กุ้ยเฟยฉลองพระองค์สีชาดที่เป็นสีของภรรยาหลวงสวมใส่ได้เท่านั้น ความมุ่งมาดปรารถนาเด่นเห็นได้ชัดนางงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผนวกกับการแต่งแต้มของเครื่องประทินโฉม สะกดทุกสายตาของเหล่าฝูงชน บดบังรัศมีนางสนมทั้งหมด ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใดไม่คิดว่า เมื่อฮองเฮาปรากฏกาย สายตาที่จับจ้องนางมลายสิ้นแล้วนางผินสายตามองตามฝูงชนไป ดวงตาเบิกกว้างทันที...เฟิ่งจิ่วเหยียนฉลองพระองค์อาภรณ์พิธีการสีเหลือง สวมมงกุฎราชินี งดงามสง่า ดูดีมีชาติตระกูลหากกล่าวว่ากุ้ยเฟยงดงามเย้ายวนใจ ฮองเฮาสง่างามยากจะหาสิ่งใดเปรียบได้กุ้ยเฟยคือบุปผาท่ามกลางชลาศัย ความงามที่เย้ายวนใจทำให้คนปรารถนานำมาเชยชมฮองเฮาคือจันทราบนท้องนภา ทำให้คนใฝ่หาทว่าเอื้อมไม่ถึง รู้อยู่แก่ใจว่าไม่คู่ควร และมิกล้าคิดสกปรกโสมม ทำได้เพียง“เคารพบูชา”นางอย่างระมัดระวัง นี่เป็นความงามชนิดหนึ่งที่ทำให้คนยอมสวามิภักดิ์ไทเฮานั่งอยู่ที่ตำแหน่ง มองไปที่ฮองเฮา อดไม่ได้ที่เหม่อลอยมังกรคู่หงส์ ดุจคู่สร้างคู่สมฮองเฮาอยู่ในลักษณะที่ควรจะเป็นสตรีตระกูลเฟิ่งชื่อเสียงสมคำร่ำลือรังสีที่ทำให้คนสวามิภักดิ์เช่นนั้น แผ่ซ่านออกจากเนื้อใน สวยงามอ่อน
“ฮองเฮา!” ราชทูตรัฐเหลียงทุกคนกล่าวพร้อมกันเฟิ่งจิ่วเหยียนสุขุมอย่างมาก เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข่าวลือเหล่านี้ ข้ามิเคยหลงเชื่อ”เหล่าราชทูตมองหน้ากันไปมา รู้สึกอึดอัดใจทันทีนางพูดสุภาพเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถชักสีหน้าได้!เกรงว่าฮองเฮาแคว้นหนานฉีผู้นี้จะพูด “ข่าวลือ” ไปมากกว่านี้หูเอ่อร์ต๋ากัดฟันกรอด“ถูกต้องแล้ว ล้วนเป็นข่าวลือ!“ข้าไม่มีกลิ่นกายแม้แต่น้อย!”ส่วนพวกอัครเสนาบดีจะเป็นเยี่ยงไรนั้น เขาขอไม่แสดงความคิดเห็นผ่านการตื่นตระหนกครั้งนี้ เหล่าราชทูตไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงเรื่องที่ฮองเฮาถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปอีกเหล่าเสนาบดีแคว้นหนานฉีกลับต่างออกไปพวกเขาอยากได้ยินสิ่งที่ฮองเฮาพูดต่อไปที่พูดไปเมื่อครู่ยังไม่สาแก่ใจ!กุ้ยเฟยยังคงกัดฟันกรอดหูเอ่อร์ต๋ามิพูดอันใดแล้วงั้นรึ?เพียงข่าวลือไม่กี่เรื่อง ก็ทำให้พวกเขาสะอึกจนพูดไม่ออกแล้วหรือ?ความจริงแล้ว สิ่งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมดเป็นเพียง“ข่าวลือ”เท่านั้น สิ่งที่นางทราบยังมีอีกมากมาย เกรงว่านางกล้าพูด พวกเขาก็ไม่กล้าฟัง!เซียวอวี้สายตาเรียบนิ่งมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนโดยไม่ตั้งใจส
