ได้ยินว่าลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ เหล่าขุนนางล้วนสะดุ้งสั่นเทาตามกฎหมาย ความผิดของทั้งสองคนไม่ถึงขั้นนั้นเซวียฉือกับผู้ตรวจสอบ ยิ่งตกตะลึงหวาดกลัวไม่! ตอนนั้นเฟิ่งเหยียนเฉินก็เพียงแค่ถูกลดตำแหน่ง ทำไมพอถึงพวกเขากลับถึงขั้นลงทัณฑ์ประหารแล่เนื้อ!“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตด้วย...”เซวียฉือคลานไปหาเฟิ่งเหยียนเฉิน พร้อมกอดขาเขาไว้แน่น“เหยียนเฉิน สหายเหยียนเฉิน เจ้าช่วยข้าด้วย เราเคยเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา...”เซวียฉือที่เมื่อวานยังโอหังอวดดี ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนสุนัขเฟิ่งเหยียนเฉินเกลียดชังเซวียฉือกับใต้เท้าวัง แทบอยากจะฆ่าพวกเขาด้วยมือตนเองเผชิญกับการร้องขอของเซวียฉือ เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า“เจ้าหักหลังพวกพี่น้อง ตอนที่ใช้ชีวิตพวกเขาแลกกับอนาคต ทำไมถึงไม่เคยคิดว่า พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน!“เซวียฉือ เจ้าสมควรตายยิ่งกว่าใต้เท้าวัง!”สีหน้าเซวียฉือเหมือนมะเขือโดนน้ำค้าง พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ไม่ ไม่! เจ้าจะไม่ช่วยข้าไม่ได้...เหยียนเฉิน เจ้าลืมแล้วหรือ เราเคยดื่มเหล้าด้วยกัน เจ้ายังเคยพูดว่า พวกเราจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปชั่วชีวิต...”เหล่
กุ้ยเฟยสลบ จึงถูกส่งตัวกลับไปที่ตำหนักหลิงเซียวหมอหลวงฝังเข็มให้หลายเข็ม นางก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเซียวอวี้เผยสีหน้ากังวลออกมา หมอหลวงกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระนางได้รับบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี จึงเกิดภาวะโลหิตไม่ไหลเวียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงต้องพักฟื้น…”ณ ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง ถอดปิ่นปักผมทีละชิ้นอย่างช้า ๆเหลียนซวงคอยปรนนิบัติรับใช้นาง ใจยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย“พระนาง ท่าน…ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ?”“ขวยโต่วผู้นั้นแข็งแกร่งเอาเรื่อง ท่านไม่ต้องให้หมอหลวงมาดูจริงหรือเพคะ?”กล่าวจบนางก็รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้วหากให้หมอหลวงเห็นบาดแผลของพระนาง ไม่เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนของพระนางหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาก่อเกิดไอเยือกเย็นหนาบาง“เรื่องที่ข้าลงสนามประลอง ห้ามบอกให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด”เหลียนซวงรีบพยักหน้า“เพคะ! พระนาง”นางรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดไม่นานนัก ขันทีจากห้องทรงพระอักษรก็มากราบทูล“ฮองเฮา ฝ่าบาททรงเรียกท่านไปสอบถามพ่ะย่ะค่ะ…”เหลียนซวงมือสั่นอย่างร้อนตัว“พระนาง คงไม่ใช่ว่าฝ่าบาท…”
