ขวยโต่วล้มลงในทันใด เหมือนดั่งภูเขาที่ตั้งตระหง่าน พังทลายลงอย่างกะทันหันทุกคนล้วนตกตะลึงอย่างมากมีเกิดอะไรขึ้น?ยังไม่ทันมองดูอย่างชัดเจน คนนี้ก็...บนเวทีประลองเฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดขาไปข้างหลัง กระแทกตรงหน้าอกขวยโต่วอย่างจังขวยโต่วอยากลุกขึ้นมา กลับทำไม่ได้เข่าขวา...เหมือนแตกหักแล้ว เจ็บปวดอย่างที่สุด!ขวยโต่วกัดฟัน อดกลั้นไว้ ลองที่จะลุกขึ้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ให้เขาได้มีโอกาสนี้ กระโดดลอยไป เน้นพลังทั้งหมดไปที่หัวเข่า โจมตีคอของขวยโต่วขวยโต่วสูญเสียความสมดุลไปทั้งร่างกาย พร้อมล้มไปข้างหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนงอเข่า คุกเข่ากดทับตรงลูกกระเดือก...ขวยโต่วมองผ่านหน้ากากทาสคุนหลุน มองเห็นดวงตาข้างหลังหน้ากากดวงนั้นเป็นเหมือนแอ่งน้ำนิ่งลึกล้ำ ดึงดูดเขาไว้อย่างจัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้...เป็นเจ้าได้อย่างไร...”เขาเพียงแค่เตะตรงเข่าของขวยโต่วหนึ่งที ทำไมถึงได้มีอานุภาพรุนแรงขนาดนี้ภายใต้หน้ากาก เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้นริมฝีปากเล็กน้อยขวยโต่วค่อยเข้าใจขึ้นมาว่า นับตั้งแต่เริ่มประลอง คนคนนี้ก็ทำให้ตนเองหมุนวนเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เข่าขวาของตนเองบาดเจ็บ!นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เล
ในช่วงเวลาวิกฤติ เฟิ่งจิ่วเหยียนคว้าจับเสาไม้นั้น ใช้มันเป็นเครื่องช่วยในการพลิกหมุนตัวชายอาภรณ์พลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ วาดเป็นภาพโค้งที่สมบูรณ์แบบทันใดนั้น นางกระโดดมาตรงหน้าขวยโต่ว ดึงสายคาดเอวของเขาออกในทันทีพวกสตรีที่มาชมการประลอง รีบหลับตาหันหน้าไปแต่มีระยะห่างอยู่ช่วงหนึ่ง พวกนางก็มองเห็นไม่ชัดเจนรู้เพียงว่าสายคาดเอวของขวยโต่วถูกกระชาก ตกอยู่ในมือของเฟิ่งเหยียนเฉิน เป็นเหมือนกับแส้ยาวเซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้มกระชากสายคาดเอวบังเอิญมาก นักฆ่าสาวคนนั้นก็เคยใช้กระบวนท่านี้กับเขาทุกคนล้วนแปลกประหลาดใจ เฟิ่งเหยียนเฉินกระชากดึงสายคาดเอวของขวยโต่ว คิดอยากทำอะไร?แม้แต่ขุนพลสามคนที่อยู่ใกล้เวทีประลองที่สุด พวกเขาก็ดูไม่เข้าใจหรือเพื่อทำให้ขวยโต่วอับอายขายหน้า?หรือฉวยโอกาสจู่โจม ตอนที่ขวยโต่วปล่อยเสาไม้ ดึงกางเกงขึ้นมา?……เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ข้างหลังขวยโต่ว ขวยโต่วไม่ทันสนใจดึงกางเกง ยกเสาไม้ขึ้นมา โจมตีไปข้างหลังเพียงพริบตาเดียว เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้สายคาดเอวของเขาฟาดเสียงดัง “ซัว ซัว” หลายที ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกมัดไว้กับเสาไม้“วิเศษมาก!” แม่ทัพเฉินที่อยู่ข้างล่างพู
