“เออจริงสิ! ผู้ชายคนที่มีเรื่องกับฉันนะเขามีอำนาจมากเลยเหรอถึงขนาดสั่งปิดประตูเมืองและออกคำสั่งให้ค้นหาได้ทั่วทั้งเมืองแบบนั้นนะ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรผิด ถุงเงินอะไรนั่นฉันก็เก็บได้ไม่ได้ไปขโมยของเขาเลยนะ”
คุณหนูตระกูลเฉียนยิ้มออกมาบางๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น “ข้าเชื่อเจ้าว่าไม่ได้ทำผิด สบายใจเถอะเพราะว่าข้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นตั้งแต่ต้นเข้าใจว่าท่านแม่ทัพน่าจะถูกหัวขโมยล้วงถุงเงินแล้ววิ่งหนีออกมาทางประตูเมือง และบังเอิญช่วงนั้นจุดพลุไฟทำให้ท่านแม่ทัพไม่ทันได้ระวัง ข้ามาเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากประตูเมืองและเห็นเจ้าเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าคนผู้นั้นหายไปไหนเมื่อเดินชนกับเจ้าจนกระเด็นลอยออกไปไกลเลยเชียวนะ”คุณหนูตระกูลเฉียนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด ในขณะที่มี่อิงนั่งเอามือเท้าคางฟังเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ “หรือว่าฉันพลัดหลงเข้ามาตอนเกิดมิติเวลาซ้อนทับ แบบนี้ก็ยิ่งแย่นะสิแล้วฉันจะรู้ได้อย่างไงว่าจะได้กลับตอนไหน”หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้ในขณะเดียวกันทหารจำนวนสองนายเดินมาถึงรถม้าก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตู “ข้าน้อยทำตามหน้าที่ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพจางให้ค้นหาคนร้าย ดังนั้นได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามผู้ที่อยู่บนรถม้าให้ครบทุกคนด้วย” กล่าวพร้อมตรงเข้าเปิดผ้าที่ปิดประตูทางเข้าของตัวรถม้าเอาไว้ทันใดบนรถม้าคันดังกล่าวล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น นั่งอยู่ด้วยกันสามนางพร้อมเสียงของอี๋นั่วเอ่ยขึ้นทันใด “รถม้าคันนี้คุณหนูของตระกูลเฉียนนั่งอยู่ พวกท่านยังต้องการทราบชื่อเสียงเรียงนามอยู่อีกอย่างนั้นรึ” ทหารสองนายที่ทำหน้าที่ตรวจค้นต่างหันกลับมามองหน้ากันครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะยกสองมือประสานเข้าหากันเพื่อขออภัยสตรีที่อยู่ในชนชั้นสูง “ข้าน้อยต้องขออภัย คุณหนูให้ความร่วมมือด้วยเถิดได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามของผู้ที่นั่งมาด้วยให้ครบเป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพขอรับ”ทหารสองนายกล่าวอย่างนอบน้อม “แม่ทัพอีกแล้ว! เอะอะอะไรก็คำสั่งไอ้หมอนั่น”มี่อิงบ่รำพึงออกมาเบาๆพร้อมเสียงของทหารตรวจค้นเอ่ยขึ้น “ขอทราบนามผู้ที่นั่งอยู่บนรถด้วยว่ามีผู้ใดบ้าง”กล่าวพร้อมทหารที่มาด้วยกันกำลังใช้พู่กันเตรียมจดบันทึกลงในสมุดพร้อมเสียง
“โอ้ย! ค่อยยังชั่วดีนะที่ไฟดับแปปเดียวเพราะต้องการโชว์ดอกไม้ไฟ แต่ถ้าไฟดับเพราะระบบการจ่ายไฟขัดข้องท่าทางนายกเทศมนตรีเมืองซีอานได้โดนร้องเรียนแน่ว่าทำงานไม่ได้เรื่อง”สาวใหญ่เจ้าของร้านบ่นโวยวาย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างครั้นเห็นคนสวยนั่งมองนางอยู่ในขณะนี้ “น้องสาวรอนานไหม พอดีพี่ต้องเดินกลับไปที่รถเอากล้องถ่ายรูปด้วยตัวเอง ผู้ช่วยพี่ดันมีเรื่องวุ่นวายทางบ้านเกิดขึ้นขอลากลับไปแล้ว พี่ก็เลยต้องทำเองคนเดียวหมดเลยว่าแต่...” สาวใหญ่เจ้าของร้านกล่าวได้เพียงเท่านั้นกลับต้องเงียบงันเมื่อสายตาของนางสังเกตชุดฮั่นฝูที่อยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวแสนสวยตรงหน้ามิใช่ชุดของทางร้านที่เลือกไว้ให้ “คุณน้องชุดของพี่ที่แต่งให้หายไปไหนอย่างนั้นเหรอ แล้วเอาชุดจากไหนมาใส่แทนทำไมพี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่ชุดในร้านของพี่เลยนะ”เจ้าของร้านพูดพลางเอื้อมมือจับเนื้อผ้าพลางสังเกตลวดลายที่ปักอยู่บนตัวชุด ช่างงดงามและมีลายวิจิตรที่มิเคยเห็นมาก่อน “งาม! งามมากเลยพี่ยังไม่เคยเห็นลวดลายบนผ้าแบบนี้มาก่อนเลยนะ ฝีเข็มลงยากมากต้องใช้ความเชี่ยวชาญและทักษะสูงมากเลยทีเดียว”สาวใหญ่เจ้าของร้านพูดชมไม่ขาดปาก ใ
ในขณะเดียวกัน มิติแห่งกาลเวลาพลันเกิดซ้อนทับขึ้นมาโดยพลัน ห้วงเวลาในยุคปัจจุบันซึ่งกำลังจุดดอกไฟหนึ่งแสนนัดในงานเทศกาลชีซีอยู่ในขณะนั้นยังคงดำเนินต่อไปในโลกของอนาคต เสียงดอกไม้ไฟดังกระหึ่มกึกก้องดังแว่วเข้าหูของมี่อิง ปัง!ปัง!ปัง! เสียงกระหึ่มกึกก้องประหนึ่งฟ้าคำรามลั่นแทรกทะลุมิติเข้ามาในกาลเวลาแห่งอดีต พร้อมร่างระหงของจ้าวมี่อิงเลือนหายไปจากโลกอดีตทันที พร้อมเสียงกระโดดจากหลังคารถม้ามาหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้า ผ้าม่านผืนใหญ่ที่กำลังปิดในขณะนั้นถูกแม่ทัพรูปงามเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พรึ่บ!!! ผ้าม่านผืนใหญ่ถูกมือหนาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วติดตามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “คิดหรือว่าซ่อนตัวในรถม้าของขุนนาง ข้าจะไม่ตรวจค้น!”เสียงตวาดดุดันดังก้อง ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้มีชัยเลือนหายไปทันที ครั้นดวงตาสีนิลเห็นสตรีสาวสองนางกำลังซุกตัวกอดกันจนตัวกลมด้วยความหวาดกลัว อะ...เออ จางเย่วฉินได้แต่ส่งเสียงเบาๆ อยู่ในลำคอเมื่อภายในรถนั้น มีสตรีเพียงสองนางมิใช่สามนางตามรายงาน แต่ถึงกระนั้นเพื่อความแน่ใจก็ต้องตรวจค้น “เจ้าทั้งสองเงยหน้าขึ้น”เสียงกร้าวสั่งการออกไป
ในขณะเดียวกัน ยุคอนาคตร่างระหงของจ้าวมี่อิงกำลังนั่งยองๆ หลับตาปี๋อยู่ตรงประตูโค้งซึ่งเป็นทางเข้าออกของประตูเมืองตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน ท่ามกลางผู้คนมากมายกำลังแหงนหน้าชื่นชมกับดอกไม้ไฟในพิธีเปิดงานเทศกาลชีซี ฟิ้ว!ฟิ้ว!ฟิ้ว! เสียงหวีดหวิวแหวกว่ายขึ้นสู่ท้องฟ้า ปัง!ปัง!ปัง!กลุ่มก้อนเล็กๆ ต่างพากันแตกตัวเป็นสีสันมากมายอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด เสียงดังกระหี่มกึกก้องไปทั่ว ในขณะที่ร่างของมี่อิงที่กำลังนั่งหลับตาปี๋อยู่ในขณะนั้นได้ยินเสียงดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งอยู่บนเหนือศีรษะของเธอก็ว่าได้ “เสียงดอกไม้ไฟ! นั่นมันเสียงของดอกไม้ไฟมิใช่เหรอ แต่ว่าในฉางอานงานชีซีสิ้นสุดลงแล้วจะมีการจุดดอกไม้ไฟอีกทำไมกันอีก”หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ฉับพลันเสียงจากไมโครโฟน ซึ่งดังมาจากด้านในของการจัดงานหลังประตูเมืองดังกล่าวแผดเสียงดังก้องขึ้นมาทันใด “ขอต้อนรับผู้เข้าชมงานทุกท่าน เทศกาลชีซีประจำปีนี้ของเมืองซีอานในบรรยากาศของเมืองจำลองโบราณในสมัยราชวงศ์ถังบัดนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สวมชุดฮั่นฝู เที่ยวชมงานกับบรรยากาศในยุคต้าถัง ดื่มด่ำกับดอกไม้ไฟหนึ่งแสนนัดซึ่งทางซี