ภายในคุกหลวง เซวียฉือถูกขังเดี่ยวอยู่ในที่แห่งหนึ่งยามเห็นเฟิ่งเหยียนเฉิน เขาจึงคุกเข่าอ้อนวอน“เหยียนเฉิน เจ้าช่วยข้าออกไปเถอะนะ! ได้โปรด ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ เห็นแก่มิตรภาพหลายปีที่ผ่านมาของเรา เจ้าปล่อยข้าออกไปได้หรือไม่?“หาก…หากเจ้าช่วยข้าออกไปไม่ได้ ก็ช่วยจบชีวิตข้าไปเลย!“ประหารแล่เนื้อมันน่ากลัวเกินไป ข้าไม่อยากถูกกระทำเช่นนั้น!”คนที่เคยเหยียดหยามตนเอง ตอนนี้มาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน เดิมเฟิ่งเหยียนเฉินควรที่จะรู้สึกสะใจ แต่เขากลับรู้สึกโศกเศร้า“เจ้าไม่อยากโดนประหารแล่เนื้อ ไม่อยากตาย แล้วพวกอาไฉอยากตายหรือไม่!“พวกเขาบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น! หากปล่อยเจ้าไป ข้าจะทวงความยุติธรรมให้ดวงวิญญาณพวกเขาได้อย่างไร!“เซวียฉือ เจ้าทำร้ายผู้คนที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันกับเจ้าจนตาย เพื่อปีนป่ายขึ้นที่สูง มันคุ้มค่าแล้วหรือ?“พวกเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน“ข้าคิดว่า เราจะเห็นอกเห็นใจกัน“แต่ทำไมต้องทำเช่นนั้น ทำไม!”เฟิ่งเหยียนเฉินจับประตูกรงขังไว้ นัยน์ตาแดงฉานเหล่าเพื่อนพ้องมากมาย ล้วนถูกเซวียฉือทำร้ายจนตายเขาต้องการคำตอบจริง ๆ เซวียฉือชะงักนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งเหย
ภายในห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้แผ่ซ่านกลิ่นอายดุร้ายน่าเกรงขาม แววตาวาวโรจน์ดุจแสงดาว บนโต๊ะทรงงานตรงหน้า มีใบรับคำสารภาพของเซวียฉือวางบนนั้นเขามองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างสำรวจ จากนั้นก็ออกคำสั่งกับราชองครักษ์เฉินจี๋“นำตัวเซวียฉือมาสอบสวน เราจะสอบปากคำเขาด้วยตนเอง”ไม่นาน เซวียฉือก็ถูกนำตัวเข้ามาเมื่อได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาก็คุกเข่าอย่างว่องไว ร่างกายสั่นสะท้าน“กระหม่อม…กระหม่อม ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ด้านข้าง แววตาเย็นชาเซียวอวี้ซักถาม“ใบรับคำสารภาพนี้ เจ้าเป็นคนเขียนด้วยตนเอง?”ในใบรับคำสารภาพ ไม่เพียงแต่สารภาพโทษต่าง ๆ ที่เขาเคยทำร้ายเฟิ่งเหยียนเฉินเมื่อสองปีก่อน และเคยติดสินบนใต้เท้าวัง ทั้งยังสาวตัวไปถึงกุ้ยเฟยด้วยสองปีมานี้ หลังจากที่เซวียฉือรับตำแหน่งชานเจี้ยงในกองทัพ ก็รีดเงินโดยมิชอบมากมาย ครึ่งหนึ่งให้สินบนแก่ใต้เท้าวัง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ส่งให้ตำหนักหลิงเซียวส่วนรายรับรายจ่ายโดยละเอียด มีบันทึกไว้ในสมุดบัญชีลับของจวนเขา นอกจากนี้ เขายังฟังคำสั่งของกุ้ยเฟย ก่อนจะจัดพิธีต้อนรับ ได้วางแผนทำให้เฟิ่งเหยียนเฉินบาดเจ็บที่แขน เพื่อให้เฟิ
เซียวอวี้มองเซวียฉือที่คุกเข่าบนพื้นอย่างเยือกเย็น “บอกให้ละเอียด กุ้ยเฟยออกคำสั่งเจ้าอย่างไร”เซวียฉือรีบตอบกลับ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิสามารถเข้าออกราชวังในได้ หากกุ้ยเฟยมีแผนการอะไร มักจะส่งขันทีในวังมาบอกต่อ “แม้นไม่รู้ว่าขันทีผู้นั้นคือใคร แต่กระหม่อมจำหน้าเขาได้ เห็นแล้วรู้ทันที”เซียวอวี้ออกคำสั่งเสียงแข็งกร้าว“เรียกตัวขันทีในตำหนักหลิงเซียวมาให้หมด”“พ่ะย่ะค่ะ!”กุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างล้นหลาม ตำหนักหลิงเซียวจึงมีขันทีทั้งสิ้นห้าสิบคนพวกเขาเข้ามาในห้องทรงพระอักษรทีละสิบคน เพื่อให้เซวียฉือชี้ตัวเมื่อขันทีกลุ่มที่สามเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างของเซวียฉือพลันวาวโรจน์ แล้วชี้ไปยังบุคคลหนึ่งในนั้นอย่างตื่นเต้น“เขา! เป็นเขา!”ขันทีที่ถูกชี้หัวใจสั่นวูบเซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่น“สอบสวน!”เพียงหนึ่งประโยค กลับชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นเป็นอย่างมากเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นขันทีผู้นั้นถูกลากตัวไป ดวงตาพลันมีประกายมืดมัวพาดผ่านหลังจากเวลาผ่านไปสองถ้วยชา เฉินจี๋ก็กลับเข้ามาทูลรายงาน“ฝ่าบาท สอบสวนออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ“ขันทีผู้นั้นสารภาพ ว่าเป็นคนรับคำสั่งของกุ้ยเฟย”บ่าวรับใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปาก ท่าทางสงบนิ่ง เผยกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมานี่เป็นสิ่งที่กุ้ยเฟยทำได้ฉลาดมากเฟิ่งหมิงเซวียนติดสินบนลู่ซิน เพื่อขอตำแหน่งจริง ๆดังนั้น แม้นความผิดถูกเปิดโปง ก็ไม่นับว่าลู่ซินพูดปด ทั้งยังโยนความผิดส่วนหนึ่งมาที่เฟิ่งหมิงเซวียนและฮองเฮาได้อีกหากไม่ใช่เพราะนางส่งคนไปสืบรู้ชัดตั้งแต่แรก ก็คงไม่คาดคิดว่าคนวางแผนของเรื่องนี้คือกุ้ยเฟย——ใช้ประโยชน์จากความปรารถนาอยากได้ตำแหน่งของเฟิ่งหมิงเซวียน สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเรื่องนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้โต้แย้งอะไร“หม่อมฉันอาจจะอบรมสั่งสอนแบบผิด ๆ จึงทำให้น้องชายกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้“หม่อมฉันน้อมรับผิด เชิญฝ่าบาทลงทัณฑ์”นางรับผิดอย่างไม่อิดออด กลับทำให้เซียวอวี้ประหลาดใจแต่คำว่า “อาจจะ” ฟังดูเป็นคำส่วนเกิน ราวกับกำลังประชดประชันเซียวอวี้จ้องเขม็งมาที่นาง“กลับไปสำนึกผิดที่ตำหนักหย่งเหอก่อน ถึงคราวที่เราควรพิจารณาแล้ว ว่ายังสามารถให้เจ้าครอบครองตราประทับทองต่อหรือไม่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งคำนับราวกับยอมรับผลสรุปนี้ได้อย่างง่ายดาย“เพคะ ฝ่าบาท”ทันทีที่นางออกไป เฟิ่งหมิงเซวียนพลันตื่นตระหนก และเกิดค
กุ้ยเฟยฝืนทนเจ็บปวดจากบาดแผล ตรงมายังห้องทรงพระอักษรเพื่อน้อมรับผิดเซียวอวี้ทอดมองมาที่นางด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แผลยังไม่หายดี กลับไปพักที่ตำหนักหลิงเซียวเถอะ”ดวงตาคู่งามของกุ้ยเฟยพลันรื้นไปด้วยน้ำตา“หากหม่อมฉันไม่สามารถอธิบายกับฝ่าบาทให้ชัดเจน หม่อมฉันก็มิอาจสบายใจได้“เซวียฉือเคยส่งสิ่งของมาให้หม่อมฉันจริง ๆ แต่หม่อมฉันไม่ได้เต็มใจรับไว้เลย…”ดวงตาคมกริบของเซียวอวี้ก่อเกิดแววรำคาญ“พอได้แล้ว“เรื่องนี้ไม่สำคัญ“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เราฟัง กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักหลิงเซียวก่อนเถอะ แผลเจ้าหายดีแล้วค่อยว่ากัน”กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าเขาจะไม่ตรวจสอบเรื่องของเซวียฉือแล้ว แถมยังเป็นห่วงร่างกายของตนเองอีกนางแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกดูเหมือนว่า ฝ่าบาทยังทรงใส่ใจนางเหมือนเดิมนั่นสินะ นางเป็นถึงสนมคนโปรด รับเงินแค่นี้จะเป็นอะไรไป?ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลของเหล่านางสนมส่งเครื่องบรรณาการมาให้นาง แม้นฝ่าบาททรงทราบ แต่ก็ทำเป็นหลับตาข้างเดียวมิใช่หรือเทียบกับของรวมกันที่คนพวกนั้นส่งให้แล้ว ของที่เซวียฉือส่งให้นับว่าไม่มากพอเหมาะกับเป็นช่วงเวลาที่สองแคว้นกำลังเจรจ
เฟิ่งหมิงเซวียนถูกนำตัวไปขังในคุกหลวง ทั้งยังถูกห้ามสอบจอหงวน และห้ามเข้ารับตำแหน่งราชการ ไม่ต่างอะไรกับการพรากชีวิตของอี๋เหนียงหลินไปครึ่งนางคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าฮูหยินเฟิ่ง ไร้ซึ่งคราบคนยโสโอหังเหมือนในยามปกติ“ฮูหยิน ท่านต้องช่วยหมิงเซวียนด้วยนะ!“พวกเราหมดสิ้นหนทางแล้ว หากท่านเข้าวังไปขอร้องฮองเฮา ไม่แน่ฝ่าบาทอาจจะเห็นแก่นางยอมลดโทษลง...ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะ!”ฮูหยินเฟิ่งใจอ่อน แต่ก็รู้ตัวดีคดีนี้ข้องเกี่ยวกับขุนนางในราชสำนัก ฮองเฮาอยากจะเลี่ยงแทบไม่ทัน แล้วจะให้ไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวได้อย่างไร?“อี๋เหนียงหลิน เจ้าลุกขึ้นมาพูดกันดี ๆ เถอะ“เรื่องในครั้งนี้ หมิงเซวียนกระทำผิดลงไปจริง ๆ“ฮองเฮาจะบิดเบือนกฎหมายเพราะเรื่องส่วนตัวได้อย่างไร?“สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ มีเพียงให้คนไปส่งข้าวส่งน้ำที่คุกหลวง เพื่อให้หมิงเซวียนลำบากน้อยลง”อี๋เหนียงหลินฟังแล้ว พลันคิดว่านางไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองเพราะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ จึงได้กล่าวถ้อยคำเฉยชาเช่นนี้ออกมาบุตรชายของนางได้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม ซ้ำยังได้รางวัลทองหมื่นตำลึง แล้วจะมาสนใจหมิงเซวียนไปเพื่ออะไรคงอยากให้หมิงเซ
ท้ายที่สุดซ่งหลีก็ต้องจากไปทว่า การจากไปในครานี้หาใช่เป็นการล้มเลิกไม่ แต่เป็นการกลับไปที่ตระกูลซ่งเพื่อเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวบิดามารดาของตน ยามที่ต้องแยกจากกันนั้น เขายังเอ่ยกำชับกับไฉเยว่อีกด้วยว่าต้องให้เวยเฉียงกินยาทุกวัน ก่อนจะหันไปกล่าวกับเวยเฉียงด้วยความรักใคร่อันสุดซึ้งว่า“รอข้า ข้าจักต้องกลับมารับเจ้าอย่างแน่นอน”“อื้ม” เฟิ่งเวยเฉียงพลันหันหน้าหนี เพื่อเก็บซ่อนหยาดน้ำตาของตนเองเอาไว้ซ่งหลีจึงหันไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนก่อนจะโค้งกายคำนับ “ได้โปรดดูแลเวยเฉียงด้วย”เฟิงจิ่วเหยียนจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก“น้องสาวของข้า ข้าย่อมต้องดูแลนางเป็นอย่างดี ซ่งหลี หากเจ้ามิอาจแก้ปัญหาได้แล้วละก็ เขียนจดหมายส่งกลับมาเสีย อย่าได้ปล่อยให้เวยเฉียงรอเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ พวกข้าหาได้ถือโทษโกรธเคืองเจ้าไม่”ซ่งหลีโค้งกายคำนับอีกครั้ง “ข้าจะกลับมา”สุดท้าย ซ่งหลีมองไปที่เฟิ่งเวยเฉียงอย่างไม่เต็มใจจาก พลางเดินขึ้นรถม้าไปหลังจากที่ซ่งหลีจากไปนั้น เฟิ่งเวยเฉียงก็อดไม่ได้พลันร่ำไห้ออกมา“ท่านพี่...