เงาร่างสูงของเซียวอวี้ แทบบดบังแสงแดดตรงข้างประตูบนโต๊ะภายในห้องมีหน้ากากทาสคุนหลุนใบนั้นวางอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาผอมเรียวของเซียวอวี้ ปกคลุมไปด้วยความดุร้าย สายตาจับจ้องมองดูเงาร่างข้างหลังม่านเขาต่อสู้กับนักฆ่าสาวคนนั้นหลายครั้งกระบวนท่าของนาง ฝังแน่นอยู่ในความจำลึกล้ำของเขาการเคลื่อนไหวหลายอย่างของเฟิ่งเหยียนเฉินเมื่อกี้นั้น เป็นเหมือนกับนางอย่างมาก!เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ เขาต้องมายืนยันด้วยตาตนเอง!ภายใต้ชุดคลุมมังกร ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวออกไปอย่างรวดเร็วเขาเดินเข้าไปในอีกทางด้านหนึ่งของม่าน เอื้อมแขนยาวออกไป…วินาทีนั้น สายตาสองคู่ประสานกันเฟิ่งเหยียนเฉินถูกคว้าจับแขน เผยไหล่ขวาออกมาครึ่งหนึ่ง: ! ?“ถวายบังคมฝ่าบาท!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่ทันได้ดึงอาภรณ์ขึ้น รีบก้มศีรษะถวายบังคมก่อนคิ้วเข้มเยือกเย็นชาของเซียวอวี้ ขมวดชนกันแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาทั้งคู่ดำเข้ม เหมือนเมฆครึ้มก่อตัวรวมกัน“ที่นี่ มีเจ้าคนเดียว?”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่เข้าใจ“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”เวลานี้หลิวซื่อเหลียงตามเข้ามา เห็นฝ่าบาทคว้าจับอาภรณ์คุณชายตระกูลเฟิ่งที่สวมอาภรณ์ไม่เรียบ สายตานั้น เหมือนจะกลื
แววตาเซียวอวี้เยือกเย็นลึกล้ำวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่เพียงเพื่อป้องกันวังหลังกับส่วนหน้าสมรู้ร่วมคิด ส่งผลให้เกิดเผด็จการในหมู่ญาติ ยังเป็นเพราะว่า ส่วนใหญ่สตรีวังหลังไม่มีความรู้ ปกติวางแผนเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานก็ช่างเถอะ โอกาสในที่เป็นทางการนั้น ล้วนไม่รู้จักกาลเทศะในขณะที่เซียวอวี้กำลังจะพูดกู้สถานการณ์ให้กลับมาสมดุล เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อยว่า “กุ้ยเฟยพูดผิดไปแล้วจริง“เหนือคนยังมีคน เป็นคุณความดีของคนเพียงคนหนึ่ง“ทว่าความจริง ทหารพันหมื่นที่ชายแดนล้วนเป็นชายชาตรี ผลงานการต่อสู้นั้นไม่สามารถได้มาเพราะคนคนเดียว เหมือนอย่างเมื่อครู่ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้ามีหลายคนบั่นทอนกำลังกายของขวยโต่ว ทำให้เขาเผยถึงจุดด้อย พี่ชายของข้าก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ไวขนาดนี้“ยังไงพวกท่านก็ส่งคนมาเพียงคนเดียว ดังนั้นครั้งนี้ถือว่าแคว้นหนานฉี เอาชนะได้เพราะจำนวนคนมากกว่า“ที่ผ่านมากองกำลังทั้งสองต่อสู้กัน แคว้นหนานฉีก็ใช้กองกำลังนับแสน ต่อสู้กับกองกำลังรัฐเหลียงเก้าหมื่นเช่นกัน แม้รัฐเหลียงจะพ่ายแพ้แต่ก็ยัง
เฟิ่งเหยียนเฉินร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมในตอนนี้ ทำเอาทุกคนตกใจคดีเมื่อสองปีก่อน เขานำกลับมาพูดในตอนนี้? ผ่านไปตั้งนานขนาดนั้นแล้ว ยังจะสืบชัดเจนได้อย่างไร?เซวียฉือพูดโต้เถียงขึ้นมาทันทีว่า“คุณชายใหญ่เฟิ่ง เจ้ามีความคับข้องใจอะไร ก็ควรไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าหลี่ ตอนนี้มาร้องทุกข์ต่อหน้าพระพักตร์ คนไม่รู้จะคิดว่ากฎหมายแคว้นหนานฉีเราไม่เข้มงวด!”คนบ้าคนนี้! เขาคิดอยากทำอะไร?นายท่านเฟิ่งก็คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งเหยียนเฉินจะทำเช่นนี้เขารีบลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท บุตรชายของกระหม่อมไม่มี...”เฟิ่งเหยียนเฉินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า“เมื่อสองปีก่อน กระหม่อมได้รับมอบหมายให้นำส่งอาหารบรรเทาสาธารณภัย เดินทางผ่านโป๋โจว ถูกกลุ่มโจรซุ่มโจมตี...”เซวียฉือกระโดดออกมาทันที พร้อมพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า“เฟิ่งเหยียนเฉิน ยังกล้าพูดถึงเรื่องนั้นอีก!“ไม่ใช่เพราะเจ้าคาดการณ์ผิด มุ่งมั่นที่จะเดินเส้นทางนั้น พวกพี่น้องก็จะไม่ต้องตาย!”เขาชิงพูดโจมตีขึ้นมาก่อน บ่งชี้ว่าเป็นความผิดของเฟิ่งเหยียนเฉินเหล่าขุนนางหวนคิดถึงเรื่องนี้ ต่างก็พูดวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา“ที่แท้ก็เป็นเรื่องน
เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเสร็จ ก็นำจดหมายเหล่านั้นออกมาให้พวกมันตกอยู่ในมือของเซียวอวี้ เขาเปิดอ่านทีละฉบับเซวียฉือกับผู้ตรวจสอบยืนนิ่งอยู่กับที่ เงียบกลั้นหายใจ ไม่กล้ามองสบตากันเลยโดยเฉพาะเซวียฉือเขาพูดกับตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า...เป็นของปลอม ล้วนเป็นของปลอม ฮองเฮากับเฟิ่งเหยียนเฉินหลอกลวงเขา!ปัง!เซียวอวี้เอาจดหมายฟาดบนโต๊ะ แววตาเย็นวาบเต็มไปด้วยรัศมีสังหาร“พวกเจ้าสองคน คุกเข่าลง!”ทั้งสองคนเขาอ่อนทันที รีบคุกเข่าลงบนพื้นจากนั้น ข้าหลวงนำจดหมายวางตรงหน้าพวกเขา ให้พวกเขาดูด้วยตนเอง เป็นการใส่ร้ายพวกเขาหรือไม่หากเป็นการใส่ร้าย ก็จะสั่งให้คนมาเทียบลายมือเซวียฉือกวาดสายตามองดู ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นไปทั้งหลัง เหมือนแสงแทงข้างหลังนี่เป็นไปได้อย่างไร!จดหมายพวกนั้น เขาเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี ไม่มีใครหาเจอเซวียฉือไม่แล้วใจ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา ตรวจสอบไปมาหลายรอบ สงสัยว่ามีคนปลอมแปลงแต่ยิ่งดูก็ยิ่งใจหายของจริง! ล้วนเป็นของจริง!เช่นนั้นเขาก็ต้องจบแน่แล้ว...เดี๋ยวก่อน ในจดหมายพวกนี้ ล้วนไม่เป็นผลดีกับผู้ตรวจสอบใต้เท้าวัง เขายังมีโอกาสรอด!หัวสมองเซวียฉือหมุนวนอย่างร
ได้ยินว่าลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ เหล่าขุนนางล้วนสะดุ้งสั่นเทาตามกฎหมาย ความผิดของทั้งสองคนไม่ถึงขั้นนั้นเซวียฉือกับผู้ตรวจสอบ ยิ่งตกตะลึงหวาดกลัวไม่! ตอนนั้นเฟิ่งเหยียนเฉินก็เพียงแค่ถูกลดตำแหน่ง ทำไมพอถึงพวกเขากลับถึงขั้นลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ!“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตด้วย...”เซวียฉือคลานไปหาเฟิ่งเหยียนเฉิน พร้อมกอดขาเขาไว้แน่น“เหยียนเฉิน สหายเหยียนเฉิน เจ้าช่วยข้าด้วย เราเคยเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา...”เซวียฉือที่เมื่อวานยังโอหังอวดดี ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนสุนัขเฟิ่งเหยียนเฉินเกลียดชังเซวียฉือกับใต้เท้าวัง แทบอยากจะฆ่าพวกเขาด้วยมือตนเองเผชิญกับการร้องขอของเซวียฉือ เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า“เจ้าหักหลังพวกพี่น้อง ตอนที่ใช้ชีวิตพวกเขาแลกกับอนาคต ทำไมถึงไม่เคยคิดว่า พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน!“เซวียฉือ เจ้าสมควรตายยิ่งกว่าใต้เท้าวัง!”สีหน้าเซวียฉือเหมือนมะเขือโดนน้ำค้าง พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ไม่ ไม่! เจ้าจะไม่ช่วยข้าไม่ได้...เหยียนเฉิน เจ้าลืมแล้วหรือ เราเคยดื่มเหล้าด้วยกัน เจ้ายังเคยพูดว่า พวกเราจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปชั่วชีวิต...”เหล่