ยุคอดีต รัชสมัยถังเกาจงฮ่องเต้แผ่นดินในยุคโบราณขณะนี้ตรงกับยุคของราชวงศ์ถัง เข้าสู่รัชศกซ่างหยวนปีที่ 5 รัชสมัยของถังเกาจงฮ่องเต้พระนามเดิมหลี่จื่อ ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากถังไท่จงฮ่องเต้ จักรพรรดิลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์ถังซึ่งในประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นช่วงยุคสมัยของราชวงศ์ถังตอนต้น ในยามนี้แม่ทัพจางเย่วฉินได้รับพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร ควบคุมกองกำลังทหารและกองทัพทั้งหมด และยังรั้งตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารราชองครักษ์ เป็นขุนนางฝ่ายบู้ขั้น 2 ระดับเสนาบดีด้วยวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางราชการสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว หากแต่แม่ทัพหนุ่มชื่อกระฉ่อนกลับใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบคอยเฝ้าระวังเขตชายแดนอยู่ทางด่านนอกตอนเหนือมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ทางราชสำนักและชาวเมืองนครฉางอานต่างพากันเรียกร้องให้แม่ทัพลือชื่อผู้นี้กลับคืนสู่เมืองหลวงอันมั่งคั่ง ช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา จางเย่วฉินสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงทั้งให้แก่ตัวเองและเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลจางเป็นยิ่งนัก ชื่อเสียงกระฉ่อนล่วงรู้
“ข้าจะมีคนรักเหมือนเช่นผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักคำๆ นี้ หากอาการโหยหาความรักของข้าดั่งที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเพียงเพาะไม่รู้จักคำว่ารัก เจ้ากล่าวผิดแล้วเหยียนไฉ”แม่ทัพหนุ่มพูดพลางหันกลับมามองใบหน้าคนสนิท “ข้าน้อยพูดผิดอย่างนั้นหรือขอรับ”เหยียนไฉพูดพลางหันนิ้วชี้เข้าหาตน ใบหน้าหล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นคำตอบที่ส่งกลับมา “สาเหตุเพราะไม่มีหญิงใดทำให้ข้ารู้จักกับคำว่ารักนี้ได้ ไม่มีสตรีนางใดสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของข้าแม้แต่คนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้อาการโหยหารักของข้าก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล”จางเย่วฉินพูดออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกภายใน ท่ามกลางความเงียบ กระแสลมเย็นยะเยือกพาดผ่านเรือนกายกำยำ พร้อมเกล็ดหิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมาตรงเบื้องหน้าของจางเย่วฉิน ก่อนจะยกมือหนาขึ้นรองรับหิมะแรกของฤดูเหมันต์ที่มาถึงแล้วในยามนี้ ดวงเนตรสีนิลกาฬมองไปที่ฝ่ามือของตนเองที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาเมื่อครั้งรอยฟันที่ถูกกัดอย่างแรงบนฝ่ามือเมื่อห้าปีก่อนยังปรากฏอยู่ ทุกครั้งที่เห็นบาดแผลดังกล่าว จะทำให้จางเย่วฉินนึกถึงสตรีที่เป็นต้นเหตุของรอยแผลบนฝ่าม
