ม้าถูกเตรียมไว้ราวรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แท้จริงฉืออิ้งเทียนให้เกาซีนั้นเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพเผื่อกรณีฉุกเฉินต้องเร่งเดินทาง แต่ทว่ากลับมีม้าเพียงตัวเดียว ไม่รั้งรอให้ฟู่ซูหนิงลังเลอีก ฉืออิ้งเทียนก็ยกร่างระหงลอยหวือขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนที่ตนจะกระโดดคร่อมตามไป
ฟู่ซูหนิงอึ้งงันกะพริบตาถี่
แขนแกร่งเอื้อมไปเบื้องหน้าประหนึ่งโอบกอดเรือนร่างคนตัวเล็กเอาไว้หละหลวม มือแกร่งดึงบังเหียนเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของม้าตัวโต กีบเท้าหน้าตะกุยพื้นสองสามคราก่อนยกขึ้นเสียจนฝุ่นตลบ ฟู่ซูหนิงไม่ทันระวัง กายของนางก็ไหลครืดปะทะอกแกร่ง
"ท่านหมอ ไร้กำลังจริงแท้ จับดี ๆ เล่า"
ไม่ทันได้เตรียมตัว ฉืออิ้งเทียนก็ดึงบังเหียนอย่างรวดเร็ว อาชาสีดำเลื่อมห้อทะยานราวพายุในบัดดล ฟู่ซูหนิงถูกลมตีเข้าหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย นางหมายโน้มตัวลงเพื่อกอดคอม้าเอาไว้เพราะเกรงว่าตนจะตกลงไปเสียก่อน ทว่าแขนแกร่งกลับรวบรัดบริเวณเอวคอดอย่างถือวิสาสะ
"ไม่ต้องกลัว"
ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยง นางเหลียวมองเขาด้วยใจไหวระทึก "ท่านทำอะไร ปล่อยข้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
"เหตุใดจึงบอกไม่เห
เพราะฉืออิ้งเทียนเร่งร้อนควบม้าจนฝุ่นตลบทำให้ยามนี้ฟู่ซูหนิงรู้สึกว่าร่างกายช่างเหนียวเหนอะหนะจึงต้องการอาบน้ำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในห้องมีฉากกั้นระหว่างพื้นที่อาบน้ำและบริเวณเตียงนอนทว่านางเป็นสตรีเขาเป็นบุรุษ จะให้นางเปลื้องผ้าในขณะที่บุรุษอยู่ด้วยได้อย่างไร"นี่ นายท่านฉือ ท่านไม่หิวรึ"ฉืออิ้งเทียนเอนกายพิงหัวเตียงพลางยกแขนทั้งสองก่ายเกยศีรษะ เขาผินหน้ามองฟู่ซูหนิง เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "หิวสิ แต่ตอนนี้ร้อนมากกว่า อีกอย่างเราเร่งเดินทางจนร่างกายสกปรกมอมแมม ท่านหมอว่าหรือไม่"ข้าล่ะหน่ายกับหมอนี่จริง ๆฟู่ซูหนิงค่อนขอดในใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ดูเหมือนฟู่ซูหนิงกำลังหลงลืมว่าน้ำเสียงแหบแห้งที่แสร้งกรีดร้องจนได้มานั้นหายไปแล้ว "หากท่านหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะอาบน้ำ"ฉืออิ้งเทียนเลิกคิ้ว ร่างสูงยืดกายยืนเต็มความสูง เขาหย่อนเท้าลงจากเตียง ขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ฟู่ซูหนิงเนิบนาบพลางหรี่นัยน์ตาด้วยความเคลือบแคลงฟู่ซูหนิงหวาดระแวงเขาเช่นกัน"นี่.
