ฟู่ซูหนิงช่วยชาวบ้านจัดแจงข้าวของที่ฉืออิ้งเทียนมอบให้แยกประเภทออกเป็นสัดส่วน บรรดาสตรีที่สามารถเย็บปักถักร้อยได้ก็แบ่งหน้าที่ช่วยกัน เหล่าหยูกยาเงินทองจัดแจงลงบัญชีอย่างครบครัน จากนั้นฟู่ซูหนิงจึงมอบหนังสือบัญชีให้กับผู้อาวุโสดูแลต่อไป
"ท่านผู้อาวุโส ในนี้ข้าได้ทำบัญชีให้เรียบร้อยแล้ว พวกท่านลองตรวจทานดูก่อนได้ขอรับ"
"ขอบคุณท่านหมอ หากหมู่บ้านของเราไม่ได้เจอท่าน ไม่รู้ชีวิตจะเป็นเช่นไร"
"ผู้อาวุโส ท่านขอบคุณข้านับร้อยล้านครั้งแล้วนะขอรับ นี่ก็มืดค่ำจนแทบต้องคลำทาง เช่นนั้นให้คนอื่น ๆ แยกย้ายไปพักผ่อนเถิดขอรับ"
หญิงชราพยักหน้า จากนั้นจึงหันไปบอกทุกคน ฟู่ซูหนิงปิดล็อกคลังเก็บของเอาไว้ มือเรียวยื่นกุญแจให้ผู้อาวุโส "เรียบร้อยแล้วขอรับ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าเดินไปส่งท่านที่เรือน"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เท่านี้ก็ลำบากท่านหมอมากพอแล้ว"
"ผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องเกรงใจ มาเถอะข้าจะช่วยพยุง"
หญิงชรายกยิ้มจนเกิดรอยยับย่นบริเวณข้างแก้ม "ขอบคุณเจ้าค่ะ"
ทั้งสองเดินเคียงกันไปก็พูดคุยสัพเพเหระกันไป 
อรุณรุ่งมาเยือน แสงจากดวงตะวันสาดสะท้อนผ่านบานหน้าต่างทรงกลมสีทองอร่ามต้องกระทบใบหน้าเกลี้ยงเกลาซึ่งยามนี้ไร้หนวดเครารุงรังบดบัง ขนตาดำหนาเป็นแพระริกไหว"อื้อ...สายขนาดนี้แล้วหรือ เหตุใดวันนี้จึงหลับลึกนักเล่า"ร่างระหงดันกายพิงหัวเตียง ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับพลางบิดกายเพื่อคลายความเมื่อยขบ จากนั้นก้มสำรวจเรือนร่างตนฟู่ซูหนิงค่อนขอดเสียงแผ่ว "เพราะหมอนั่นทีเดียว ทำให้ข้าตื่นตูมจนลืมอาบน้ำ"ครั้นเมื่อยกแขนดอมดมฟู่ซูหนิงก็ต้องยู่หน้า"อี๊...ซูหนิง เหม็นเป็นปลาเค็มตากแห้ง ซกมกสุด ๆ ไม่ได้การ รีบไปอาบน้ำดีกว่า"ฟู่ซูหนิงดีดกายผึง เท้าเรียวเยื้องย่างเข้าหลังฉากกั้นสีขาวสะอาด น้ำมันหอมระเหยที่ปรุงแต่งด้วยตนเองส่งกลิ่นอบอวลเฉกเช่นยกบุปผามาทั้งหุบเขา ชวนให้ยามนี้รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปไม่กี่อึดใจร่างระหงจึงมาหยุดยืนสำรวจตนเองที่หน้าคันฉ่องสีอำพัน"อดทนอีกนิดนะซูหนิง ไม่นาน แกทำได้แน่นอน ถึงไม่อาจช่วยทุกคนได้ แต่ก็สามารถทำให้ดีที่สุดได้มิใช่หรือ"มือเรียวหยิบอุปกรณ์สำหรับละเลงหนวดเคราปล
"นายท่านฉือ นายท่านฉือเจ้าคะ"เหล่าสตรีกำลังส่งเสียงร้องเรียกพลางเดินสาละวนพร้อมถาดอาหารในมือเที่ยวตามหาฉืออิ้งเทียนให้ควัก"พวกนางกำลังตามหาท่าน ลงไปได้แล้ว"ฉืออิ้งเทียนส่ายหน้า "ข้าไม่ไป หลายคนก็มากเรื่องมากความ ข้าอิ่มแล้ว ยามนี้ต้องการร่ำสุราเป็นเพื่อนของท่านหมอ"ฟู่ซูหนิงจิ๊ปาก นัยน์ตาดอกท้อลดมองเบื้องล่าง ฟู่ซูหนิงคิดกระทำการบางอย่าง ริมฝีปากบางขยับยกเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะได้ตะโกนเพื่อให้คนด้านล่างรู้ตัว ทว่ากลับถูกมือหยาบระคายตะปบปิดปากไว้เสียก่อน"อื้อ...อ่อยอ้า (ปล่อยข้า)""ชู่...ข้าบอกว่าอยากอยู่เป็นสหายร่ำสุรากับท่าน ท่านหมอต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่เรียกพวกนาง"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจ ดูเหมือนนางไร้ทางเลือกเสียแล้ว เปลือกตาบางกะพริบถี่ ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงักฉืออิ้งเทียนพึงใจในคำตอบริมฝีปากชายหนุ่มพลันยกโค้งเบาบาง เขาลดฝ่ามือของตนลงแช่มช้า ครั้นเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการฟู่ซูหนิงจึงผลักเขาให้ถอยห่าง ทว่านางลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ตนกำลังยืนอยู่บนหลังคา เท้าซึ่งเหยียบกระเบื้องเก่าคร่ำคร
ฟู่ซูหนิงหรี่ตาเพราะเคลือบแคลงดูเหมือนเขากำลังโกหกตาใส ฟู่ซูหนิงเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว"ก็ดี ขะ...ข้าเหนื่อยแล้ว งานยังไม่เลิกท่านอยู่ต่อที่นี่เถิด ขอตัวกลับก่อน"ร่างระหงเร่งร้อนลุกขึ้น ฟู่ซูหนิงรู้สึกวิงเวียนดุจดั่งโลกกำลังเอียงกระเท่เร่ ทว่าฉืออิ้งเทียนเห็นท่าไม่ดี เขาจึงคว้าข้อมือเล็กไว้ทันควัน "ท่านหมอ อย่าเพิ่งไปสิขอรับ ดูท่านคงกลับเองไม่ได้เสียด้วย อีกอย่างยามนี้ดวงจันทร์กำลังงดงาม ร่ำสุรายังไม่หนำใจท่านก็จะไปแล้วหรือ นี่เพียงไหแรกไยจึงคออ่อนนัก""ปล่อยข้า ข้าไม่ไหวแล้ว"ริมฝีปากได้รูปกระตุกเบา เมื่อครู่นางดื่มไปเพียงสองครั้งเองมิใช่หรือ ไฉนจึงดูจะเมามายเพียงนี้กันฉืออิ้งเทียนเว้าวอน "ท่านหมอ นั่งก่อนนะขอรับ อีกครู่เดียวเท่านั้น ข้ายังสนทนากับท่านไม่จบเลย"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอา "ก็ได้ ก็ได้"หมอนี่จบเอกการแสดงที่ไหนมากัน อ้อนเก่งอย่างกับลูกสุนัข ชิ!ฉืออิ้งเทียนยื่นไหสุราในมือของตนให้ฟู่ซูหนิง "ท่านรับข้าเป็นสหายอีกคนได้หรือไม่""เมื่อครู่ข้าบอกท่านอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ อีกอย่า
ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ภายในศาลาต่างหลับใหลเพราะความสำราญและอิ่มหนำ ทว่าใครจะทราบแท้จริงมิใช่เหตุบังเอิญ ฉืออิ้งเทียนแหงนมองจันทร์กระจ่างฟ้า เขานั่งร่ำสุรากับฟู่ซูหนิงจนล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางยามจื่อ [1] ชายหนุ่มอุ้มร่างระหงไว้บนอ้อมแขน จากนั้นกระโจนลงจากหลังคา ฉืออิ้งเทียนพยักหน้าให้เติ้งเหวยและเกาซี เกาซีแสร้งไร้สติรวมอยู่กับบรรดาชาวบ้าน ส่วนเติ้งเหวยติดตามผู้เป็นนายไปห่าง ๆกระทั่งมาถึงโรงหมอ ฉืออิ้งเทียนส่งฟู่ซูหนิงเข้านอนในห้องส่วนตัว ยิ่งพิศมองใบหน้าพริ้มเพราหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำ เขากวาดสายตามองโดยรอบก็พบสัญลักษณ์การนับวัน ที่ฟู่ซูหนิงขีดเขียนเอาไว้ฉืออิ้งเทียนขมวดคิ้วงุนงง ร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้เพื่อสำรวจ ก็พบว่ามีจุดผิดสังเกตหนึ่งที่ปรากฏสัญลักษณ์สีเข้มเด่นชัด คล้ายเพิ่งมีการเขียนลงไม่นาน สัญลักษณ์ตรงหน้าคือการนับของแต่ละสัปดาห์ และเส้นสุดท้ายอันเด่นชัดก็เป็นเส้นที่เจ็ดของสัปดาห์สุดท้ายพอดี"หรือว่าเสียงของนาง ที่แหบห้าวแบบนั้นเพราะเกี่ยวข้องกับการนับสัปดาห์นี้หรือ"
"ไม่ได้การแล้ว หากปล่อยไว้นานทุกคนต้องตายแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกทว่านางเป็นหมอยาธรรมดา เดิมทีฟู่ซูหนิงทราบอยู่แล้วว่าชาวบ้านมิได้ติดโรคระบาดแต่เป็นพิษ กระนั้นยังจับมือใครดมไม่ได้ครานี้ไม่เหมือนกัน เกิดความยุ่งยากยิ่งกว่าโรคระบาดปลอมที่ผ่านมาเสียอีก ดูเหมือนฟู่ซูหนิงคงต้องย้อนกลับไปยังหุบเขาร้อยโอสถเพื่อขอคำแนะนำจากท่านตาโดยด่วน"แต่นี่ไม่ใช่พิษที่หมอธรรมดานั้นสามารถรักษาได้" ฉืออิ้งเทียนเป็นกังวลใจไม่ต่างกันโชคดียิ่งที่องครักษ์ของเขาและเสี่ยวไป๋กินเพียงเนื้อแกะย่างจนลืมแตะต้องน้ำแกงรากบัวที่ชาวบ้านนำมาให้ ทว่าบรรดาทหารกล้าอีกนับสิบ กลับได้รับพิษชนิดนี้เช่นเดียวกัน เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้หลับนอนเพราะวิ่งวุ่นเปิดตำราเพื่อหาวิธีการแก้กู่พิษ แต่เพราะฟู่ซูหนิงมิใช่หมอคุณไสย นางจึงมิได้มีตำราชนิดนี้อยู่"ท่านช่วยดูแลพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวข้ากลับมาไม่นาน"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เมื่อครู่นางหลุดปากแสดงตัวตนโดยบังเอิญ ทว่าความอลหม่านกลับทำให้ฟู่ซูหนิงลืมตัวไปเสียสนิทฟู่ซูหนิงเร่งร้อนไปหาเสี่ยวไป๋ นางกำลังอธิ
ม้าถูกเตรียมไว้ราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แท้จริงฉืออิ้งเทียนให้เกาซีนั้นเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพเผื่อกรณีฉุกเฉินต้องเร่งเดินทาง แต่ทว่ากลับมีม้าเพียงตัวเดียว ไม่รั้งรอให้ฟู่ซูหนิงลังเลอีก ฉืออิ้งเทียนก็ยกร่างระหงลอยหวือขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนที่ตนจะกระโดดคร่อมตามไปฟู่ซูหนิงอึ้งงันกะพริบตาถี่แขนแกร่งเอื้อมไปเบื้องหน้าประหนึ่งโอบกอดเรือนร่างคนตัวเล็กเอาไว้หละหลวม มือแกร่งดึงบังเหียนเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าตัวโต กีบเท้าหน้าตะกุยพื้นสองสามคราก่อนยกขึ้นเสียจนฝุ่นตลบ ฟู่ซูหนิงไม่ทันระวัง กายของนางก็ไหลครืดปะทะอกแกร่ง"ท่านหมอ ไร้กำลังจริงแท้ จับดี ๆ เล่า"ไม่ทันได้เตรียมตัว ฉืออิ้งเทียนก็ดึงบังเหียนอย่างรวดเร็ว อาชาสีดำเลื่อมห้อทะยานราวพายุในบัดดล ฟู่ซูหนิงถูกลมตีเข้าหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย นางหมายโน้มตัวลงเพื่อกอดคอม้าเอาไว้เพราะเกรงว่าตนจะตกลงไปเสียก่อน ทว่าแขนแกร่งกลับรวบรัดบริเวณเอวคอดอย่างถือวิสาสะ"ไม่ต้องกลัว"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยง นางเหลียวมองเขาด้วยใจไหวระทึก "ท่านทำอะไร ปล่อยข้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง""เหตุใดจึงบอกไม่เห
เพราะฉืออิ้งเทียนเร่งร้อนควบม้าจนฝุ่นตลบทำให้ยามนี้ฟู่ซูหนิงรู้สึกว่าร่างกายช่างเหนียวเหนอะหนะจึงต้องการอาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในห้องมีฉากกั้นระหว่างพื้นที่อาบน้ำและบริเวณเตียงนอนทว่านางเป็นสตรีเขาเป็นบุรุษ จะให้นางเปลื้องผ้าในขณะที่บุรุษอยู่ด้วยได้อย่างไร"นี่ นายท่านฉือ ท่านไม่หิวรึ"ฉืออิ้งเทียนเอนกายพิงหัวเตียงพลางยกแขนทั้งสองก่ายเกยศีรษะ เขาผินหน้ามองฟู่ซูหนิง เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "หิวสิ แต่ตอนนี้ร้อนมากกว่า อีกอย่างเราเร่งเดินทางจนร่างกายสกปรกมอมแมม ท่านหมอว่าหรือไม่"ข้าล่ะหน่ายกับหมอนี่จริง ๆฟู่ซูหนิงค่อนขอดในใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ดูเหมือนฟู่ซูหนิงกำลังหลงลืมว่าน้ำเสียงแหบแห้งที่แสร้งกรีดร้องจนได้มานั้นหายไปแล้ว "หากท่านหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะอาบน้ำ"ฉืออิ้งเทียนเลิกคิ้ว ร่างสูงยืดกายยืนเต็มความสูง เขาหย่อนเท้าลงจากเตียง ขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ฟู่ซูหนิงเนิบนาบพลางหรี่นัยน์ตาด้วยความเคลือบแคลงฟู่ซูหนิงหวาดระแวงเขาเช่นกัน"นี่.
เมื่อสงครามน้ำลายสงบลง ฟู่ซูหนิงก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักในห้องเดียวกันกับฉืออิ้งเทียนเตียงหนานุ่มเป็นของนาง ส่วนฉืออิ้งเทียนนั่งหลับจนคอแข็งอยู่บนตั่งแทบทั้งคืน คิดรังแกนางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กระนั้นฟู่ซูหนิงก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ชาติก่อนนางและเขาเคยนอนเตียงเดียวกัน ทว่านางไม่อาจนำชีวิตในชาตินี้มาเหมารวมได้ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด!"มีอะไร อยากให้ข้านอนด้วยแล้วหรือ" ฉืออิ้งเทียนเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาฟู่ซูหนิงสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนเขาคงใช้ชีวิตในคราบองค์ชายตาบอดนานเกินไปจึงความรู้สึกว่องไวเพียงนี้"เหลวไหล ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่คิดล้ำเส้น อย่าให้รู้ว่ายามค่ำคืนท่านแอบย่องเบาราวโจรปล้นสวาทเล่า"ฉืออิ้งเทียนเย้าแหย่"กำลังอยากลองอาชีพนี้อยู่ทีเดียว โจรปล้นสวาทน่าสนเป็นอย่างยิ่ง"ฟู่ซูหนิงหน้าร้อนผ่าว "ไร้ยางอาย" มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อกซ้ายเต้นระส่ำคล้ายจะกระดอนออกมาโลดแล่น นางได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะเบาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ราตรีนี้จึงเต็มไปด้วยความประดักประเดิดแ
การจับกุมหลิวเฟยเกือบทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ นับว่าโชคดียิ่งที่ฉืออิ้งเทียนเตรียมกำลังทหารปิดล้อมโรงน้ำชาแห่งนั้นเอาไว้ แม้เขาได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ ทว่าองครักษ์ทั้งสองและไท่จื่อ และฉือเจิ้นหยู่สามารถกวาดล้างเหล่ากบฏ ได้จนสิ้นซาก ทุกอย่างล้วนเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบของชินอ๋องหลิวเฟย เย่อ๋อง และหัวหน้าหมอหลวงชุยว่านเหวิน ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงสามวันเพื่อทำการไต่สวนต่อเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองคนร่วมกันวางแผนเพื่อขุดบ่อน้ำมันท้ายหมู่บ้านฮุ่ยเหอมาช้านาน หนำซ้ำยังทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ที่ล่วงรู้ถึงแหล่งขุดเจาะ เพราะเหตุนี้บุรุษในหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ที่มักออกหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพ หากบังเอิญพบสถานที่มรณะนั้นเข้าก็ถูกปลิดชีวิตตายทั้งหมดทำให้หลงเหลือเพียงสตรีอ่อนแอ คนแก่ชรา และเด็ก เย่อ๋องจึงวางแผนให้หมู่บ้านเกิดโรคระบาด หากชาวบ้านล้มตายจนหมด หมู่บ้านฮุ่ยเหอก็จะถูกทิ้งร้างและไม่มีรายงานส่งเข้าวังหลวง จนถูกหลงลืมในที่สุดแผนการทั้งหมดพังครืนไม่เป็นท่า เพราะอยู่ ๆ ก็มีหมอเช่นฟู่ซูหนิงยื่นมือเข้าช่วย ครั้นจะเร่งกำจัดก็เกรงจะเกิดเรื่องใหญ่ ก
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