กุ้ยเฟยสลบ จึงถูกส่งตัวกลับไปที่ตำหนักหลิงเซียวหมอหลวงฝังเข็มให้หลายเข็ม นางก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเซียวอวี้เผยสีหน้ากังวลออกมา หมอหลวงกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระนางได้รับบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี จึงเกิดภาวะโลหิตไม่ไหลเวียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงต้องพักฟื้น…”ณ ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง ถอดปิ่นปักผมทีละชิ้นอย่างช้า ๆเหลียนซวงคอยปรนนิบัติรับใช้นาง ใจยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย“พระนาง ท่าน…ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ?”“ขวยโต่วผู้นั้นแข็งแกร่งเอาเรื่อง ท่านไม่ต้องให้หมอหลวงมาดูจริงหรือเพคะ?”กล่าวจบนางก็รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้วหากให้หมอหลวงเห็นบาดแผลของพระนาง ไม่เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนของพระนางหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาก่อเกิดไอเยือกเย็นหนาบาง“เรื่องที่ข้าลงสนามประลอง ห้ามบอกให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด”เหลียนซวงรีบพยักหน้า“เพคะ! พระนาง”นางรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดไม่นานนัก ขันทีจากห้องทรงพระอักษรก็มากราบทูล“ฮองเฮา ฝ่าบาททรงเรียกท่านไปสอบถามพ่ะย่ะค่ะ…”เหลียนซวงมือสั่นอย่างร้อนตัว“พระนาง คงไม่ใช่ว่าฝ่าบาท…”
ท้ายที่สุดซ่งหลีก็ต้องจากไปทว่า การจากไปในครานี้หาใช่เป็นการล้มเลิกไม่ แต่เป็นการกลับไปที่ตระกูลซ่งเพื่อเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวบิดามารดาของตน ยามที่ต้องแยกจากกันนั้น เขายังเอ่ยกำชับกับไฉเยว่อีกด้วยว่าต้องให้เวยเฉียงกินยาทุกวัน ก่อนจะหันไปกล่าวกับเวยเฉียงด้วยความรักใคร่อันสุดซึ้งว่า“รอข้า ข้าจักต้องกลับมารับเจ้าอย่างแน่นอน”“อื้ม” เฟิ่งเวยเฉียงพลันหันหน้าหนี เพื่อเก็บซ่อนหยาดน้ำตาของตนเองเอาไว้ซ่งหลีจึงหันไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนก่อนจะโค้งกายคำนับ “ได้โปรดดูแลเวยเฉียงด้วย”เฟิงจิ่วเหยียนจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก“น้องสาวของข้า ข้าย่อมต้องดูแลนางเป็นอย่างดี ซ่งหลี หากเจ้ามิอาจแก้ปัญหาได้แล้วละก็ เขียนจดหมายส่งกลับมาเสีย อย่าได้ปล่อยให้เวยเฉียงรอเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ พวกข้าหาได้ถือโทษโกรธเคืองเจ้าไม่”ซ่งหลีโค้งกายคำนับอีกครั้ง “ข้าจะกลับมา”สุดท้าย ซ่งหลีมองไปที่เฟิ่งเวยเฉียงอย่างไม่เต็มใจจาก พลางเดินขึ้นรถม้าไปหลังจากที่ซ่งหลีจากไปนั้น เฟิ่งเวยเฉียงก็อดไม่ได้พลันร่ำไห้ออกมา“ท่านพี่...