดฟัน ไม่เปล่งเสียงขอร้องอ้อนวอนแต่อย่างใดผ่านไปเค่อยามหนึ่ง ราวกับหญิงสาวเล่นสนุกจนเหนื่อย ถึงได้เก็บมือกลับมาจากนั้นนางก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เลื่อนมือลงไปข้างล่าง เชิดคางของเขาขึ้นจางฉีหยางไม่เห็น เพียงรู้สึกได้ว่าใ