มหานครเซี่ยงไฮ้ อาคารสูงระฟ้ามากมายผุดพรายขึ้นภายในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีท่าเรือที่มีจำนวนเรือคับคั่งที่สุดในโลก และมีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุดในจีน ที่ผสมผสานความเป็นเมืองเก่าและเมืองใหม่ได้อย่างลงตัว ที่เป็นทั้งศูนย์กลางการพาณิชย์และการเงินที่สำคัญ เอกลักษณ์อันโดดเด่นของมหานครแห่งนี้นั่นก็คือหอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower) หรือไข่มุกเอเชีย เป็นสัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้ เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเอเชียและสูงเป็นอันดับ 3 รองจากแคนนาดาและรัสเซีย สูง 468 เมตร ภายในหอไข่มุกเป็นปล่องลิฟท์ความเร็ว 7 เมตร/ 1 วินาที สาเหตุที่เรียกว่าหอไข่มุก เนื่องจากด้านบนหอสร้างเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ด 3 ขนาดลดหลั่นกันไปกันในแนวตั้ง โดยไข่มุกเม็ดที่ 1 ที่แสดงถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของนครเซี่ยงไฮ้ เม็ดที่ 2 เป็นส่วนที่ใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ของเซี่ยงไฮ้ และเม็ดที่ 3 เป็นส่วนของร้านอาหารและโรงแรม สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำหวงผู่ ซึ่งในเวลากลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนครเซี่ยงไฮ้อีกด้วย ค
ในขณะที่ผู้คนมากมายซึ่งเดินทางมาร่วมพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ต่างพากันทำหน้าเลิกลั่กกันทุกคนเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของอีกฝ่าย ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าบ่าวในพิธีมงคลวันนี้“เหตุใดท่านแม่ทัพจึงพูดเช่นนั้น ก็ท่านนั้นแหละคือเจ้าบ่าวและนี่คือเจ้าสาวของท่าน ฮ่องเต้ประทานสมรสพระราชทานให้หลงลืมไปแล้วหรือไร อย่ามัวแต่ยืนตะลึงในความงามของเจ้าสาวอยู่เลยรีบนำเข้าไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเร็วเข้าเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยามอันเป็นมงคล”เสียงที่ตอบกลับมาราวกับว่าล่วงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดีในขณะที่คนฟังถึงกับงงเป็นตาแตกครั้นได้ยินเช่นนั้น“เฮ้ย! จะบ้าเหรอนี่ฉันเป็นผู้หญิงนะไม่ใช่ผู้ชายจะมาเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างไงกัน! ไม่เอา!”มี่อิงโวยวายขึ้นมาทันทีพร้อมหันหลังกลับจะเดินเข้าไปภายในจวน “เดี๋ยวก่อน!”เสียงเรียกดังกระหึ่มรั้งร่างไว้ให้รอดังอยู่ทางด้านหลัง และเสียงนั้นทำให้มี่อิงต้องหันหลังกลับมามองทันใดครั้นได้ยินเสียงของบุรุษ ร่างสูงใหญ่มหึมาในชุดเจ้าสาวเดินตรงเข้าไปหามี่อิง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าความสูงโดดเด่นช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับเมื่อแม่สาวน้อยมีความสูงอยู่แค่หน้าอกของเจ้าสาวร่างยักษ์เท่านั้น พร้อมร่างตรงหน