เขา เขาจะกลับมาจริง ๆ ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโอบกอดนางเบา ๆ “ต้องมา”ยามที่เอ่ยออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันมองไปยังฮูหยินผู้สูงศักดิ์นางหนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาใบหน้าของฮูหยินนั้นดูซีดเซียวเล็กน้อย คงเป็นเพราะว่าเร่งเดินทางมานานหลายวัน เมื่อเห็นมีคนยืนอยู่ด้านหน้าเซียวเหยาจวีนั้น นางจึงเหลือบตามองครู่หนึ่ง พลางเผยท่าทีผู้สูงศักดิ์ออกมา “บุตรชายของข้า ซ่งหลีอยู่ที่ใด”เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงรับรู้ได้ในทันทีว่า คนผู้นี้คือมารดาของซ่งหลีอย่างแน่นอน ใบหน้ามีความคล้ายคลึงเจือไปด้วยความฉลาดเฉลียว ใบหน้าเรียวเล็ก ดูผอมบาง หากแต่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นกลับเจือไปด้วยความดุดันเข้มงวด ราวกับอาจารย์ที่ใบหน้ามิค่อยยิ้มแย้ม ในมือพลันถือไม้เรียวเอาไว้ภายในเซียวเหยาจวีนั้นด้านหน้าห้องโถงถึงแม้ว่าแม่ซ่งจักเป็นแขก ทว่า เนื่องด้วยนางมีสถานะเป็นผู้อาวุโสจึงได้รับเกียรติให้นั่งหัวโต๊ะในทันทีซ่งหลีจับมือเฟิ่งเวยเฉียงเอาไว้ พลางแสดงความเคารพต่อแม่ซ่งพร้อมกันฮูหยินซ่งมิได้เหลือบตามองดูพวกเขาแม้แต่น้อย นางพลันหลุบสายตาลงเพื่อก้มหน้าดื่มชาด้วยท่าทีสำรวมบรรยากาศภายในห้องพลันตกสู่ความเงียบงันไปในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ด้วยนั้น ดวงตาของนางพลางทอประกายความเย็นชาออกมาแม่ซ่งผู้นี้
“จิ่วเหยียน?” ฮูหยินเมิ่งลองเอ่ยถาม“เจ้าค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ เดิมคิดว่าจะได้คลายความกลัดกลุ้ม จึงออกจากเซียวเหยาจวีมาที่จวนแม่ทัพโดยมิรู้ตัวฮูหยินเมิ่งจุดตะเกียง เมื่อมองเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้ว่านางต้องพบเจอปัญหาอะไรบางอย่างเฟิ่งจิ่วเหยียนบอกเรื่องของเวยเฉียงกับซ่งหลี พร้อมกับถามว่า: “ข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไปหรือไม่?”ฮูหยินเมิ่งกุมมือของนาง และเอ่ยโน้มน้าว“หากพวกเขารักกัน ต่อให้เจ้าใช้ทุกวิถีทาง ก็แยกพวกเขาออกจากกันไม่ได้ ซ่งหลีข้าเคยพบแล้ว นับว่าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง“เวยเฉียงอยู่กับเขา จะไม่มีทางลำบาก“ข้ากลับเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์หญิงถึงเป็นห่วงตนฮูหยินเมิ่งตบหลังมือของนางเบา ๆ “เจ้ามักจะคำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย การทำศึกสำหรับเจ้ามิใช่เรื่องยาก สิ่งที่เจ้าผ่านได้ยากที่สุด คือด่านความรัก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปาก“อาจารย์หญิง บอกท่านตามตรง ตอนนี้ข้ากำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่จริง ๆ”แววตาของฮูหยินเมิ่งเผยให้เห็นความสงสัยในทันทีหลังจากต้วนไหวซวี่ตายแล้ว
ไฉ่เยว่รู้สึกกังวลใจ “คุณหนูตกลงรับรักของท่านหมอซ่งแล้ว เดิมนี่เป็นเรื่องดี ทว่าบ่าวกังวลว่า ตระกูลซ่ง...ตระกูลซ่งจะไม่ยอมรับคุณหนู ถึงเวลานั้นอาจจะดีใจเก้อ คนที่เสียใจก็จะเป็นคุณหนู“คุณหนูจิ่วเหยียน ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ”ไฉ่เยว่จะคิดถึงคุณหนูในทุกเรื่อง เช่นเดียวกับคนในครอบครัวเดียวกัน จึงไม่แปลกที่จะมองการณ์ไกลบ้างครั้งก่อนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาที่ชายแดนเหนือ ก็รู้ความรู้สึกของซ่งหลีที่มีต่อเวยเฉียงในตอนนั้นนางก็เคยเตือนซ่งหลี ให้ทำความเข้าใจกับผู้อาวุโสของตระกูลซ่งก่อน จากนั้นค่อยมาสานสัมพันธ์กับเวยเฉียงอีกอย่างในตอนนั้น นางมิรู้ด้วยซ้ำว่าเวยเฉียงรู้สึกอย่างไรกับซ่งหลีในขณะนี้ ความคืบหน้าของเรื่องนี้ได้เกินกว่าที่นางคาดหมายไว้นางจึงรีบไปพบซ่งหลีทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของนาง ซ่งหลีก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา“ข้าตัดสินใจแล้วว่า จะแต่งงานกับเวยเฉียงเท่านั้น“ข้าได้เขียนจดหมายถึงผู้อาวุโสในครอบครัวก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็มิได้คัดค้าน”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง ทว่ากลับข่มกลั้นบางอย่างไว้“เจ้าบอกความจริงหรือไม่ พวกเขารู้หรือไม่ว่าเวยเฉียง
หลังจากไปคารวะอาจารย์หญิงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มุ่งตรงไปที่เซียวเหยาจวีทันทีนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ และสวมหน้ากากอยู่ แต่กลัวว่าเวยเฉียงจะจำนางไม่ได้ จนกระทบกระเทือนจิตใจ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปที่เซียวเหยาจวี นางจึงถอดหน้ากากออกเมื่อเดินเข้าไปในลานกว้าง นางก็เห็นเวยเฉียงกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า ซ่งหลีคอยผลักให้เบา ๆ อยู่ด้านข้าง แววตาดูอ่อนโยนและห่วงใยในตอนนั้น เวยเฉียงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นนาง“พี่สาว!” เฟิ่งเวยเฉียงราวกับผีเสื้อเริงร่า นางยืนขึ้น และวิ่งโผเข้ามาหานางเฟิ่งจิ่วเหยียนยื่นมือออกไปรับนางไว้ได้เห็นใบหน้านางแดงระเรื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความดีใจหากกำจัดปานปลอมที่ใช้แปลงโฉมง่าย ๆ บนแก้มแล้ว พวกนางก็มีหน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“พี่สาว! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”ซ่งหลียืนอยู่ที่ไกล ครั้งแรกที่เห็นหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้สึกตกใจสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้ช่างเหมือนกับซูฮ่วน! ทว่า คนฉลาดอย่างเขา ลองคิดกลับกันก็น่าจะเดาความจริงได้เขาอดถอนหายใจมิได้---ซูฮ่วนหลอกเขาเสียสนิทเลยทว่า ยังดีที่เป็นเช่นนี้มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้ส
วันที่สองหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนจากไป เซียวอวี้ก็เดินทางกลับเมืองหลวงเช่นกันเพื่อป้องกันมิให้ราษฎรตื่นตระหนก เขาจึงตั้งใจสั่งให้หนานซานอ๋องกับเหล่าทหาร ปิดปากเงียบเรื่องของเจดีย์เก้าชั้นกับหยางเหลียนซั่วตงฟางซื่อก็ตัดสินใจไปท่องยุทธภพต่อ ทำตัวเป็นคนพเนจรพรรคเทียนหลงใช้แผนการชั่วร้าย ทำให้ชาวยุทธภพตายไปไม่น้อยยุทธภพในตอนนี้ จึงต้องการคนอีกมากลุกขึ้นยืนหยัดบางคนเสนอให้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรอู่หลินขึ้นมาใหม่ ทั้งเสนอแนะให้ตงฟางซื่อเป็นผู้นำทว่า หลังจากที่ตงฟางซื่อผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ อีกทั้งเขาก็หาใช่คนที่ตอบแทนความแค้นด้วยการทำดีตอบ จึงปฏิเสธไปตามตรงเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง พันธมิตรอู่หลินคืออะไร ในยามต้องการก็เป็นสมบัติ ส่วนในยามที่ไม่ต้องการก็เป็นฟางเน่ามิน่าเล่าในตอนแรกไม่ว่าจะพูดอย่างไรซูฮ่วนก็ไม่ยอมเป็นรองผู้นำกลุ่มพันธมิตรที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีการหลอกลวงและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แม้ยุทธภพมิใช่ราชสำนัก ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเช่นกันเขายอมเป็นจอมยุทธ์ที่มีอิสระดีกว่าตงฟางซื่อปฏิเสธที่จะเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตร ดั
“เจ้าต้องการจะกลับไปชายแดนเหนือ?” เซียวอวี้มองไปยังคนตรงหน้าที่มาอำลาตน เขารู้สึกแน่นในทรวงอกเดิมเขาคิดว่า เมื่อเรื่องเจดีย์เก้าชั้นจบลงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็สามารถกลับเมืองหลวงไปกับเขาดังนั้น เขาจึงเฝ้ารอนางมาตลอด และรีรอไม่ออกเดินทางมิง่ายเลยกว่าจะรอให้ต้วนไหวซวี่หมดลมหายใจ แต่เพื่อเถ้ากระดูกของต้วนไหวซวี่แล้วนางยังต้องการจะไปชายแดนเหนืออันที่จริง นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรักและมิตรภาพ เรื่องทำนองนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่ทว่าแล้วเขาเล่า?นางเคยนึกถึงเขาบ้างหรือไม่?เซียวอวี้ยืนอยู่ที่เดิม หมัดเริ่มกำแน่นเขาควบคุมอารมณ์พร้อมถามว่า “เจ้า...จะกลับมาอีกหรือไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองเข้าไปในดวงตาของเขา และมิได้ตอบเขาในวินาทีแรกในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจขณะที่นางกำลังลังเล เซียวอวี้ก็หมดความอดทน ดวงตาดำมืดของเขาคู่นั้น พลันปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองในทันที ทันใดนั้นเขาจับไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ และดันนางไปที่หลังประตู น้ำเสียงของเขาแหบพร่า“เจ้าจะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่!“เฟิ่งจิ่วเหยียน เจ้าทำเช่นนี้กับเราได้อย่างไร!“เป็นเพราะคำพูดสุดท้ายก่อนตายของต้วนไหวซวี่ใช่หรือ
ณ จวนหนานซานอ๋องวันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนฟื้นขึ้นมาในห้องของตนเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นสาวใช้เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียง“คุณชายซู ท่านฟื้นแล้ว!” สาวใช้ในจวนมิรู้ตัวตนของนาง เมื่อเห็นบนตัวนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ จึงเรียกว่าคุณชายมาตลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นนั่ง เอามือค้ำหน้าผาก ความคิดก็พลุ่งพล่านหยางเหลียนซั่วหนีไปแล้วมิรู้ว่าถูกผู้ใดช่วยไปแล้วดูเหมือนว่า ยังมีคนที่พวกเขามิได้สังเกต และแอบสอดแนมอยู่ตลอดหลังจากนางชำระกายอย่างง่าย ๆ ก็ไปพบกับเซียวอวี้เซียวอวี้เห็นนางตื่นเช้าเช่นนี้ จึงเตือนนางว่า “เจ้าบาดเจ็บภายใน จักต้องพักผ่อนให้มากถึงจะหายดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิสนใจคำพูดทักทาย กลับเอ่ยถามออกมาตรง ๆ“ส่งคนไปตามหาหยางเหลียนซั่วแล้วหรือไม่? มีข่าวคราวใดบ้าง?”เซียวอวี้ตอบนางว่า “จนบัดนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ทานอาหารมื้อเช้าก่อนเถอะ หยางเหลียนซั่วร่างกายบาดเจ็บสาหัส มิอาจสร้างความวุ่นวายใหญ่โตได้”ขณะที่พูด เขาก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้เฉินจี๋ไปนำอาหารมื้อเช้ามาเมื่อมีเรื่องราวที่ทับถมอยู่ในใจของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นอาหารเหล่านี้ ก็แทบไม่มีความอยากอาหารในห้องด้
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