เขา เขาจะกลับมาจริง ๆ ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโอบกอดนางเบา ๆ “ต้องมา”ยามที่เอ่ยออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันมองไปยังฮูหยินผู้สูงศักดิ์นางหนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาใบหน้าของฮูหยินนั้นดูซีดเซียวเล็กน้อย คงเป็นเพราะว่าเร่งเดินทางมานานหลายวัน เมื่อเห็นมีคนยืนอยู่ด้านหน้าเซียวเหยาจวีนั้น นางจึงเหลือบตามองครู่หนึ่ง พลางเผยท่าทีผู้สูงศักดิ์ออกมา “บุตรชายของข้า ซ่งหลีอยู่ที่ใด”เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงรับรู้ได้ในทันทีว่า คนผู้นี้คือมารดาของซ่งหลีอย่างแน่นอน ใบหน้ามีความคล้ายคลึงเจือไปด้วยความฉลาดเฉลียว ใบหน้าเรียวเล็ก ดูผอมบาง หากแต่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นกลับเจือไปด้วยความดุดันเข้มงวด ราวกับอาจารย์ที่ใบหน้ามิค่อยยิ้มแย้ม ในมือพลันถือไม้เรียวเอาไว้ภายในเซียวเหยาจวีนั้นด้านหน้าห้องโถงถึงแม้ว่าแม่ซ่งจักเป็นแขก ทว่า เนื่องด้วยนางมีสถานะเป็นผู้อาวุโสจึงได้รับเกียรติให้นั่งหัวโต๊ะในทันทีซ่งหลีจับมือเฟิ่งเวยเฉียงเอาไว้ พลางแสดงความเคารพต่อแม่ซ่งพร้อมกันฮูหยินซ่งมิได้เหลือบตามองดูพวกเขาแม้แต่น้อย นางพลันหลุบสายตาลงเพื่อก้มหน้าดื่มชาด้วยท่าทีสำรวมบรรยากาศภายในห้องพลันตกสู่ความเงียบงันไปในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ด้วยนั้น ดวงตาของนางพลางทอประกายความเย็นชาออกมาแม่ซ่งผู้นี้
“จิ่วเหยียน?” ฮูหยินเมิ่งลองเอ่ยถาม“เจ้าค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ เดิมคิดว่าจะได้คลายความกลัดกลุ้ม จึงออกจากเซียวเหยาจวีมาที่จวนแม่ทัพโดยมิรู้ตัวฮูหยินเมิ่งจุดตะเกียง เมื่อมองเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้ว่านางต้องพบเจอปัญหาอะไรบางอย่างเฟิ่งจิ่วเหยียนบอกเรื่องของเวยเฉียงกับซ่งหลี พร้อมกับถามว่า: “ข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไปหรือไม่?”ฮูหยินเมิ่งกุมมือของนาง และเอ่ยโน้มน้าว“หากพวกเขารักกัน ต่อให้เจ้าใช้ทุกวิถีทาง ก็แยกพวกเขาออกจากกันไม่ได้ ซ่งหลีข้าเคยพบแล้ว นับว่าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง“เวยเฉียงอยู่กับเขา จะไม่มีทางลำบาก“ข้ากลับเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์หญิงถึงเป็นห่วงตนฮูหยินเมิ่งตบหลังมือของนางเบา ๆ “เจ้ามักจะคำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย การทำศึกสำหรับเจ้ามิใช่เรื่องยาก สิ่งที่เจ้าผ่านได้ยากที่สุด คือด่านความรัก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปาก“อาจารย์หญิง บอกท่านตามตรง ตอนนี้ข้ากำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่จริง ๆ”แววตาของฮูหยินเมิ่งเผยให้เห็นความสงสัยในทันทีหลังจากต้วนไหวซวี่ตายแล้ว
ไฉ่เยว่รู้สึกกังวลใจ “คุณหนูตกลงรับรักของท่านหมอซ่งแล้ว เดิมนี่เป็นเรื่องดี ทว่าบ่าวกังวลว่า ตระกูลซ่ง...ตระกูลซ่งจะไม่ยอมรับคุณหนู ถึงเวลานั้นอาจจะดีใจเก้อ คนที่เสียใจก็จะเป็นคุณหนู“คุณหนูจิ่วเหยียน ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ”ไฉ่เยว่จะคิดถึงคุณหนูในทุกเรื่อง เช่นเดียวกับคนในครอบครัวเดียวกัน จึงไม่แปลกที่จะมองการณ์ไกลบ้างครั้งก่อนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาที่ชายแดนเหนือ ก็รู้ความรู้สึกของซ่งหลีที่มีต่อเวยเฉียงในตอนนั้นนางก็เคยเตือนซ่งหลี ให้ทำความเข้าใจกับผู้อาวุโสของตระกูลซ่งก่อน จากนั้นค่อยมาสานสัมพันธ์กับเวยเฉียงอีกอย่างในตอนนั้น นางมิรู้ด้วยซ้ำว่าเวยเฉียงรู้สึกอย่างไรกับซ่งหลีในขณะนี้ ความคืบหน้าของเรื่องนี้ได้เกินกว่าที่นางคาดหมายไว้นางจึงรีบไปพบซ่งหลีทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของนาง ซ่งหลีก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา“ข้าตัดสินใจแล้วว่า จะแต่งงานกับเวยเฉียงเท่านั้น“ข้าได้เขียนจดหมายถึงผู้อาวุโสในครอบครัวก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็มิได้คัดค้าน”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง ทว่ากลับข่มกลั้นบางอย่างไว้“เจ้าบอกความจริงหรือไม่ พวกเขารู้หรือไม่ว่าเวยเฉียง
หลังจากไปคารวะอาจารย์หญิงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มุ่งตรงไปที่เซียวเหยาจวีทันทีนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ และสวมหน้ากากอยู่ แต่กลัวว่าเวยเฉียงจะจำนางไม่ได้ จนกระทบกระเทือนจิตใจ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปที่เซียวเหยาจวี นางจึงถอดหน้ากากออกเมื่อเดินเข้าไปในลานกว้าง นางก็เห็นเวยเฉียงกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า ซ่งหลีคอยผลักให้เบา ๆ อยู่ด้านข้าง แววตาดูอ่อนโยนและห่วงใยในตอนนั้น เวยเฉียงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นนาง“พี่สาว!” เฟิ่งเวยเฉียงราวกับผีเสื้อเริงร่า นางยืนขึ้น และวิ่งโผเข้ามาหานางเฟิ่งจิ่วเหยียนยื่นมือออกไปรับนางไว้ได้เห็นใบหน้านางแดงระเรื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความดีใจหากกำจัดปานปลอมที่ใช้แปลงโฉมง่าย ๆ บนแก้มแล้ว พวกนางก็มีหน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“พี่สาว! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”ซ่งหลียืนอยู่ที่ไกล ครั้งแรกที่เห็นหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้สึกตกใจสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้ช่างเหมือนกับซูฮ่วน! ทว่า คนฉลาดอย่างเขา ลองคิดกลับกันก็น่าจะเดาความจริงได้เขาอดถอนหายใจมิได้---ซูฮ่วนหลอกเขาเสียสนิทเลยทว่า ยังดีที่เป็นเช่นนี้มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้ส
วันที่สองหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนจากไป เซียวอวี้ก็เดินทางกลับเมืองหลวงเช่นกันเพื่อป้องกันมิให้ราษฎรตื่นตระหนก เขาจึงตั้งใจสั่งให้หนานซานอ๋องกับเหล่าทหาร ปิดปากเงียบเรื่องของเจดีย์เก้าชั้นกับหยางเหลียนซั่วตงฟางซื่อก็ตัดสินใจไปท่องยุทธภพต่อ ทำตัวเป็นคนพเนจรพรรคเทียนหลงใช้แผนการชั่วร้าย ทำให้ชาวยุทธภพตายไปไม่น้อยยุทธภพในตอนนี้ จึงต้องการคนอีกมากลุกขึ้นยืนหยัดบางคนเสนอให้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรอู่หลินขึ้นมาใหม่ ทั้งเสนอแนะให้ตงฟางซื่อเป็นผู้นำทว่า หลังจากที่ตงฟางซื่อผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ อีกทั้งเขาก็หาใช่คนที่ตอบแทนความแค้นด้วยการทำดีตอบ จึงปฏิเสธไปตามตรงเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง พันธมิตรอู่หลินคืออะไร ในยามต้องการก็เป็นสมบัติ ส่วนในยามที่ไม่ต้องการก็เป็นฟางเน่ามิน่าเล่าในตอนแรกไม่ว่าจะพูดอย่างไรซูฮ่วนก็ไม่ยอมเป็นรองผู้นำกลุ่มพันธมิตรที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีการหลอกลวงและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แม้ยุทธภพมิใช่ราชสำนัก ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเช่นกันเขายอมเป็นจอมยุทธ์ที่มีอิสระดีกว่าตงฟางซื่อปฏิเสธที่จะเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตร ดั
“เจ้าต้องการจะกลับไปชายแดนเหนือ?” เซียวอวี้มองไปยังคนตรงหน้าที่มาอำลาตน เขารู้สึกแน่นในทรวงอกเดิมเขาคิดว่า เมื่อเรื่องเจดีย์เก้าชั้นจบลงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็สามารถกลับเมืองหลวงไปกับเขาดังนั้น เขาจึงเฝ้ารอนางมาตลอด และรีรอไม่ออกเดินทางมิง่ายเลยกว่าจะรอให้ต้วนไหวซวี่หมดลมหายใจ แต่เพื่อเถ้ากระดูกของต้วนไหวซวี่แล้วนางยังต้องการจะไปชายแดนเหนืออันที่จริง นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรักและมิตรภาพ เรื่องทำนองนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่ทว่าแล้วเขาเล่า?นางเคยนึกถึงเขาบ้างหรือไม่?เซียวอวี้ยืนอยู่ที่เดิม หมัดเริ่มกำแน่นเขาควบคุมอารมณ์พร้อมถามว่า “เจ้า...จะกลับมาอีกหรือไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองเข้าไปในดวงตาของเขา และมิได้ตอบเขาในวินาทีแรกในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจขณะที่นางกำลังลังเล เซียวอวี้ก็หมดความอดทน ดวงตาดำมืดของเขาคู่นั้น พลันปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองในทันที ทันใดนั้นเขาจับไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ และดันนางไปที่หลังประตู น้ำเสียงของเขาแหบพร่า“เจ้าจะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่!“เฟิ่งจิ่วเหยียน เจ้าทำเช่นนี้กับเราได้อย่างไร!“เป็นเพราะคำพูดสุดท้ายก่อนตายของต้วนไหวซวี่ใช่หรือ
ณ จวนหนานซานอ๋องวันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนฟื้นขึ้นมาในห้องของตนเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นสาวใช้เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียง“คุณชายซู ท่านฟื้นแล้ว!” สาวใช้ในจวนมิรู้ตัวตนของนาง เมื่อเห็นบนตัวนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ จึงเรียกว่าคุณชายมาตลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นนั่ง เอามือค้ำหน้าผาก ความคิดก็พลุ่งพล่านหยางเหลียนซั่วหนีไปแล้วมิรู้ว่าถูกผู้ใดช่วยไปแล้วดูเหมือนว่า ยังมีคนที่พวกเขามิได้สังเกต และแอบสอดแนมอยู่ตลอดหลังจากนางชำระกายอย่างง่าย ๆ ก็ไปพบกับเซียวอวี้เซียวอวี้เห็นนางตื่นเช้าเช่นนี้ จึงเตือนนางว่า “เจ้าบาดเจ็บภายใน จักต้องพักผ่อนให้มากถึงจะหายดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิสนใจคำพูดทักทาย กลับเอ่ยถามออกมาตรง ๆ“ส่งคนไปตามหาหยางเหลียนซั่วแล้วหรือไม่? มีข่าวคราวใดบ้าง?”เซียวอวี้ตอบนางว่า “จนบัดนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ทานอาหารมื้อเช้าก่อนเถอะ หยางเหลียนซั่วร่างกายบาดเจ็บสาหัส มิอาจสร้างความวุ่นวายใหญ่โตได้”ขณะที่พูด เขาก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้เฉินจี๋ไปนำอาหารมื้อเช้ามาเมื่อมีเรื่องราวที่ทับถมอยู่ในใจของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นอาหารเหล่านี้ ก็แทบไม่มีความอยากอาหารในห้องด้
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