เมื่อสงครามน้ำลายสงบลง ฟู่ซูหนิงก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพักในห้องเดียวกันกับฉืออิ้งเทียนเตียงหนานุ่มเป็นของนาง ส่วนฉืออิ้งเทียนนั่งหลับจนคอแข็งอยู่บนตั่งแทบทั้งคืน คิดรังแกนางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ กระนั้นฟู่ซูหนิงก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ชาติก่อนนางและเขาเคยนอนเตียงเดียวกัน ทว่านางไม่อาจนำชีวิตในชาตินี้มาเหมารวมได้ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด!"มีอะไร อยากให้ข้านอนด้วยแล้วหรือ" ฉืออิ้งเทียนเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาฟู่ซูหนิงสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนเขาคงใช้ชีวิตในคราบองค์ชายตาบอดนานเกินไปจึงความรู้สึกว่องไวเพียงนี้"เหลวไหล ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่คิดล้ำเส้น อย่าให้รู้ว่ายามค่ำคืนท่านแอบย่องเบาราวโจรปล้นสวาทเล่า"ฉืออิ้งเทียนเย้าแหย่"กำลังอยากลองอาชีพนี้อยู่ทีเดียว โจรปล้นสวาทน่าสนเป็นอย่างยิ่ง"ฟู่ซูหนิงหน้าร้อนผ่าว "ไร้ยางอาย" มือเรียวคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อกซ้ายเต้นระส่ำคล้ายจะกระดอนออกมาโลดแล่น นางได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะเบาก็ยิ่งไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ราตรีนี้จึงเต็มไปด้วยความประดักประเดิดแ
ฉืออิ้งเทียนตั้งสติ เขายอบกายนั่งลงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะด้วยความทะนุถนอม "หนิงเอ๋อร์ อย่าร้อง เจ้ายิ่งร้องไห้หนัก พวกท่านก็จะยิ่งไม่สบายใจ"นัยน์ตาดอกท้อช้อนขึ้นสบประสานกับบุรุษตรงข้าม "ฮึก ฮื่อ...ท่านไม่ได้สูญเสียเช่นข้า ท่านก็พูดได้""ข้าเองก็เคยสูญเสียคนที่รัก"ฟู่ซูหนิงสะอึก ใช่แล้วฉืออิ้งเทียนเคยเอ่ยถึงพี่ชายร่วมบิดามารดาให้นางฟังอยู่เสมอ"ข้ารู้ดีว่าเจ้าเจ็บปวดเพียงใด เช่นนั้นก็ร้องออกมาให้หมด แล้วอย่าลืมสิ่งที่ท่านตาท่านยายฝากฝังไว้ด้วยเล่า เจ้าคงได้อ่านแล้วกระมัง"ฟู่ซูหนิงนิ่งเงียบไปสักพัก นางก้มหน้างุดไม่มองเขาอีก ฉืออิ้งเทียนยังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น ปล่อยให้นางได้ร้องไห้ระบายจนรู้สึกดีขึ้น เป็นเวลาหลายชั่วยามที่ทั้งสองแทบไม่ขยับกาย กระทั่งฟู่ซูหนิงร้องไห้จนม่อยหลับไม่รู้ตัว ฉืออิ้งเทียนยกมือประคองศีรษะเล็กเอาไว้ ขาของเขากำลังชาหนึบจนมิอาจขยับ ฉืออิ้งเทียนกัดฟันกรอดกระทั่งอุ้มร่างระหงไปพักยังเตียงหนานุ่มได้อย่างทุลักทุเลราตรีกาลมาเยือนแล้ว ฉืออิ้งเทียนไม่อาจนั่งรอให้ฟู่ซูห