ความจริงแล้ว ในเมื่อราชทูตขานชื่อพี่น้องตระกูลเฟิ่ง พวกเขาทำได้เพียงยอมรับแม้กระทั่งเซียวอวี้ที่เป็นฮ่องเต้ ก็ปฏิเสธแทนพวกเขาไม่ได้ตามที่เขาทราบมา สองพี่น้องตระกูลเฟิ่งนี้น้องรองเป็นแค่น้องชายที่ทำตัวเสเพลคนหนึ่งสำหรับเฟิ่งเหยียนเฉินนั้น เมื่อเป็นชายหนุ่มมีผลงานล้ำเลิศจริง ทว่าไม่นานนักก็สูญสิ้นความสามารถ และถูกผู้คนลืมเลือน อย่างไรก็ตาม จอหงวนฝ่ายบู๊ก็มีทุกปี ต่อให้ความสามารถทางการต่อสู้จะเก่งกาจเพียงใด ทำคุณูปการอันใดไม่ได้ ก็จะถูกทิ้งขว้างดั่งสิ่งของไร้ค่าการต่อสู้กับขวยโต่วครั้งนี้ เซียวอวี้ไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาชนะอยู่แล้วในทางตรงกันข้าม การประลองสองรอบแรกยอมอ่อนข้อให้รัฐเหลียงไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใดเพียงแค่คนที่จะประลองต่อจากสองพี่น้อง สามารถประลองโจมตีให้ขวยโต่วพ่ายแพ้ เอาชนะรอบสุดท้ายมา แคว้นหนานฉีก็สามารถรักษาความมีน้ำใจของเจ้าบ้านและไม่อับอายขายหน้าเขารับสั่งกับข้าหลวง“พาพวกเขาไปเตรียมตัว”“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!”เฟิ่งหมิงเซวียนได้ยินดังนั้น ตกใจจนขาอ่อนแทบจะเดินไม่ไหวทันทีนี่ ๆ ...นี่จะต้องเข้าสู่สนามประลองหรือ?ไม่!เขาไม่อยากตาย!เขาคิดที่จะปฏ
เมื่อวานเฟิ่งเหยียนเฉินได้รับบาดเจ็บจากพวกเซวียฉือ แขนขวาออกแรงไม่ได้ชั่วคราวหากเขาขึ้นเวทีประลองด้วยสภาพเช่นนี้ จะต้องถูกขวยโต่วโต้กลับอย่างแน่นอนเฟิ่งจิ่วเหยียนแววตาเย็นยะเยือกเวลานี้ บนเวทีประลอง เฟิ่งหมิงเซวียนยังคงถูกขวยโต่วต่อยตีอย่างทารุณผู้ใดชนะผู้ใดพ่ายแพ้ มองปราดเดียวก็ทราบชัดเหล่าเสนาบดีแคว้นหนานฉีต่างรู้สึกอับอายอย่างไรก็ตามคุณชายรองตระกูลเฟิ่งนี้ก็ฝึกจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ไยถูกต่อยตีจนไร้ทางสู้กลับเช่นนี้?ช่างน่าอายเหลือเกิน!นายท่านเฟิ่งก้มหน้า พยายามทำตัวไม่ให้โดดเด่นอย่างเต็มกำลังขวยโต่วนั้นเก่งกาจเช่นนี้ วันนี้ตระกูลเฟิ่งของเขาอับอายเป็นอย่างมาก!อยากจะขุดหลุมหมุดผืนพสุธาเสียจริงตุ้บ!เฟิ่งหมิงเซวียนถูกโยนลงจากเวที ท้ายที่สุดก็หมดสติไปหน้ากากยังคงอยู่บนหน้าเขาอย่างสมบูรณ์ไร้ความเสียหายข้าหลวงรีบพาตัวเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วถึงแม้นายท่านเฟิ่งจะเป็นห่วง ทว่าก็ไม่กล้ารุดหน้าเข้าไปถามตอนนี้ขวยโต่วที่อยู่บนเวทีฮึกเหิมดวงตาแดงก่ำ ใช้กำปั้นทุบอกตนเองดั่งชะนีแขนยาว คำรามด้วยความเดือดดาล“ยังไม่พอ! มีผู้ใดอีก!”เขาราวกับผู้ล่า สายตามองไปที่เหล่า