“ข้าจะมีคนรักเหมือนเช่นผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักคำๆ นี้ หากอาการโหยหาความรักของข้าดั่งที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเพียงเพาะไม่รู้จักคำว่ารัก เจ้ากล่าวผิดแล้วเหยียนไฉ”แม่ทัพหนุ่มพูดพลางหันกลับมามองใบหน้าคนสนิท “ข้าน้อยพูดผิดอย่างนั้นหรือขอรับ”เหยียนไฉพูดพลางหันนิ้วชี้เข้าหาตน ใบหน้าหล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นคำตอบที่ส่งกลับมา “สาเหตุเพราะไม่มีหญิงใดทำให้ข้ารู้จักกับคำว่ารักนี้ได้ ไม่มีสตรีนางใดสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของข้าแม้แต่คนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้อาการโหยหารักของข้าก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล”จางเย่วฉินพูดออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกภายใน ท่ามกลางความเงียบ กระแสลมเย็นยะเยือกพาดผ่านเรือนกายกำยำ พร้อมเกล็ดหิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมาตรงเบื้องหน้าของจางเย่วฉิน ก่อนจะยกมือหนาขึ้นรองรับหิมะแรกของฤดูเหมันต์ที่มาถึงแล้วในยามนี้ ดวงเนตรสีนิลกาฬมองไปที่ฝ่ามือของตนเองที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาเมื่อครั้งรอยฟันที่ถูกกัดอย่างแรงบนฝ่ามือเมื่อห้าปีก่อนยังปรากฏอยู่ ทุกครั้งที่เห็นบาดแผลดังกล่าว จะทำให้จางเย่วฉินนึกถึงสตรีที่เป็นต้นเหตุของรอยแผลบนฝ่าม
ยุคอดีต รัชสมัยถังเกาจงฮ่องเต้แผ่นดินในยุคโบราณขณะนี้ตรงกับยุคของราชวงศ์ถัง เข้าสู่รัชศกซ่างหยวนปีที่ 5 รัชสมัยของถังเกาจงฮ่องเต้พระนามเดิมหลี่จื่อ ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากถังไท่จงฮ่องเต้ จักรพรรดิลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์ถังซึ่งในประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นช่วงยุคสมัยของราชวงศ์ถังตอนต้น ในยามนี้แม่ทัพจางเย่วฉินได้รับพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร ควบคุมกองกำลังทหารและกองทัพทั้งหมด และยังรั้งตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารราชองครักษ์ เป็นขุนนางฝ่ายบู้ขั้น 2 ระดับเสนาบดีด้วยวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางราชการสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว หากแต่แม่ทัพหนุ่มชื่อกระฉ่อนกลับใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบคอยเฝ้าระวังเขตชายแดนอยู่ทางด่านนอกตอนเหนือมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ทางราชสำนักและชาวเมืองนครฉางอานต่างพากันเรียกร้องให้แม่ทัพลือชื่อผู้นี้กลับคืนสู่เมืองหลวงอันมั่งคั่ง ช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา จางเย่วฉินสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงทั้งให้แก่ตัวเองและเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลจางเป็นยิ่งนัก ชื่อเสียงกระฉ่อนล่วงรู้
ในขณะเดียวกัน ยุคอนาคตร่างระหงของจ้าวมี่อิงกำลังนั่งยองๆ หลับตาปี๋อยู่ตรงประตูโค้งซึ่งเป็นทางเข้าออกของประตูเมืองตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน ท่ามกลางผู้คนมากมายกำลังแหงนหน้าชื่นชมกับดอกไม้ไฟในพิธีเปิดงานเทศกาลชีซี ฟิ้ว!ฟิ้ว!ฟิ้ว! เสียงหวีดหวิวแหวกว่ายขึ้นสู่ท้องฟ้า ปัง!ปัง!ปัง!กลุ่มก้อนเล็กๆ ต่างพากันแตกตัวเป็นสีสันมากมายอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด เสียงดังกระหี่มกึกก้องไปทั่ว ในขณะที่ร่างของมี่อิงที่กำลังนั่งหลับตาปี๋อยู่ในขณะนั้นได้ยินเสียงดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งอยู่บนเหนือศีรษะของเธอก็ว่าได้ “เสียงดอกไม้ไฟ! นั่นมันเสียงของดอกไม้ไฟมิใช่เหรอ แต่ว่าในฉางอานงานชีซีสิ้นสุดลงแล้วจะมีการจุดดอกไม้ไฟอีกทำไมกันอีก”หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ฉับพลันเสียงจากไมโครโฟน ซึ่งดังมาจากด้านในของการจัดงานหลังประตูเมืองดังกล่าวแผดเสียงดังก้องขึ้นมาทันใด “ขอต้อนรับผู้เข้าชมงานทุกท่าน เทศกาลชีซีประจำปีนี้ของเมืองซีอานในบรรยากาศของเมืองจำลองโบราณในสมัยราชวงศ์ถังบัดนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สวมชุดฮั่นฝู เที่ยวชมงานกับบรรยากาศในยุคต้าถัง ดื่มด่ำกับดอกไม้ไฟหนึ่งแสนนัดซึ่งทางซี
ในขณะเดียวกัน มิติแห่งกาลเวลาพลันเกิดซ้อนทับขึ้นมาโดยพลัน ห้วงเวลาในยุคปัจจุบันซึ่งกำลังจุดดอกไฟหนึ่งแสนนัดในงานเทศกาลชีซีอยู่ในขณะนั้นยังคงดำเนินต่อไปในโลกของอนาคต เสียงดอกไม้ไฟดังกระหึ่มกึกก้องดังแว่วเข้าหูของมี่อิง ปัง!ปัง!ปัง! เสียงกระหึ่มกึกก้องประหนึ่งฟ้าคำรามลั่นแทรกทะลุมิติเข้ามาในกาลเวลาแห่งอดีต พร้อมร่างระหงของจ้าวมี่อิงเลือนหายไปจากโลกอดีตทันที พร้อมเสียงกระโดดจากหลังคารถม้ามาหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้า ผ้าม่านผืนใหญ่ที่กำลังปิดในขณะนั้นถูกแม่ทัพรูปงามเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พรึ่บ!!! ผ้าม่านผืนใหญ่ถูกมือหนาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วติดตามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “คิดหรือว่าซ่อนตัวในรถม้าของขุนนาง ข้าจะไม่ตรวจค้น!”เสียงตวาดดุดันดังก้อง ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้มีชัยเลือนหายไปทันที ครั้นดวงตาสีนิลเห็นสตรีสาวสองนางกำลังซุกตัวกอดกันจนตัวกลมด้วยความหวาดกลัว อะ...เออ จางเย่วฉินได้แต่ส่งเสียงเบาๆ อยู่ในลำคอเมื่อภายในรถนั้น มีสตรีเพียงสองนางมิใช่สามนางตามรายงาน แต่ถึงกระนั้นเพื่อความแน่ใจก็ต้องตรวจค้น “เจ้าทั้งสองเงยหน้าขึ้น”เสียงกร้าวสั่งการออกไป
“โอ้ย! ค่อยยังชั่วดีนะที่ไฟดับแปปเดียวเพราะต้องการโชว์ดอกไม้ไฟ แต่ถ้าไฟดับเพราะระบบการจ่ายไฟขัดข้องท่าทางนายกเทศมนตรีเมืองซีอานได้โดนร้องเรียนแน่ว่าทำงานไม่ได้เรื่อง”สาวใหญ่เจ้าของร้านบ่นโวยวาย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างครั้นเห็นคนสวยนั่งมองนางอยู่ในขณะนี้ “น้องสาวรอนานไหม พอดีพี่ต้องเดินกลับไปที่รถเอากล้องถ่ายรูปด้วยตัวเอง ผู้ช่วยพี่ดันมีเรื่องวุ่นวายทางบ้านเกิดขึ้นขอลากลับไปแล้ว พี่ก็เลยต้องทำเองคนเดียวหมดเลยว่าแต่...” สาวใหญ่เจ้าของร้านกล่าวได้เพียงเท่านั้นกลับต้องเงียบงันเมื่อสายตาของนางสังเกตชุดฮั่นฝูที่อยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวแสนสวยตรงหน้ามิใช่ชุดของทางร้านที่เลือกไว้ให้ “คุณน้องชุดของพี่ที่แต่งให้หายไปไหนอย่างนั้นเหรอ แล้วเอาชุดจากไหนมาใส่แทนทำไมพี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ใช่ชุดในร้านของพี่เลยนะ”เจ้าของร้านพูดพลางเอื้อมมือจับเนื้อผ้าพลางสังเกตลวดลายที่ปักอยู่บนตัวชุด ช่างงดงามและมีลายวิจิตรที่มิเคยเห็นมาก่อน “งาม! งามมากเลยพี่ยังไม่เคยเห็นลวดลายบนผ้าแบบนี้มาก่อนเลยนะ ฝีเข็มลงยากมากต้องใช้ความเชี่ยวชาญและทักษะสูงมากเลยทีเดียว”สาวใหญ่เจ้าของร้านพูดชมไม่ขาดปาก ใ
ในขณะเดียวกันทหารจำนวนสองนายเดินมาถึงรถม้าก่อนจะหยุดลงตรงหน้าประตู “ข้าน้อยทำตามหน้าที่ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพจางให้ค้นหาคนร้าย ดังนั้นได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามผู้ที่อยู่บนรถม้าให้ครบทุกคนด้วย” กล่าวพร้อมตรงเข้าเปิดผ้าที่ปิดประตูทางเข้าของตัวรถม้าเอาไว้ทันใดบนรถม้าคันดังกล่าวล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น นั่งอยู่ด้วยกันสามนางพร้อมเสียงของอี๋นั่วเอ่ยขึ้นทันใด “รถม้าคันนี้คุณหนูของตระกูลเฉียนนั่งอยู่ พวกท่านยังต้องการทราบชื่อเสียงเรียงนามอยู่อีกอย่างนั้นรึ” ทหารสองนายที่ทำหน้าที่ตรวจค้นต่างหันกลับมามองหน้ากันครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะยกสองมือประสานเข้าหากันเพื่อขออภัยสตรีที่อยู่ในชนชั้นสูง “ข้าน้อยต้องขออภัย คุณหนูให้ความร่วมมือด้วยเถิดได้โปรดแจ้งชื่อเสียงเรียงนามของผู้ที่นั่งมาด้วยให้ครบเป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพขอรับ”ทหารสองนายกล่าวอย่างนอบน้อม “แม่ทัพอีกแล้ว! เอะอะอะไรก็คำสั่งไอ้หมอนั่น”มี่อิงบ่รำพึงออกมาเบาๆพร้อมเสียงของทหารตรวจค้นเอ่ยขึ้น “ขอทราบนามผู้ที่นั่งอยู่บนรถด้วยว่ามีผู้ใดบ้าง”กล่าวพร้อมทหารที่มาด้วยกันกำลังใช้พู่กันเตรียมจดบันทึกลงในสมุดพร้อมเสียง
“เออจริงสิ! ผู้ชายคนที่มีเรื่องกับฉันนะเขามีอำนาจมากเลยเหรอถึงขนาดสั่งปิดประตูเมืองและออกคำสั่งให้ค้นหาได้ทั่วทั้งเมืองแบบนั้นนะ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรผิด ถุงเงินอะไรนั่นฉันก็เก็บได้ไม่ได้ไปขโมยของเขาเลยนะ” คุณหนูตระกูลเฉียนยิ้มออกมาบางๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น “ข้าเชื่อเจ้าว่าไม่ได้ทำผิด สบายใจเถอะเพราะว่าข้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นตั้งแต่ต้นเข้าใจว่าท่านแม่ทัพน่าจะถูกหัวขโมยล้วงถุงเงินแล้ววิ่งหนีออกมาทางประตูเมือง และบังเอิญช่วงนั้นจุดพลุไฟทำให้ท่านแม่ทัพไม่ทันได้ระวัง ข้ามาเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากประตูเมืองและเห็นเจ้าเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าคนผู้นั้นหายไปไหนเมื่อเดินชนกับเจ้าจนกระเด็นลอยออกไปไกลเลยเชียวนะ”คุณหนูตระกูลเฉียนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด ในขณะที่มี่อิงนั่งเอามือเท้าคางฟังเพื่อนใหม่ของเธอด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ “หรือว่าฉันพลัดหลงเข้ามาตอนเกิดมิติเวลาซ้อนทับ แบบนี้ก็ยิ่งแย่นะสิแล้วฉันจะรู้ได้อย่างไงว่าจะได้กลับตอนไหน”หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้
ยามอิ๋น บริเวณบนกำแพงเมือง รอยฟันกัดอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นแผลฝังลึกบนฝ่ามือของแม่ทัพหนุ่มรูปงามจางเย่วฉินเพื่อเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของเขา มิหนำซ้ำยังทำร้ายจุดอ่อนอันเป็นจุดตายของบุรุษทุกคนจนเกือบหมดรูปสิ้นชื่อไปเลยทีเดียว ดวงตาสีนิลกาฬคู่สวยเฝ้าจับจ้องอยู่กับผ้าพันแผลรอบฝ่ามือใหญ่ท่ามกลางสายตาของทหารคนสนิท “ท่านแม่ทัพยังเจ็บอยู่อย่างนั้นเหรอ”กัวเหยียนไฉเอ่ยถามพร้อมเอียงคอมองไปมา ฮึ่มมม!!! เสียงคำรามดังเบาๆ อยู่ในลำคอของแม่ทัพหนุ่มก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองทหารคนสนิทของตนเขม็ง เอือก!!! กัวเหยียนไฉกลืนน้ำลายลงคอทันใดเมื่อแม่ทัพหนุ่มหันกลับมาจ้องตนเช่นนั้น “แผลเล็กน้อยเพียงแค่แมวข่วนจะทำให้ข้ารู้สึกเจ็บเจียนตายได้อย่างไร! ถ้าบอกว่าเจ็บใจสิจึงจะถูกเสียมากกว่า! แล้วนี่อะไรหามาทั้งคืนแล้วยังไม่เจอตัวกันอีก สตรีตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวแต่ทหารของข้านับร้อยชีวิตกลับหาไม่เจอช่างน่าละอายสิ้นดี!”แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างหัวเสีย “โธ่! ท่านแม่ทัพหาจนไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดีแล้ว ค้นหาทั่วทุกบ้านและร้านค้าจนชาวเมืองพากันแตกตื่นกันไปทั่ว ถามกันให้วุ่นวายว่าเกิดเหต
หากแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่นิ้วมือเรียวสวยของมี่อิงบริเวณเล็บมือซึ่งถูกฉาบด้วยสีนู้ดชมพูกลีบบัว นิ้วเรียวดั่งลำเทียนและเล็บมือที่ตัดได้รูปสวยครั้นเคลือบด้วยสีสันหวานลออตาดังกล่าว ทำให้คุณหนูตระกูลเฉียนเฝ้าจับจ้องมิรู้คลายราวกับว่านางอยากแต่งแต้มเช่นนั้นบ้างท่ามกลางสายตาของมี่อิงจนอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “เธอเอาแต่มองเล็บมือของฉันอยู่ตลอดเวลาเลยแสดงว่าอยากมีเล็บแบบนี้ใช่ไหม”หญิงสาวถามกลับไป และนั่นทำให้คุณหนูตระกูลเฉียนตาลุกวาววับขึ้นมาทันที “อือ...เจ้าคาดเดาได้ถูกแล้ว ข้าอยากเรียนรู้การแต่งแต้มเล็บมือเช่นนี้บ้าง อีกทั้งอยากรู้ด้วยว่าจะสามารถหาซื้อสิ่งที่นำมาประทินโฉมนี้ได้จากที่ใดกัน อีกทั้งเครื่องประทินโฉมที่เจ้าใช้จนขับดวงหน้าสวยงามอะไรเช่นนี้ซื้อมาจากแหล่งใดบอกข้าได้หรือไม่ ข้าอยากรู้บางทีถ้ามีเครื่องประทินโฉมดั่งเจ้าอาจทำให้ข้าได้ออกเรือนเร็วขึ้น”คุณหนูตระกูลเฉียนพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมต่อหน้าเพื่อนใหม่ของนาง มี่อิงแทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังจิบอยู่ในขณะนั้นออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “นี่เธอ!อะไรจะรีบด่วนออกเรือน ปีนี้อายุเท่าไรกันเชียวทำไมถึงอยากมีสามีเร็วถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่อา