เหลือเวลาไม่ถึงสองวันแล้วที่พวกเขาจะต้องกลับไปให้ทันถอนกู่พิษ ทว่ายามนี้ฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงยังต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง โชคดียิ่งที่นางพบว่าท่านตาและท่านยายของนางมิใช่หมอเทวดาแค่เพียงในนาม ทว่าคือหมอเทวดาอย่างแท้จริง กระนั้นสหายของพวกท่านกลับเดินอีกเส้นทาง หาใช่หมอรักษาโรคทางร่างกายโดยตรง แต่กลับเป็นหมอไสยสามารถรักษาอาการถูกกู่พิษได้"ท่านอ๋อง แน่ใจหรือเพคะ ทางนี้ออกจะเปลี่ยวเกินไป" ฟู่ซูหนิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตลอดเส้นทางนางสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอันผิดปกติฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "ทางนี้ แน่นอน"ฟู่ซูหนิงมิได้ปริปากอีก นางปล่อยให้ฉืออิ้งเทียนบังคับบังเหียนอยู่เบื้องหลังตนดังเดิม ดูเหมือนฟู่ซูหนิงรู้สึกชินกับการเดินทางที่ต้องมีเขาคอยโอบประคองตลอดทางเสียแล้ว จะบังคับขี่ม้าเองก็ไม่ได้เพราะเกรงจะยิ่งล่าช้าเข้าไปใหญ่จู่ ๆ ม้าตัวเขื่องก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นตะกุยอากาศ กระทั่งหยุดลงในที่สุด ฟู่ซูหนิงเขม้นมองทางเข้าหมู่บ้านด้วยความลังเลที่นี่วังเวงชอบกลราวกับเป็นหมู่บ้านร้าง ฉืออิ้งเทียนเหล
"ขออภัยท่านผู้อาวุโส พวกเรามิได้ตั้งใจรบกวนท่าน เพียงแต่ยามนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือ มิทราบว่าหมู่บ้านโม่โฉวมีท่านหมอนามว่าฟางซินหรือไม่ขอรับ""ที่นี่ไม่ต้อนรับแขก พวกเจ้ากลับไปเถิด"ฟู่ซูหนิงใจเสีย "ท่านผู้อาวุโส พวกเรามีความจำเป็นจริง ๆ เจ้าค่ะ ตอนนี้คนในหมู่บ้านของพวกเรากำลังป่วยหนัก หากไม่ใช่ท่านหมอฟางซิน ข้าก็มองไม่เห็นผู้อื่นอีกแล้ว เกรงว่าถ้ากลับไปไม่ทันพวกเขาจะตายกันหมด""นั่นมิใช่ธุระกงการใดของข้า คนจะตายพวกเจ้าห้ามได้ด้วยหรือ อีกอย่างข้าไม่ใช่หมอ หากพวกเขาเจ็บป่วยก็ไปหาหมอ หาใช่มาที่นี่""เพราะหมอธรรมดามิอาจรักษาได้ พวกเราจึงต้องมาที่นี่ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเจ้าค่ะ ไม่ทราบท่านหมอฟางซินอยู่ที่ใด หากท่านช่วยบอกใบ้ ชาตินี้พวกเราจะไม่มีวันลืมบุญคุณเจ้าค่ะ"ฟู่ซูหนิงภาวนาเพียงว่าท่านหมอฟางซินจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เงาตะคุ่มหนึ่งค่อย ๆ ย่างกรายออกมาพร้อมไม้เท้าในมือ ฟู่ซูหนิงเห็นอีกฝ่ายก็ถึงขั้นผงะ ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่นราวอายุร้อยกว่าปีได้ สีหน้าขมึงทึงไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง"คนที่นี่ไม่อาจช่วยเหลือใครได้ พวกเจ้ากลับไป
อาชาตัวใหญ่สีดำเลื่อมห้อตะบึงกลับไปยังหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ทั้งสองเร่งเดินทางแทบไม่หยุดพักตลอดสองราตรี อย่าว่าแต่คนอ่อนล้าเลย ยามนี้ม้าก็เช่นกัน"ท่านอ๋อง พักสักครึ่งชั่วยามก็คงไม่เป็นไรกระมังเพคะ เรายังไหว แต่ม้าของท่านนั้นไหวแน่หรือ"ดูเหมือนแรงวิ่งของม้าศึกคู่ใจเขาพละกำลังเริ่มถดถอยแล้วจริง ๆ"ก็ได้"อีกด้าน ณ โรงหมอแห่งหมู่บ้านฮุ่ยเหอบรรดาชาวบ้านยังคงถูกมัดไว้ นับวันนี้ก็ครบเจ็ดวันพอดี อาการของบรรดาผู้คนเริ่มแปลกประหลาดไปทุกขณะ องครักษ์ทั้งสองและเสี่ยวไป๋ต่างเคร่งเครียด เสี่ยวไป๋เมียงมองไปยังเส้นทางเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของฉืออิ้งเทียนและฟู่ซูหนิงอย่างมีหวัง"พี่ชาย ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่พวกท่านจะกลับหรือ คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกระมัง""เสี่ยวไป๋ ทางนี้เกิดปัญหาแล้ว" เติ้งเหวยและเกาซีพยายามช่วยกันกดแขนขาหญิงสาวผู้หนึ่งเอาไว้ ดูเหมือนใบหน้าของนางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ หนำซ้ำดวงตายังกลอกขึ้นจนเห็นเพียงสีขาวพละกำลังที่อีกฝ่ายแดดิ้น แทบนับได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ กระทั่งบุรุษผู้ก
เสียงร้องโอดครวญเงียบสงบลงแล้ว ทุกคนต่างหลับใหลและกำลังพักฟื้นจากอาการถูกกู่พิษ ฟู่ซูหนิงเหลือบมองเสี่ยวไป๋ ใบหน้าของเด็กหนุ่มยามนี้ซีดขาวโรยแรง"ไป๋เอ๋อร์""ขอรับท่านอาจารย์"ผ่านไปไม่กี่วันดูเหมือนเด็กหนุ่มจะสูงขึ้นอีกแล้ว ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มบาง "เจ้าอยู่กับข้ามานานเท่าใดแล้ว""ท่านจำไม่ได้หรือ เดิมทีท่านอาจารย์มักบอกเสมอว่าความจำเป็นเลิศกว่าผู้ใด"ฟู่ซูหนิงยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มของนางกลับเต็มไปด้วยความฝืดฝืน "นี่แน่ะ ยอกย้อนเก่งเหลือเกิน" มือเรียวดีดหน้าผากเสี่ยวไป๋ไม่จริงจังนัก"ท่านอาจารย์ ระวังความรู้ที่ท่านสอนมาจะไหลออกจากหัวข้าหมด เพราะท่านเอาแต่ดีดเป็นลูกคิดเช่นนี้"ฟู่ซูหนิงหัวเราะครืน ทว่าสีหน้าของนางมิได้ดูสนุกสนานเช่นที่แสดงออกเลยแม้เสี่ยวไป๋ยังเติบโตไม่เต็มที่แต่เขาอยู่กับฟู่ซูหนิงมานาน มีหรืออาการผิดสังเกตเช่นนี้เขาจะมองไม่ออก"อาจารย์ ท่านมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ""เสี่ยวไป๋ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า"กระบอกตาคู่งามขึ้นสีแดงเรื่อ
ฟู่ซูหนิงอึ้งงัน นางครุ่นคิดถึงคำพูดเด็กหนุ่มในวันนั้นว่ามีพี่ชายมาส่ง วันนั้นฟู่ซูหนิงก็รู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน นางย้อนกลับไปอีกครั้งแต่ไม่พบแม้แต่เงาคน ที่แท้ก็เป็นเขาคนที่นางไม่อยากให้เป็นมากที่สุด "เป็นพระองค์เองหรือ ไหนท่านรับปากข้าว่าเราจะเป็นเพียงคนผ่านทางที่บังเอิญพบกันเท่านั้น เหตุใดจึงกลับคำ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า ฟู่ซูหนิงเอ่ยต่อ "ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ ดุจดั่งโอรสสวรรค์เช่นเดียวกัน วาจาดั่งทองคำ เหตุใดจึงไม่รักษาสัจจะเพคะ""ข้ารักษาสัจจะเสมอ แต่ข้าไม่อาจละเลยผู้มีพระคุณได้ ฉะนั้นวันที่ข้ารับปากเจ้า..." ฉืออิ้งเทียนยกมือขวาขึ้น จากนั้นไขว้กันให้นางดู"ทะ...ท่านอ๋อง นี่ท่าน เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า "เหตุใดจะไม่ได้งั้นหรือ มีกฎข้อไหนของสวรรค์บัญญัติไว้กันเล่า"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างประหนึ่งถูกกระแสอสนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม เปลือกตาบางกะพริบตาถี่ ยังไม่ทันขยับปาก เสียงกีบเท้าม้าจากทางด้านนอกก็ดังขึ้น"หนิงเอ๋อร์ อาไป๋"ฟู่ซูหนิงมองผ่านลาดไหล่กว้างออกไปใบหูของฉืออิ้งเทียนกระดิกเล็กน้อย พร้อมสีหน้าซึ่งหม่นทะมึน
การจับกุมหลิวเฟยเกือบทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ นับว่าโชคดียิ่งที่ฉืออิ้งเทียนเตรียมกำลังทหารปิดล้อมโรงน้ำชาแห่งนั้นเอาไว้ แม้เขาได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ ทว่าองครักษ์ทั้งสองและไท่จื่อ และฉือเจิ้นหยู่สามารถกวาดล้างเหล่ากบฏ ได้จนสิ้นซาก ทุกอย่างล้วนเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบของชินอ๋องหลิวเฟย เย่อ๋อง และหัวหน้าหมอหลวงชุยว่านเหวิน ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงสามวันเพื่อทำการไต่สวนต่อเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองคนร่วมกันวางแผนเพื่อขุดบ่อน้ำมันท้ายหมู่บ้านฮุ่ยเหอมาช้านาน หนำซ้ำยังทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ที่ล่วงรู้ถึงแหล่งขุดเจาะ เพราะเหตุนี้บุรุษในหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ที่มักออกหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพ หากบังเอิญพบสถานที่มรณะนั้นเข้าก็ถูกปลิดชีวิตตายทั้งหมดทำให้หลงเหลือเพียงสตรีอ่อนแอ คนแก่ชรา และเด็ก เย่อ๋องจึงวางแผนให้หมู่บ้านเกิดโรคระบาด หากชาวบ้านล้มตายจนหมด หมู่บ้านฮุ่ยเหอก็จะถูกทิ้งร้างและไม่มีรายงานส่งเข้าวังหลวง จนถูกหลงลืมในที่สุดแผนการทั้งหมดพังครืนไม่เป็นท่า เพราะอยู่ ๆ ก็มีหมอเช่นฟู่ซูหนิงยื่นมือเข้าช่วย ครั้นจะเร่งกำจัดก็เกรงจะเกิดเรื่องใหญ่ ก
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"
ต้นยามสวี [1] "เรื่องที่ให้สืบ คืบหน้าถึงไหนแล้ว""ทูลท่านอ๋อง ที่ตลาดกลางเมือง มีโรงน้ำชาหนึ่ง..." เติ้งเหวยโน้มกระซิบเสียงแผ่ว ฉืออิ้งเทียนฟังอย่างตั้งใจฉืออิ้งเทียนพยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เติ้งเหวยรายงานทั้งหมด "ดูเหมือนต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยืดเยื้อมาหลายปีข้าเกรงทุกอย่างจะสายเกินไป""พ่ะย่ะค่ะ"บุรุษทั้งสามสวมเครื่องแต่งกายสีเข้ม ขาสูงเดินลัดเลาะเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยโดยรอบตำหนัก จนมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย ฉืออิ้งเทียนสังเกตเห็นความผิดปกติบริเวณหางตา เขาเห็นคนร่างเล็กสวมเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิด กำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมียงมองนางกำนัลผู้หนึ่งบริเวณห้องเครื่องเกาซีหมายเข้าจับกุมอีกฝ่าย ทว่าฉืออิ้งเทียนกลับปรามเอาไว้ "ไม่ต้อง แยกกันไปคนละทาง ข้าดูแล้วคนผู้นี้มาเพียงลำพัง ซ้ำยังไร้วรยุทธ์""พ่ะย่ะค่ะ"องครักษ์ทั้งสองจึงแยกย้ายไปตามคำสั่ง ฉืออิ้งเทียนเยื้องย่างไปทางด้านหลังร่างปริศนาด้วยฝีเท้าเบาหวิว มีดพกถูกดึงออกจากฟัก มือแกร่งคว้าหมับปิดริมฝีปากคนเบื้องหน
"นายหญิง พวกเราค้นหาจนทั่วแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่พบเย่อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าเย่อ๋องคง..."เพล้ง!เสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบแตกกระจาย บรรดามือสังหารในชุดคลุมสีเข้มต่างก้มหน้างุดไม่มีผู้ใดเปล่งวาจาอีก"ไม่จริง นี่อาจเป็นอุบายของชินอ๋อง เย่อ๋องน่ะหรือจะตายไปแล้ว ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เช่นนั้นก็ส่งคนลอบเข้าไปยังตำหนักชินอ๋องเสีย""แต่ที่นั่นการคุ้มกันแน่นหนามาก"ริมฝีปากซึ่งแต้มชาดสีแดงสดเหยียดยิ้ม "พวกโง่ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ หากยังอืดอาดเช่นนี้ แผนการที่พยายามมาหลายปีต้องพังครืนไม่เป็นท่าแน่ คงต้องเร่งจัดการมันทุกคนให้สิ้นซาก"..ณ ตำหนักกุ้ยเฟยฟู่ซูหนิงถูกกุ้ยเฟยเรียกเข้าเฝ้าแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่านางคือหมอผู้ติดตามชินอ๋องหรือติดตามกุ้ยเฟยกันแน่ ยิ่งฟู่ซูหนิงเข้าปรนนิบัติและใกล้ชิดซิ่วกุ้ยเฟยมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้รั่วรั่วมากขึ้นเท่านั้น"กุ้ยเฟยเพคะ ไยต้องให้นางมาเข้าเฝ้าท่านทุกวัน รั่วรั่วอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องให้นางมาปรนนิบัติแล้วก็ได้นะเ
ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้"ไท่จื่อ พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ นี่เป็นเพียงการสำรอกเอาพิษออกจากพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น""แต่นี่เสด็จพ่อ...""จวินเอ๋อร์" เสียงสั่นเครือแหบแห้งเอ่ยขึ้นไท่จื่อฉืออี้จวินรุดเข้ากุมมือผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉืออิ้งเทียนก็เดินเข้ามาขนาบข้าง ฮ่องเต้เหลียวมองหน้าโอรสทั้งสองพลางแย้มสรวลเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณหมอฟู่ ยามนี้ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมากจริง ๆ" ฮ่องเต้ฉือเจียฉีย้ายสายตาไปทางสตรีเพียงหนึ่ง"หมอฟู่""เพคะ""อิ้งเทียนมักกล่าวชมเจ้าให้ข้าฟังอยู่เสมอ เจ้าเป็นคนดูแลเขาในตอนที่ถูกทำร้ายและวางยาพิษจนดวงตาใกล้บอดกระทั่งเวลานี้ก็เป็นคนช่วยเหลือข้า ข้าจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างดี เจ้าและลูกศิษย์เองก็เหลือกันเพียงสองคน ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้หากซ่อนเร้นอยู่เพียงในหุบเขาคงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นหมอฟู่ยินดีเป็นหมอหลวงหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงให้เจ้า"ฉืออิ้งเทียนใจเต้นระส่ำ แม้ความคิดจะเห็นแก่ตัวไปบ้างแ