แววตาเฟิ่งเหยียนเฉินมัวหมองลง ราวกับตกลงสู่เหวลึกอันไร้ขอบเขต บ่นพึมพำกับตัวเอง“ล้วนเป็นเพราะข้า...ข้าไม่ระมัดระวัง ไม่มีความอดทนเพียงพอ”“เมื่อวาน ข้าควรจะอดทนไว้“ไม่อย่างนั้นก็คงไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนมุ่งเน้นสนใจการแก้ปัญหา“มีคนตั้งใจอยากให้เจ้าแพ้ ต่อให้เจ้าไม่ทำอะไร พวกเขาก็จะทำให้เจ้าบาดเจ็บ”ยังไงเฟิ่งเหยียนเฉินก็เป็นจอหงวนฝ่ายบู๊[1] มีความสามารถไม่ด้อย เพื่อการประลองในวันนี้ กุ้ยเฟยต้องเตรียมการอย่างเพียบพร้อมและเป็นเพราะนางประมาท ไม่ได้คำนึงถึงด้านนอกวังในขณะเดียวกันก็ประเมินแผนการของกุ้ยเฟยต่ำไปหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาว่า“เอาหน้ากากมาให้ข้า ข้าหาคนประลองแทนเจ้า”ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เฟิ่งเหยียนเฉินชักสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ไม่ได้ แบบนี้คือเป็นการโกง”ต่อให้เขาไม่ได้เรื่องแค่ไหน ก็จะเอาชนะด้วยวิธีต่ำทรามแบบนี้ไม่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบเคร่งขรึมว่า“โอกาสมีเพียงครั้งเดียว จะเอา หรือไม่เอา”เฟิ่งเหยียนเฉินคอแหบแห้ง“เจ้าสืบรู้ความจริงของเรื่องนั้นในตอนนั้นได้แล้ว จริงๆ หรือ?”แววตาเฟิ่งจิ่วเ
ทุกคนล้วนหันไปมองดูบนเวทีประลองนั้น ภาพดุเดือดรุนแรงที่คาดคิดไว้ ไม่ได้เกิดขึ้น มีคนต้านทานไว้แล้ว!?แต่ คนนั้นคือใคร?กลุ่มคนที่มองดูอยู่ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า“เหมือนจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเฟิ่ง!”จากนั้นก็มีคนพูดขึ้นมาอีกว่า “ใช่ น่าจะเป็นเขา! สวมหน้ากาก!”นอกจากคุณชายสองท่านของตระกูลเฟิ่ง เหล่าขุนพลที่ขึ้นมาประลองเป็นการชั่วคราวในช่วงกลาง พวกเขาล้วนเพียงสวมหน้ากากอย่างเร่งรีบ ไม่ได้ผูกอุปกรณ์ป้องกันดังนั้นแม้ว่าจะอยู่ห่างไกล มองเห็นไม่ชัดเจน ก็สามารถมองผ่านข้อศอก อุปกรณ์ป้องกันที่มีสีสัน ยืนยันสถานะ“สามารถต้านทานหมัดนั้นของขวยโต่วไว้ได้ น่าทึ่งอย่างมาก!”หูเอ๋อร์ต๋าได้ยินเช่นนี้ ก็พ่นลมหายใจเย็นออกมารับไว้ได้หมัดเดียวเท่านั้นเองขวยโต่วยังมีอีกหลายหมัดรออยู่!บนเวทีประลองขวยโต่วชักหมัดนั้นกลับคืน ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แววตาจับจ้องมองคู่ต่อสู้ที่ปรากฎตัวมาอย่างกะทันหันบุคลิกบนตัวคนนี้ ไม่เหมือนกับพวกคนก่อนหน้านี้แต่...ขอเพียงไม่ใช่เมิ่งสิงโจว เขาก็จะไม่มีทางแพ้!“มา!” ขวยโต่วแกว่งแขน พร้อมพูดขึ้นมาว่า “มาสิ ต่อยตรงนี้!”ทุกคนล้วนคิดว่าคนที่สวมหน้ากากทาสคุนหล
