ฟู่ซูหนิงหรี่ตาเพราะเคลือบแคลงดูเหมือนเขากำลังโกหกตาใส ฟู่ซูหนิงเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว
"ก็ดี ขะ...ข้าเหนื่อยแล้ว งานยังไม่เลิกท่านอยู่ต่อที่นี่เถิด ขอตัวกลับก่อน"
ร่างระหงเร่งร้อนลุกขึ้น ฟู่ซูหนิงรู้สึกวิงเวียนดุจดั่งโลกกำลังเอียงกระเท่เร่ ทว่าฉืออิ้งเทียนเห็นท่าไม่ดี เขาจึงคว้าข้อมือเล็กไว้ทันควัน "ท่านหมอ อย่าเพิ่งไปสิขอรับ ดูท่านคงกลับเองไม่ได้เสียด้วย อีกอย่างยามนี้ดวงจันทร์กำลังงดงาม ร่ำสุรายังไม่หนำใจท่านก็จะไปแล้วหรือ นี่เพียงไหแรกไยจึงคออ่อนนัก"
"ปล่อยข้า ข้าไม่ไหวแล้ว"
ริมฝีปากได้รูปกระตุกเบา เมื่อครู่นางดื่มไปเพียงสองครั้งเองมิใช่หรือ ไฉนจึงดูจะเมามายเพียงนี้กัน
ฉืออิ้งเทียนเว้าวอน "ท่านหมอ นั่งก่อนนะขอรับ อีกครู่เดียวเท่านั้น ข้ายังสนทนากับท่านไม่จบเลย"
ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอา "ก็ได้ ก็ได้"
หมอนี่จบเอกการแสดงที่ไหนมากัน อ้อนเก่งอย่างกับลูกสุนัข ชิ!
ฉืออิ้งเทียนยื่นไหสุราในมือของตนให้ฟู่ซูหนิง "ท่านรับข้าเป็นสหายอีกคนได้หรือไม่"
"เมื่อครู่ข้าบอกท่านอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ อีกอย่า
ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ภายในศาลาต่างหลับใหลเพราะความสำราญและอิ่มหนำ ทว่าใครจะทราบแท้จริงมิใช่เหตุบังเอิญ ฉืออิ้งเทียนแหงนมองจันทร์กระจ่างฟ้า เขานั่งร่ำสุรากับฟู่ซูหนิงจนล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางยามจื่อ [1] ชายหนุ่มอุ้มร่างระหงไว้บนอ้อมแขน จากนั้นกระโจนลงจากหลังคา ฉืออิ้งเทียนพยักหน้าให้เติ้งเหวยและเกาซี เกาซีแสร้งไร้สติรวมอยู่กับบรรดาชาวบ้าน ส่วนเติ้งเหวยติดตามผู้เป็นนายไปห่าง ๆกระทั่งมาถึงโรงหมอ ฉืออิ้งเทียนส่งฟู่ซูหนิงเข้านอนในห้องส่วนตัว ยิ่งพิศมองใบหน้าพริ้มเพราหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำ เขากวาดสายตามองโดยรอบก็พบสัญลักษณ์การนับวัน ที่ฟู่ซูหนิงขีดเขียนเอาไว้ฉืออิ้งเทียนขมวดคิ้วงุนงง ร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้เพื่อสำรวจ ก็พบว่ามีจุดผิดสังเกตหนึ่งที่ปรากฏสัญลักษณ์สีเข้มเด่นชัด คล้ายเพิ่งมีการเขียนลงไม่นาน สัญลักษณ์ตรงหน้าคือการนับของแต่ละสัปดาห์ และเส้นสุดท้ายอันเด่นชัดก็เป็นเส้นที่เจ็ดของสัปดาห์สุดท้ายพอดี"หรือว่าเสียงของนาง ที่แหบห้าวแบบนั้นเพราะเกี่ยวข้องกับการนับสัปดาห์นี้หรือ"
"ไม่ได้การแล้ว หากปล่อยไว้นานทุกคนต้องตายแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกทว่านางเป็นหมอยาธรรมดา เดิมทีฟู่ซูหนิงทราบอยู่แล้วว่าชาวบ้านมิได้ติดโรคระบาดแต่เป็นพิษ กระนั้นยังจับมือใครดมไม่ได้ครานี้ไม่เหมือนกัน เกิดความยุ่งยากยิ่งกว่าโรคระบาดปลอมที่ผ่านมาเสียอีก ดูเหมือนฟู่ซูหนิงคงต้องย้อนกลับไปยังหุบเขาร้อยโอสถเพื่อขอคำแนะนำจากท่านตาโดยด่วน"แต่นี่ไม่ใช่พิษที่หมอธรรมดานั้นสามารถรักษาได้" ฉืออิ้งเทียนเป็นกังวลใจไม่ต่างกันโชคดียิ่งที่องครักษ์ของเขาและเสี่ยวไป๋กินเพียงเนื้อแกะย่างจนลืมแตะต้องน้ำแกงรากบัวที่ชาวบ้านนำมาให้ ทว่าบรรดาทหารกล้าอีกนับสิบ กลับได้รับพิษชนิดนี้เช่นเดียวกัน เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้หลับนอนเพราะวิ่งวุ่นเปิดตำราเพื่อหาวิธีการแก้กู่พิษ แต่เพราะฟู่ซูหนิงมิใช่หมอคุณไสย นางจึงมิได้มีตำราชนิดนี้อยู่"ท่านช่วยดูแลพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวข้ากลับมาไม่นาน"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เมื่อครู่นางหลุดปากแสดงตัวตนโดยบังเอิญ ทว่าความอลหม่านกลับทำให้ฟู่ซูหนิงลืมตัวไปเสียสนิทฟู่ซูหนิงเร่งร้อนไปหาเสี่ยวไป๋ นางกำลังอธิ
ม้าถูกเตรียมไว้ราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แท้จริงฉืออิ้งเทียนให้เกาซีนั้นเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพเผื่อกรณีฉุกเฉินต้องเร่งเดินทาง แต่ทว่ากลับมีม้าเพียงตัวเดียว ไม่รั้งรอให้ฟู่ซูหนิงลังเลอีก ฉืออิ้งเทียนก็ยกร่างระหงลอยหวือขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนที่ตนจะกระโดดคร่อมตามไปฟู่ซูหนิงอึ้งงันกะพริบตาถี่แขนแกร่งเอื้อมไปเบื้องหน้าประหนึ่งโอบกอดเรือนร่างคนตัวเล็กเอาไว้หละหลวม มือแกร่งดึงบังเหียนเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าตัวโต กีบเท้าหน้าตะกุยพื้นสองสามคราก่อนยกขึ้นเสียจนฝุ่นตลบ ฟู่ซูหนิงไม่ทันระวัง กายของนางก็ไหลครืดปะทะอกแกร่ง"ท่านหมอ ไร้กำลังจริงแท้ จับดี ๆ เล่า"ไม่ทันได้เตรียมตัว ฉืออิ้งเทียนก็ดึงบังเหียนอย่างรวดเร็ว อาชาสีดำเลื่อมห้อทะยานราวพายุในบัดดล ฟู่ซูหนิงถูกลมตีเข้าหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย นางหมายโน้มตัวลงเพื่อกอดคอม้าเอาไว้เพราะเกรงว่าตนจะตกลงไปเสียก่อน ทว่าแขนแกร่งกลับรวบรัดบริเวณเอวคอดอย่างถือวิสาสะ"ไม่ต้องกลัว"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยง นางเหลียวมองเขาด้วยใจไหวระทึก "ท่านทำอะไร ปล่อยข้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง""เหตุใดจึงบอกไม่เห
เพราะฉืออิ้งเทียนเร่งร้อนควบม้าจนฝุ่นตลบทำให้ยามนี้ฟู่ซูหนิงรู้สึกว่าร่างกายช่างเหนียวเหนอะหนะจึงต้องการอาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในห้องมีฉากกั้นระหว่างพื้นที่อาบน้ำและบริเวณเตียงนอนทว่านางเป็นสตรีเขาเป็นบุรุษ จะให้นางเปลื้องผ้าในขณะที่บุรุษอยู่ด้วยได้อย่างไร"นี่ นายท่านฉือ ท่านไม่หิวรึ"ฉืออิ้งเทียนเอนกายพิงหัวเตียงพลางยกแขนทั้งสองก่ายเกยศีรษะ เขาผินหน้ามองฟู่ซูหนิง เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "หิวสิ แต่ตอนนี้ร้อนมากกว่า อีกอย่างเราเร่งเดินทางจนร่างกายสกปรกมอมแมม ท่านหมอว่าหรือไม่"ข้าล่ะหน่ายกับหมอนี่จริง ๆฟู่ซูหนิงค่อนขอดในใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ดูเหมือนฟู่ซูหนิงกำลังหลงลืมว่าน้ำเสียงแหบแห้งที่แสร้งกรีดร้องจนได้มานั้นหายไปแล้ว "หากท่านหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะอาบน้ำ"ฉืออิ้งเทียนเลิกคิ้ว ร่างสูงยืดกายยืนเต็มความสูง เขาหย่อนเท้าลงจากเตียง ขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ฟู่ซูหนิงเนิบนาบพลางหรี่นัยน์ตาด้วยความเคลือบแคลงฟู่ซูหนิงหวาดระแวงเขาเช่นกัน"นี่.
เมื่อสงครามน้ำลายสงบลง ฟู่ซูหนิงก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักในห้องเดียวกันกับฉืออิ้งเทียนเตียงหนานุ่มเป็นของนาง ส่วนฉืออิ้งเทียนนั่งหลับจนคอแข็งอยู่บนตั่งแทบทั้งคืน คิดรังแกนางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กระนั้นฟู่ซูหนิงก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ชาติก่อนนางและเขาเคยนอนเตียงเดียวกัน ทว่านางไม่อาจนำชีวิตในชาตินี้มาเหมารวมได้ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด!"มีอะไร อยากให้ข้านอนด้วยแล้วหรือ" ฉืออิ้งเทียนเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาฟู่ซูหนิงสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนเขาคงใช้ชีวิตในคราบองค์ชายตาบอดนานเกินไปจึงความรู้สึกว่องไวเพียงนี้"เหลวไหล ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่คิดล้ำเส้น อย่าให้รู้ว่ายามค่ำคืนท่านแอบย่องเบาราวโจรปล้นสวาทเล่า"ฉืออิ้งเทียนเย้าแหย่"กำลังอยากลองอาชีพนี้อยู่ทีเดียว โจรปล้นสวาทน่าสนเป็นอย่างยิ่ง"ฟู่ซูหนิงหน้าร้อนผ่าว "ไร้ยางอาย" มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อกซ้ายเต้นระส่ำคล้ายจะกระดอนออกมาโลดแล่น นางได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะเบาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ราตรีนี้จึงเต็มไปด้วยความประดักประเดิดแ
ฉืออิ้งเทียนตั้งสติ เขายอบกายนั่งลงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะด้วยความทะนุถนอม "หนิงเอ๋อร์ อย่าร้อง เจ้ายิ่งร้องไห้หนัก พวกท่านก็จะยิ่งไม่สบายใจ"นัยน์ตาดอกท้อช้อนขึ้นสบประสานกับบุรุษตรงข้าม "ฮึก ฮื่อ...ท่านไม่ได้สูญเสียเช่นข้า ท่านก็พูดได้""ข้าเองก็เคยสูญเสียคนที่รัก"ฟู่ซูหนิงสะอึก ใช่แล้วฉืออิ้งเทียนเคยเอ่ยถึงพี่ชายร่วมบิดามารดาให้นางฟังอยู่เสมอ"ข้ารู้ดีว่าเจ้าเจ็บปวดเพียงใด เช่นนั้นก็ร้องออกมาให้หมด แล้วอย่าลืมสิ่งที่ท่านตาท่านยายฝากฝังไว้ด้วยเล่า เจ้าคงได้อ่านแล้วกระมัง"ฟู่ซูหนิงนิ่งเงียบไปสักพัก นางก้มหน้างุดไม่มองเขาอีก ฉืออิ้งเทียนยังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น ปล่อยให้นางได้ร้องไห้ระบายจนรู้สึกดีขึ้น เป็นเวลาหลายชั่วยามที่ทั้งสองแทบไม่ขยับกาย กระทั่งฟู่ซูหนิงร้องไห้จนม่อยหลับไม่รู้ตัว ฉืออิ้งเทียนยกมือประคองศีรษะเล็กเอาไว้ ขาของเขากำลังชาหนึบจนมิอาจขยับ ฉืออิ้งเทียนกัดฟันกรอดกระทั่งอุ้มร่างระหงไปพักยังเตียงหนานุ่มได้อย่างทุลักทุเลราตรีกาลมาเยือนแล้ว ฉืออิ้งเทียนไม่อาจนั่งรอให้ฟู่ซูห
เหลือเวลาไม่ถึงสองวันแล้วที่พวกเขาจะต้องกลับไปให้ทันถอนกู่พิษ ทว่ายามนี้ฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงยังต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง โชคดียิ่งที่นางพบว่าท่านตาและท่านยายของนางมิใช่หมอเทวดาแค่เพียงในนาม ทว่าคือหมอเทวดาอย่างแท้จริง กระนั้นสหายของพวกท่านกลับเดินอีกเส้นทาง หาใช่หมอรักษาโรคทางร่างกายโดยตรง แต่กลับเป็นหมอไสยสามารถรักษาอาการถูกกู่พิษได้"ท่านอ๋อง แน่ใจหรือเพคะ ทางนี้ออกจะเปลี่ยวเกินไป" ฟู่ซูหนิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตลอดเส้นทางนางสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอันผิดปกติฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "ทางนี้ แน่นอน"ฟู่ซูหนิงมิได้ปริปากอีก นางปล่อยให้ฉืออิ้งเทียนบังคับบังเหียนอยู่เบื้องหลังตนดังเดิม ดูเหมือนฟู่ซูหนิงรู้สึกชินกับการเดินทางที่ต้องมีเขาคอยโอบประคองตลอดทางเสียแล้ว จะบังคับขี่ม้าเองก็ไม่ได้เพราะเกรงจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่จู่ ๆ ม้าตัวเขื่องก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นตะกุยอากาศ กระทั่งหยุดลงในที่สุด ฟู่ซูหนิงเขม้นมองทางเข้าหมู่บ้านด้วยความลังเลที่นี่วังเวงชอบกลราวกับเป็นหมู่บ้านร้าง ฉืออิ้งเทียนเหล
ทั่วบริเวณหุบเขาร้อยโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดล้วนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวระยับ เพราะยามนี้สายฝนกำลังเทกระหน่ำดุจสวรรค์ร่ำไห้ ผืนนภาอันเคยสว่างเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมแผ่กลิ่นอายน่าหวาดเกรงเสียงสายฟ้าหวดสะบั้นเฉกเช่นอสนีเคราะห์ ภายในถ้ำแสนอนธการซ้ำยังอับชื้นพลันปรากฏสตรีร่างระหงนอนไร้สติเพียงลำพัง ความเย็นเยียบกำลังกัดลึกกร่อนกระดูกเสียจนหนาวเหน็บ เรือนร่างที่แน่นิ่งมานานจึงเริ่มขยับไหวพร้อมลมหายใจกระเพื่อมถี่ แค่ก แค่ก"หนาวจัง..." เสียงที่เคยสดใสแหบแห้งระคนสั่นเครือ เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้า ครั้นได้สตินางจึงดันกายของตนเพื่อพิงผนังผิวหยาบ อ้อมแขนยกขึ้นโอบกอดเรือนร่างตนหวังคลายความเย็นเยียบ พลางกวาดสายตาสำรวจสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดมัว หญิงสาวขยับแขนเพื่อตรวจสอบทีละฝั่งด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ "นี่เรายังไม่ตายอีกหรือ" ฟู่ซูหนิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง นางจำได้ว่าถูกบั่นศีรษะสิ้นใจไปแล้วตั้งแต่อยู่ในวังหลวง โทษฐานวางยาพิษฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้หวนกลับมาในคืนฝนพรำเมื่อคราที่ตนอายุสิบหกหนาวอีกครั้งเหตุใดนางจึงไร้ท่าทีตื่นตระหนกเมื่อทราบว่าต
เหลือเวลาไม่ถึงสองวันแล้วที่พวกเขาจะต้องกลับไปให้ทันถอนกู่พิษ ทว่ายามนี้ฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงยังต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง โชคดียิ่งที่นางพบว่าท่านตาและท่านยายของนางมิใช่หมอเทวดาแค่เพียงในนาม ทว่าคือหมอเทวดาอย่างแท้จริง กระนั้นสหายของพวกท่านกลับเดินอีกเส้นทาง หาใช่หมอรักษาโรคทางร่างกายโดยตรง แต่กลับเป็นหมอไสยสามารถรักษาอาการถูกกู่พิษได้"ท่านอ๋อง แน่ใจหรือเพคะ ทางนี้ออกจะเปลี่ยวเกินไป" ฟู่ซูหนิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตลอดเส้นทางนางสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอันผิดปกติฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "ทางนี้ แน่นอน"ฟู่ซูหนิงมิได้ปริปากอีก นางปล่อยให้ฉืออิ้งเทียนบังคับบังเหียนอยู่เบื้องหลังตนดังเดิม ดูเหมือนฟู่ซูหนิงรู้สึกชินกับการเดินทางที่ต้องมีเขาคอยโอบประคองตลอดทางเสียแล้ว จะบังคับขี่ม้าเองก็ไม่ได้เพราะเกรงจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่จู่ ๆ ม้าตัวเขื่องก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นตะกุยอากาศ กระทั่งหยุดลงในที่สุด ฟู่ซูหนิงเขม้นมองทางเข้าหมู่บ้านด้วยความลังเลที่นี่วังเวงชอบกลราวกับเป็นหมู่บ้านร้าง ฉืออิ้งเทียนเหล
ฉืออิ้งเทียนตั้งสติ เขายอบกายนั่งลงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะด้วยความทะนุถนอม "หนิงเอ๋อร์ อย่าร้อง เจ้ายิ่งร้องไห้หนัก พวกท่านก็จะยิ่งไม่สบายใจ"นัยน์ตาดอกท้อช้อนขึ้นสบประสานกับบุรุษตรงข้าม "ฮึก ฮื่อ...ท่านไม่ได้สูญเสียเช่นข้า ท่านก็พูดได้""ข้าเองก็เคยสูญเสียคนที่รัก"ฟู่ซูหนิงสะอึก ใช่แล้วฉืออิ้งเทียนเคยเอ่ยถึงพี่ชายร่วมบิดามารดาให้นางฟังอยู่เสมอ"ข้ารู้ดีว่าเจ้าเจ็บปวดเพียงใด เช่นนั้นก็ร้องออกมาให้หมด แล้วอย่าลืมสิ่งที่ท่านตาท่านยายฝากฝังไว้ด้วยเล่า เจ้าคงได้อ่านแล้วกระมัง"ฟู่ซูหนิงนิ่งเงียบไปสักพัก นางก้มหน้างุดไม่มองเขาอีก ฉืออิ้งเทียนยังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น ปล่อยให้นางได้ร้องไห้ระบายจนรู้สึกดีขึ้น เป็นเวลาหลายชั่วยามที่ทั้งสองแทบไม่ขยับกาย กระทั่งฟู่ซูหนิงร้องไห้จนม่อยหลับไม่รู้ตัว ฉืออิ้งเทียนยกมือประคองศีรษะเล็กเอาไว้ ขาของเขากำลังชาหนึบจนมิอาจขยับ ฉืออิ้งเทียนกัดฟันกรอดกระทั่งอุ้มร่างระหงไปพักยังเตียงหนานุ่มได้อย่างทุลักทุเลราตรีกาลมาเยือนแล้ว ฉืออิ้งเทียนไม่อาจนั่งรอให้ฟู่ซูห
เมื่อสงครามน้ำลายสงบลง ฟู่ซูหนิงก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักในห้องเดียวกันกับฉืออิ้งเทียนเตียงหนานุ่มเป็นของนาง ส่วนฉืออิ้งเทียนนั่งหลับจนคอแข็งอยู่บนตั่งแทบทั้งคืน คิดรังแกนางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กระนั้นฟู่ซูหนิงก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ชาติก่อนนางและเขาเคยนอนเตียงเดียวกัน ทว่านางไม่อาจนำชีวิตในชาตินี้มาเหมารวมได้ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด!"มีอะไร อยากให้ข้านอนด้วยแล้วหรือ" ฉืออิ้งเทียนเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาฟู่ซูหนิงสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนเขาคงใช้ชีวิตในคราบองค์ชายตาบอดนานเกินไปจึงความรู้สึกว่องไวเพียงนี้"เหลวไหล ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่คิดล้ำเส้น อย่าให้รู้ว่ายามค่ำคืนท่านแอบย่องเบาราวโจรปล้นสวาทเล่า"ฉืออิ้งเทียนเย้าแหย่"กำลังอยากลองอาชีพนี้อยู่ทีเดียว โจรปล้นสวาทน่าสนเป็นอย่างยิ่ง"ฟู่ซูหนิงหน้าร้อนผ่าว "ไร้ยางอาย" มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อกซ้ายเต้นระส่ำคล้ายจะกระดอนออกมาโลดแล่น นางได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะเบาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ราตรีนี้จึงเต็มไปด้วยความประดักประเดิดแ
เพราะฉืออิ้งเทียนเร่งร้อนควบม้าจนฝุ่นตลบทำให้ยามนี้ฟู่ซูหนิงรู้สึกว่าร่างกายช่างเหนียวเหนอะหนะจึงต้องการอาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในห้องมีฉากกั้นระหว่างพื้นที่อาบน้ำและบริเวณเตียงนอนทว่านางเป็นสตรีเขาเป็นบุรุษ จะให้นางเปลื้องผ้าในขณะที่บุรุษอยู่ด้วยได้อย่างไร"นี่ นายท่านฉือ ท่านไม่หิวรึ"ฉืออิ้งเทียนเอนกายพิงหัวเตียงพลางยกแขนทั้งสองก่ายเกยศีรษะ เขาผินหน้ามองฟู่ซูหนิง เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "หิวสิ แต่ตอนนี้ร้อนมากกว่า อีกอย่างเราเร่งเดินทางจนร่างกายสกปรกมอมแมม ท่านหมอว่าหรือไม่"ข้าล่ะหน่ายกับหมอนี่จริง ๆฟู่ซูหนิงค่อนขอดในใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ดูเหมือนฟู่ซูหนิงกำลังหลงลืมว่าน้ำเสียงแหบแห้งที่แสร้งกรีดร้องจนได้มานั้นหายไปแล้ว "หากท่านหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะอาบน้ำ"ฉืออิ้งเทียนเลิกคิ้ว ร่างสูงยืดกายยืนเต็มความสูง เขาหย่อนเท้าลงจากเตียง ขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ฟู่ซูหนิงเนิบนาบพลางหรี่นัยน์ตาด้วยความเคลือบแคลงฟู่ซูหนิงหวาดระแวงเขาเช่นกัน"นี่.
ม้าถูกเตรียมไว้ราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แท้จริงฉืออิ้งเทียนให้เกาซีนั้นเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพเผื่อกรณีฉุกเฉินต้องเร่งเดินทาง แต่ทว่ากลับมีม้าเพียงตัวเดียว ไม่รั้งรอให้ฟู่ซูหนิงลังเลอีก ฉืออิ้งเทียนก็ยกร่างระหงลอยหวือขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนที่ตนจะกระโดดคร่อมตามไปฟู่ซูหนิงอึ้งงันกะพริบตาถี่แขนแกร่งเอื้อมไปเบื้องหน้าประหนึ่งโอบกอดเรือนร่างคนตัวเล็กเอาไว้หละหลวม มือแกร่งดึงบังเหียนเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าตัวโต กีบเท้าหน้าตะกุยพื้นสองสามคราก่อนยกขึ้นเสียจนฝุ่นตลบ ฟู่ซูหนิงไม่ทันระวัง กายของนางก็ไหลครืดปะทะอกแกร่ง"ท่านหมอ ไร้กำลังจริงแท้ จับดี ๆ เล่า"ไม่ทันได้เตรียมตัว ฉืออิ้งเทียนก็ดึงบังเหียนอย่างรวดเร็ว อาชาสีดำเลื่อมห้อทะยานราวพายุในบัดดล ฟู่ซูหนิงถูกลมตีเข้าหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย นางหมายโน้มตัวลงเพื่อกอดคอม้าเอาไว้เพราะเกรงว่าตนจะตกลงไปเสียก่อน ทว่าแขนแกร่งกลับรวบรัดบริเวณเอวคอดอย่างถือวิสาสะ"ไม่ต้องกลัว"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยง นางเหลียวมองเขาด้วยใจไหวระทึก "ท่านทำอะไร ปล่อยข้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง""เหตุใดจึงบอกไม่เห
"ไม่ได้การแล้ว หากปล่อยไว้นานทุกคนต้องตายแน่นอน" ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกทว่านางเป็นหมอยาธรรมดา เดิมทีฟู่ซูหนิงทราบอยู่แล้วว่าชาวบ้านมิได้ติดโรคระบาดแต่เป็นพิษ กระนั้นยังจับมือใครดมไม่ได้ครานี้ไม่เหมือนกัน เกิดความยุ่งยากยิ่งกว่าโรคระบาดปลอมที่ผ่านมาเสียอีก ดูเหมือนฟู่ซูหนิงคงต้องย้อนกลับไปยังหุบเขาร้อยโอสถเพื่อขอคำแนะนำจากท่านตาโดยด่วน"แต่นี่ไม่ใช่พิษที่หมอธรรมดานั้นสามารถรักษาได้" ฉืออิ้งเทียนเป็นกังวลใจไม่ต่างกันโชคดียิ่งที่องครักษ์ของเขาและเสี่ยวไป๋กินเพียงเนื้อแกะย่างจนลืมแตะต้องน้ำแกงรากบัวที่ชาวบ้านนำมาให้ ทว่าบรรดาทหารกล้าอีกนับสิบ กลับได้รับพิษชนิดนี้เช่นเดียวกัน เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้หลับนอนเพราะวิ่งวุ่นเปิดตำราเพื่อหาวิธีการแก้กู่พิษ แต่เพราะฟู่ซูหนิงมิใช่หมอคุณไสย นางจึงมิได้มีตำราชนิดนี้อยู่"ท่านช่วยดูแลพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวข้ากลับมาไม่นาน"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เมื่อครู่นางหลุดปากแสดงตัวตนโดยบังเอิญ ทว่าความอลหม่านกลับทำให้ฟู่ซูหนิงลืมตัวไปเสียสนิทฟู่ซูหนิงเร่งร้อนไปหาเสี่ยวไป๋ นางกำลังอธิ
ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ภายในศาลาต่างหลับใหลเพราะความสำราญและอิ่มหนำ ทว่าใครจะทราบแท้จริงมิใช่เหตุบังเอิญ ฉืออิ้งเทียนแหงนมองจันทร์กระจ่างฟ้า เขานั่งร่ำสุรากับฟู่ซูหนิงจนล่วงเลยมาจนถึงช่วงกลางยามจื่อ [1] ชายหนุ่มอุ้มร่างระหงไว้บนอ้อมแขน จากนั้นกระโจนลงจากหลังคา ฉืออิ้งเทียนพยักหน้าให้เติ้งเหวยและเกาซี เกาซีแสร้งไร้สติรวมอยู่กับบรรดาชาวบ้าน ส่วนเติ้งเหวยติดตามผู้เป็นนายไปห่าง ๆกระทั่งมาถึงโรงหมอ ฉืออิ้งเทียนส่งฟู่ซูหนิงเข้านอนในห้องส่วนตัว ยิ่งพิศมองใบหน้าพริ้มเพราหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำ เขากวาดสายตามองโดยรอบก็พบสัญลักษณ์การนับวัน ที่ฟู่ซูหนิงขีดเขียนเอาไว้ฉืออิ้งเทียนขมวดคิ้วงุนงง ร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้เพื่อสำรวจ ก็พบว่ามีจุดผิดสังเกตหนึ่งที่ปรากฏสัญลักษณ์สีเข้มเด่นชัด คล้ายเพิ่งมีการเขียนลงไม่นาน สัญลักษณ์ตรงหน้าคือการนับของแต่ละสัปดาห์ และเส้นสุดท้ายอันเด่นชัดก็เป็นเส้นที่เจ็ดของสัปดาห์สุดท้ายพอดี"หรือว่าเสียงของนาง ที่แหบห้าวแบบนั้นเพราะเกี่ยวข้องกับการนับสัปดาห์นี้หรือ"
ฟู่ซูหนิงหรี่ตาเพราะเคลือบแคลงดูเหมือนเขากำลังโกหกตาใส ฟู่ซูหนิงเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว"ก็ดี ขะ...ข้าเหนื่อยแล้ว งานยังไม่เลิกท่านอยู่ต่อที่นี่เถิด ขอตัวกลับก่อน"ร่างระหงเร่งร้อนลุกขึ้น ฟู่ซูหนิงรู้สึกวิงเวียนดุจดั่งโลกกำลังเอียงกระเท่เร่ ทว่าฉืออิ้งเทียนเห็นท่าไม่ดี เขาจึงคว้าข้อมือเล็กไว้ทันควัน "ท่านหมอ อย่าเพิ่งไปสิขอรับ ดูท่านคงกลับเองไม่ได้เสียด้วย อีกอย่างยามนี้ดวงจันทร์กำลังงดงาม ร่ำสุรายังไม่หนำใจท่านก็จะไปแล้วหรือ นี่เพียงไหแรกไยจึงคออ่อนนัก""ปล่อยข้า ข้าไม่ไหวแล้ว"ริมฝีปากได้รูปกระตุกเบา เมื่อครู่นางดื่มไปเพียงสองครั้งเองมิใช่หรือ ไฉนจึงดูจะเมามายเพียงนี้กันฉืออิ้งเทียนเว้าวอน "ท่านหมอ นั่งก่อนนะขอรับ อีกครู่เดียวเท่านั้น ข้ายังสนทนากับท่านไม่จบเลย"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจระอิดระอา "ก็ได้ ก็ได้"หมอนี่จบเอกการแสดงที่ไหนมากัน อ้อนเก่งอย่างกับลูกสุนัข ชิ!ฉืออิ้งเทียนยื่นไหสุราในมือของตนให้ฟู่ซูหนิง "ท่านรับข้าเป็นสหายอีกคนได้หรือไม่""เมื่อครู่ข้าบอกท่านอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ อีกอย่า
"นายท่านฉือ นายท่านฉือเจ้าคะ"เหล่าสตรีกำลังส่งเสียงร้องเรียกพลางเดินสาละวนพร้อมถาดอาหารในมือเที่ยวตามหาฉืออิ้งเทียนให้ควัก"พวกนางกำลังตามหาท่าน ลงไปได้แล้ว"ฉืออิ้งเทียนส่ายหน้า "ข้าไม่ไป หลายคนก็มากเรื่องมากความ ข้าอิ่มแล้ว ยามนี้ต้องการร่ำสุราเป็นเพื่อนของท่านหมอ"ฟู่ซูหนิงจิ๊ปาก นัยน์ตาดอกท้อลดมองเบื้องล่าง ฟู่ซูหนิงคิดกระทำการบางอย่าง ริมฝีปากบางขยับยกเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะได้ตะโกนเพื่อให้คนด้านล่างรู้ตัว ทว่ากลับถูกมือหยาบระคายตะปบปิดปากไว้เสียก่อน"อื้อ...อ่อยอ้า (ปล่อยข้า)""ชู่...ข้าบอกว่าอยากอยู่เป็นสหายร่ำสุรากับท่าน ท่านหมอต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่เรียกพวกนาง"ฟู่ซูหนิงถอนหายใจ ดูเหมือนนางไร้ทางเลือกเสียแล้ว เปลือกตาบางกะพริบถี่ ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงักฉืออิ้งเทียนพึงใจในคำตอบริมฝีปากชายหนุ่มพลันยกโค้งเบาบาง เขาลดฝ่ามือของตนลงแช่มช้า ครั้นเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการฟู่ซูหนิงจึงผลักเขาให้ถอยห่าง ทว่านางลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ตนกำลังยืนอยู่บนหลังคา เท้าซึ่งเหยียบกระเบื้องเก่าคร่ำคร