แม่ทัพเฉินเป็นคนแรกที่เข้าใจสถานการณ์บนเวที เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ“เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ได้คิดอยากทำให้ขวยโต่วเหนื่อย ยิ่งไม่ได้เป็นการป้องกัน ในทางกลับกัน เขากำลังโจมตี!”“เป็นไปได้อย่างไร? เขาหลบเลี่ยงอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ?”“แม่ทัพเฉิน เจ้าดูจนโง่ไปแล้วหรือเปล่า?”แม่ทัพเฉินส่ายหัว จับจ้องมองดูบนเวทีไปด้วย พูดตอบอย่างแน่วแน่ไปด้วยว่า“ไม่ ไม่ผิดแน่นอน เฟิ่งเหยียนเฉินกำลังโจมตีด้วยวิธีเร้นลับอย่างหนึ่ง!”อีกสองคนรีบพูดขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า“ทำการโจมตีอย่างไร?”แม่ทัพเฉินพูดอย่างรวดเร็ว อธิบายให้พวกเขาฟังว่า“เฟิ่งเหยียนเฉินกำลังหมุนวนเพื่อหลบเลี่ยง แต่พวกเจ้าดู เขาไม่ได้หลบเลี่ยงอย่างไร้ทิศทาง แต่กำลังหลบเลี่ยงไปทางด้านหนึ่งอยู่ตลอด...ข้างซ้ายของเขา ซึ่งก็คือข้างขวาของขวยโต่ว”“นี่บ่งบอกถึงอะไร? เฟิ่งเหยียนเฉินหมุนวนทิศทางเดียว คิดอยากทำให้ขวยโต่วเวียนหัว? ใช่! ทำให้เวียนหัว! ดังนั้นตอนนี้ขวยโต่วเสียสมดุลแล้ว...”แม่ทัพเฉินพูดปฏิเสธคำพูดนี้ว่า“ไม่ใช่!”ทำให้คู่ต่อสู้เวียนหัว? จะมีวิธีโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไรแม่ทัพเฉินพูดขึ้นมาว่า“พวกเจ้าดู ทุกครั้งที่ขวยโต่วเคลื่อนไหว
ขวยโต่วล้มลงในทันใด เหมือนดั่งภูเขาที่ตั้งตระหง่าน พังทลายลงอย่างกะทันหันทุกคนล้วนตกตะลึงอย่างมากมีเกิดอะไรขึ้น?ยังไม่ทันมองดูอย่างชัดเจน คนนี้ก็...บนเวทีประลองเฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดขาไปข้างหลัง กระแทกตรงหน้าอกขวยโต่วอย่างจังขวยโต่วอยากลุกขึ้นมา กลับทำไม่ได้เข่าขวา...เหมือนแตกหักแล้ว เจ็บปวดอย่างที่สุด!ขวยโต่วกัดฟัน อดกลั้นไว้ ลองที่จะลุกขึ้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ให้เขาได้มีโอกาสนี้ กระโดดลอยไป เน้นพลังทั้งหมดไปที่หัวเข่า โจมตีคอของขวยโต่วขวยโต่วสูญเสียความสมดุลไปทั้งร่างกาย พร้อมล้มไปข้างหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนงอเข่า คุกเข่ากดทับตรงลูกกระเดือก...ขวยโต่วมองผ่านหน้ากากทาสคุนหลุน มองเห็นดวงตาข้างหลังหน้ากากดวงนั้นเป็นเหมือนแอ่งน้ำนิ่งลึกล้ำ ดึงดูดเขาไว้อย่างจัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้...เป็นเจ้าได้อย่างไร...”เขาเพียงแค่เตะตรงเข่าของขวยโต่วหนึ่งที ทำไมถึงได้มีอานุภาพรุนแรงขนาดนี้ภายใต้หน้ากาก เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้นริมฝีปากเล็กน้อยขวยโต่วค่อยเข้าใจขึ้นมาว่า นับตั้งแต่เริ่มประลอง คนคนนี้ก็ทำให้ตนเองหมุนวนเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เข่าขวาของตนเองบาดเจ็บ!นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เล
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย