มีคนร้องรายงานเสียงดัง : "ใต้เท้า พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอีกแล้ว"สีหน้าของเซี่ยถิงอวี่จริงจังหนักแน่นพวกเป่ยตี๋เองก็บุกเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกันเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องตามแล้ว ล้อมปราบพวกศัตรูด้านนอกอย่างเต็มกำลัง"เขาเชื่อว่าในเมื่อซูชิงลั่วมาแจ้งกับเขาได้ นางก็คงต้องเตรียมความพร้อมด้วยตัวเองแล้วเป็นแน่*เดิมทีกลุ่มเป่ยตี๋ที่บุกเข้าไปได้มีประมาณสี่ห้าร้อยคน หลังจากที่โดนสกัดกั้นแล้ว สุดท้ายมีร้อยกว่าคนที่เอาชีวิตไม่รอดเหลืออีกสามร้อยกว่าคนที่หลุดเข้าไปในเมืองแล้วกลับพบว่าไม่มีใครตามพวกเขามาแล้วหนู่ฮาได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจและเสียงปืนใหญ่ด้านนอกก็หัวเราะออกมาเบาๆข่านเองก็กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่แม้จะต้องตาย แต่อย่างไรก็ต้องสร้างความย่อยยับในเมืองให้ได้ก่อน มีผู้คนล้มตายมากมายเช่นนี้ก็นับไม่ว่าเสียแรงเปล่าแล้วเขาเงยหน้าขึ้นไปมองปราดหนึ่ง ตัดสินใจเลือกเรือนอาศัยตรงหน้าที่มีโคมแดงแขวนอยู่ เตรียมจะเข้ายึดครองใช้เป็นฐานปฏิบัติการชาวบ้านราชวงศ์ฉู่อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังมือเปล่าไร้อาวุธ จัดการง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งใดพวกเขาเดินไปยั
สตรีนางนั้นกล่าวเสียงเย็นเยียบ : "ยิงธนู..."เสียงของนางกลับไพเราะถึงเพียงนี้หนู่ฮาเห็นลูกศรสิบกว่าดอกที่อยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่นั้นล้วนแต่ติดไฟทั้งสิ้นคือลูกศรไฟ เขาลูบใบหน้าตัวเองจึงได้รู้สึกตัวว่าของเหลวที่รดร่างเมื่อครู่คือน้ำมัน !เขาพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาทันทีเขาอยากจะรีบปีนขึ้นมา ทว่าลูกศรไฟพุ่งมาจากกลางอากาศ ตกลงบนร่างเขาดัง "ฉึก" ไฟลุกโชนไปทั่วทั้งหลุม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนเหล่าทหารเป่ยตี๋ด้านหลังที่ยังไม่ตกลงไปในหลุมเห็นเข้าก็ตกใจจนรีบหนีไป ทว่าหลังจากนั้นก็มีลูกศรพุ่งมาจากด้านหลังพวกเขาแค่หนีออกไปถึงหน้าประตูก็น่าจะได้แล้วกระมัง"ถอยถอยถอย !"ปรากฏว่าทันทีที่ไปถึงหน้าประตู โคมแดงหน้าประตูพลันสว่างสไวไปทั้งตรอกเส้นทางที่เดินผ่านล้วนแต่มีน้ำเดือดๆ สาดออกมาจากกำแพงสูงเหล่าทหารเป่ยตี๋พากันส่งเสียงร้องโอดครวญอีกครั้งเหตุใดพวกเขาถึงได้เตรียมพร้อมเช่นนี้พวกเขาควรจะมือเปล่าไร้อาวุธรอเวลาโดนฆ่าอย่างเดียวไม่ใช่หรือผู้คนในเขตที่ราบกลางล้วนแต่เป็นเช่นนั้นมาตลอด เหตุใดครั้งนี้ถึงต่างออกไป*เซี่ยถิงอวี่ทอดมองไปยังสนามรบในยามค่ำคืน คิ้วขมวดมุ่นเล็ก
เขาเพิ่งจะยิงออกไปได้แค่ลูกเดียว แต่นางกลับกำลังประกอบศรลูกที่สามแล้วหญิงชราพูดต่อ "ไปเถอะ ข้าจะช่วยตัดแต่งทรงผมและหนวดให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องขายหน้ายามไปพบผู้คน"ในใจเหอป๋อบอกว่าข้าให้เจ้าช่วยข้าแต่งทรงแล้วหรือแต่ไม่รู้เพราะเหตใด เท้ากลับก้าวตามนางไปเสียได้หลี่ว์เผิงเทียน : ?เหอป๋อเชื่อฟังเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด*หลังจากปะทะกันครั้งนี้จบลง ซูชิงลั่วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งอย่างอดไม่ได้ทนทรมานมาถึงกลางดึก ร่างกายนางก็เหนื่อยล้ามากแล้วเมิ่งชิงไต้เป็นฝ่ายอาสารับหน้าที่ที่เหลือต่อ บอกให้นางไปพักผ่อนนางนำทุกคนไปเก็บกวาดสถานที่ สั่งให้ผู้ดูแลบ้านนำพวกเป่ยตี๋ทั้งหมดไปมัดไว้แล้วส่งตัวให้เซี่ยถิงอวี่หลังจากที่ซูชิงลั่วกลับไปที่ห้อง ความง่วงก็ถึงขีดจำกัด นางผล็อยหลับไปโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ได้ยินเสียงตะโกนร้องปลุกใจดังสนั่นจากนอกเมืองอยู่ลางๆ การสู้รบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างแล้วนางล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินออกไป ได้ยินอารักขาผู้หนึ่งกำลังพูดกับเมิ่งชิงไต้ "วันนี้พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอย่างบ้า
เซี่ยถิงอวี่เห็นซูชิงลั่วและเมิ่งชิงไต้ก็พูดเสียงขรึม "พวกเจ้าขึ้นมาทำอันใดบนกำแพงเมือง การสู้รบไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น รีบลงไป !""อย่ามากความ" ซูชิงลั่วหยิบคันธนูขึ้นมาง้างออก แล้วยิงไปยังด้านล่างกำแพงทหารเป่ยตี๋ผู้หนึ่งล้มลงไปกับพื้นในทันที“……”นับว่าคล่องแคล่วอยู่ไม่น้อยเซี่ยถิงอวี่เกือบลืมไปแล้วว่าฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วนั้นดีพอสมควร เมิ่งชิงไต้ก็เช่นกันเมิ่งชิงไต้มองเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "วางใจเถอะ พวกข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านอย่างแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่มองซ้ายขวาแวบหนึ่ง พวกนางยังพาบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนมากันหมดสาวใช้ที่คอยติดตามซูชิงลั่วอยู่ตลอดผู้นั้นสายตาเยือกเย็น กำลังยิงธนูลงไปด้านล่างเช่นกันพวกเป่ยตี๋กำลังเตรียมจะใช้บันไดปีนขึ้นมาโจมตี สาวใช้ผู้นั้นยิงธนูออกไปไม่กี่ดอก ทหารเป่ยตี๋สองนายก็กลิ้งลงไปด้านล่างทันทีเซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปพูดกับทหารหน่วยหนึ่ง "พวกเจ้าปกป้องพระชายาและแม่นางซูให้ดี หากมีอันตรายจะต้องพาพวกนางออกไปก่อนทันทีผู้ที่เป็นหัวหน้าขานรับเซี่ยถิงอวี่หันไปมองเมิ่งชิงไต้อีกปราดหนึ่ง ไม่ได้มีความอาลัยใดๆ เพียงแค่หันหล
ซูชิงลั่วเดินก้มตัวไปตลอดทางไปหอสังเกตการณ์ ข้างหูได้ยินเสียงธนูลอยผ่านไปอยู่เป็นระยะแม้ท้องของนางจะเริ่มนูนออกมาแล้ว แต่ภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งที่ปกคลุมอยู่ทำให้คนนอกแทบจะมองไม่ออกมีเพียงแค่ตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าการเดินโค้งตัวเช่นนี้อันตรายเพียงใดนางเผลอลูบท้องของตัวเอง พลางพูดในใจ ลูกน้อย ลำบากเจ้าแล้ว อดทนอีกหน่อยนะนายทหารผู้นั้นคล่องแคล่วว่องไว วิ่งไปด้วยความรวดเร็วซูชิงลั่วก็รีบตามไปติดๆ กระทั่งไปถึงจุดทางเข้ากำแพงเมืองได้อย่างปลอดภัย แล้วเริ่มปีนบันไดกำแพงเมืองขึ้นไปบันไดทั้งสูงทั้งชัน นางสะพายธนูไว้ด้านหลัง ทำให้ต้องผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ค่อยๆ ปีนขึ้นไปด้านบนทีละก้าวได้อย่างมั่นคงทัศนวิสัยตรงนี้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซูชิงลั่วเพียงมองไปแวบเดียวก็เจอชายหนุ่มสวมหมวกหนาที่ถูกทหารหลายนายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางใต้ธงรบเป่ยตี๋นางรวบรวมสมาธิ หยิบลูกศรขึ้นมา ดึงสายธนูจนสุด "ฝึบ" เสียงลูกศรถูกยิงออกไปศรลูกนั้นพุ่งตรงไปยังข่าน เฉียดแก้มเขาไปใบหน้าของข่านพลันมีเลือดสีแดงสดไหลลงมาทหารคุ้มกันรอบทิศรีบเอ่ย : "คุ้มกันข่าน"ไม่นานนักก็มีศรอีกลูกยิงเข้ามา ศรป
ธงแห่งราชวงศ์ฉู่โบกสะบัดอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงป่าวร้องดังลั่น"ใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว !""กองกำลังเสริมมาถึงแล้ว"เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีที่เดิมก็ดังสนั่นอยู่แล้ว ราวกับจะดังทะลุชั้นเมฆเสียให้ได้ทอดมองออกไปจากหอสังเกตการณ์ กองทัพทหารที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเป็นก้อนสีดำเข้มกำลังบุกเข้ามาในสนามรบสถานการณ์การรบพลันพลิกผันในพริบตายังคิดอยู่เลยว่าถึงอย่างไรกว่าลู่เหิงจือจะมาได้ก็คงต้องรอจนถึงช่วงกลางคืน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเดินทางกันมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเหล่าหทารที่อยู่บนกำแพงพลันมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันทีเซี่ยถิงอวี่เปล่งเสียงสุดแรง "ใครก็ได้ ตามข้าออกไปรบ ใช้เลือดล้างความอับปยศให้เมืองเรา"ช่วงหลายวันนี้ ทุกคนต่างก็ถูกล้อมอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าออกไป ยามนี้โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว จึงรีบบุกออกไปด้วยความฮึกเหิมทันทีที่เขาออกไป เมิ่งชิงไต้เขามาแทนตำแหน่งเดิมของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่ที่เขาทำแต่เดิมต่อไป : "พวกเจ้ายิงต่อไป อย่าหยุด พวกเจ้าที่เหลือไปขนธนูและลูกศรขึ้นมาอีก"นางพูดจบก็รีบหันไปง้างคันธนูในมือทั
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเขาเพิ่งกำจัดเป่ยตี๋ได้ เกียรติยศความน่าเกรงขำกำลังพุ่งถึงขีดสุดเหล่านายทหารโดยรอบต่างก็พากันตกตะลึงหลังจากได้ยินแม้จะอยู่ภายใต้การนำทัพของติ้งอ๋องในช่วงหลายวันนี้ ทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่น้อย แต่จะให้ทำการกบฎเลยก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยนายทหารรอบกายลู่เหิงจือได้รับคำสั่งลับมาก่อนหน้าแล้ว เวลานี้ต่างก็คุกเข่าลงไปตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรก ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด "ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"นายทหารประจำเมืองหลวงหันมามองหน้ากันทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแก่หง่อมดังขึ้นกะทันหัน "กระหม่อมขอคาราวะฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี"กลุ่มคนมองตามสายตาไป กลับเห็นเป็นซิ่นกั๋วกงซิ่นกั๋วกงเคยทำสงครามสู้รบกับพวกเป่ยตี๋เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาหวังเพียงแค่จะทำลายเป่ยตี๋ให้สิ้นซากครั้งนี้ที่เป่ยตี๋บุกโจมตีเมืองหลวง แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ออกมาต้านศัตรูที่กำแพงเมืองด้วยตัวเอง ฆ่าพวกเป่ยตี๋ไปได้สิบกว่าคน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าชาวบ้านยิ่งนักยามนี้ทั่วทั้งตัวของเขาอาบไปด้วยเลือด กำลังถูกเมิ่งชิงไต้ประครองระหว่างที่เขาคุกเข่าลงตร
ป้ายหน้าประตูถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "จวนตระกูลซู"ตัวอักษรดูชัดเจนมีพลัง แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าซูชิงลั่วเขียนเองกับมือภายในใจของลู่เหิงจือเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เขาลงจากม้า แล้วสั่งให้คนจูงท่าเสวี่ยไฟพัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าประตูไปแม้ในจวนจะเก็บกวาดคร่าวๆ ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้ให้เห็นหลุมกับดักขนาดใหญ่ในสวนยังถมไม่เรียบ ดินบริเวณรอบๆ ยังคงเห็นคราบเลือดสีเข้มติดอยู่เหล่าเด็กรับใช้คงจะเหนื่อยกันหมด หน้าประตูมีเพียงแค่เวรยามคนเดียวคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพตามสัญชาตญาณลู่เหิงจือโบกมือ บอกให้เขานอนต่อเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นเองเวรยามก็พลันนึกขึ้นมาได้...ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนายหญิงจะสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใต้เท้าเข้ามาในจวนแต่เขาง่วงมากจริงๆ แล้วเขาก็ไม่มีทางขวางลู่เหิงจือได้ จึงหลับต่อไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหิงจือตรงดิ่งเข้าไปถึงห้องของซูชิงลั่วได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางอวี้จู๋กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านนอก เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นไปบอกเขาเบาๆ ด้วยความร้อนรน : "ใต้เท้า คุณหนูไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา"ลู่เหิงจือ
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป
ซูชิงลั่วไม่ได้สงสัยว่าเขาพูดโกหกเพราะก่อนหน้านี้ลู่เหิงจือเคยบอกว่ามีลูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญถามจบ ความง่วงก็มาเยือน นางจึงผล็อยหลับไปนางไม่ได้ฝันมานานแล้วแต่วันนี้กลับฝันขึ้นมาในความฝัน เด็กชายวัยสามสี่ขวบกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน นางวิ่งตามไปแล้วตะโกนว่า “ช้าหน่อย”เด็กชายหันมามองนางแล้วยิ้มอย่างสดใส “ท่านแม่ รีบมาเร็ว”เอ่ยจบ เด็กชายก็วิ่งต่อไปและกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของลู่เหิงจือซูชิงลั่วมองใบหน้าของเด็กชาย เห็นว่าหน้าตาคล้ายลู่เหิงจือมากกว่า แต่ดวงตากลับเหมือนนางราวกับแกะนางร้องไห้โดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือตื่นแต่เช้า ยามนี้ก็หลับไปแล้ว แต่กลับรู้สึกได้ถึงร่างกายของคนที่อยู่ในอ้อมกอดสั่นเทาเขาลืมตาขึ้นมาทันทีแล้วถามว่า “เป็นอะไรหรือ”ขนตายาวของซูชิงลั่วชุ่มน้ำ และมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ที่ปลายขนตานางจ้องมองเขา น้ำเสียงสั่นเครือ “พี่สาม ลูกของเราเป็นผู้ชาย”ลู่เหิงจือน้ำเสียงสั่นเขายังไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ขณะรบกับเป่ยตี๋เลยเขาวางมือลงบนท้องของนางอย่างเบามือ “เจ้า......ฝันหรือ”ซูชิงลั่วพยักหน้า “เขาเหมือนท่านมาก”ลู่เหิงจือหลับตาลงเล็กน้อย แล้วก้มลงจูบริมฝีปากของนา
"......"ซูชิงลั่วท้องโตขึ้นแล้ว เวลาเดินนางจะเอามือไปรองพยุงเอวโดยไม่รู้ตัวนางไม่ได้พูดอะไร ค่อยๆ เดินไปยังเรือนข้างๆเรือนข้างๆ เป็นห้องรับแขก มีต้นอู๋ถงต้นใหญ่ปลูกไว้อยู่แสงตะวันส่องผ่านช่องว่างของใบไม้ ตกลงมาเป็นดวงๆ บนแผ่นหลังของลู่เหิงจือเขาคุกเข่าหลังตรง ราวกับต้นหยกจ้าวจิ้งยืนกอดอกมอง เมื่อเห็นว่าซูชิงลั่วเดินมา เขาก็เงยหน้าเหลือบมองนางซูชิงลั่วรีบทำท่า "ชู่ว์" ให้เงียบจ้าวจิ้งจึงไม่พูดอะไรซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวดในใจทันทีนางไม่กล้ามองลง จึงหันกลับไปที่ห้อง ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้หลังจากลู่เหิงจือคุกเข่าเสร็จ จ้าวจิ้งก็หยิบจดหมายลับออกมาเซี่ยถิงอวี่บอกเขาว่าแม้จะอยู่ที่จินหลิงก็อย่าได้ว่างงาน ควรคอยระวังสิ่งที่ควรระวังลู่เหิงจือยัดจดหมายลงในแขนเสื้อ ทำหน้าเฉยเมยและเอ่ยว่า “ไม่ส่ง”*ลู่เหิงจือกลับเข้าห้อง ซูชิงลั่วได้พาหญิงชราไปตากแดดเสร็จแล้ว และกำลังชงน้ำชาอยู่เขาอดแปลกใจไม่ได้ “วันนี้ทำไมกลับเร็วเพียงนี้”ซูชิงลั่วยิ้มเล็กน้อยพลางตอบว่า “วันนี้ท่านยายอยากเดินออกกำลังกายจึงเหนื่อยเร็ว และอยากกลับไปพักน่ะ”“แล้วเจ้ากลับมาเมื่อใด” ลู่เหิงจือชะงักไปชั่ว
ซูชิงลั่วหลับตาลง มือกำผ้าปูที่นอนแน่นแล้วคลายออกวนซ้ำแบบนี้หลายรอบ ร่างกายของนางก็อ่อนระทวยไปทั้งตัวต่อมานางสั่นและถูกลู่เหิงจืออุ้มเข้าไปในอ้อมแขน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสงบลงไม่รู้ทำไม สิ่งแรกที่นางนึกถึงคือ "เราหย่ากันแล้ว ทำเช่นนี้จะดูไม่เหมาะหรือไม่?"เอ่ยจบ ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นไปอีกลู่เหิงจือหัวเราะเสียงเบา "ที่เจ้าหมายถึงคือ......เราแอบมีอะไรกันอย่างนั้นหรือ?"ซูชิงลั่วไม่ตอบลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง "ก็ได้""ข้ายังไม่เคยแอบมีอะไรกับใครมาก่อนเลย""พรุ่งนี้ข้าจะเขียนลงบทบรรยายเล่มใหม่"ซูชิงลั่ว "......"ไม่ต้องก็ได้นางเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเหนียวตัวจนน่ารำคาญทว่าร่างกายกลับอ่อนระทวย......จนไม่อยากลุกไปไหนเลยลู่เหิงจือเอามือมาเช็ดเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ แล้วเปลี่ยนผ้าผืนใหม่มาเช็ดให้นางอีกครั้งเมื่อเขายื่นมือมา ซูชิงลั่วก็เผลอปัดออก ใบหน้าแดงก่ำพลางกระซิบว่า "ข้าทำเองได้"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ "เจ้าจะทำเองได้อย่างไร"ซูชิงลั่วถึงกับนึกได้ว่ายามนี้นางไม่เหมือนเมื่อก่อน การก้มตัวเริ่มไม่สะดวกแล้วนางจึงหลับตาลงอีกครั้งและซุกหน้าเข้าไปในผ้าห
นางจ้องบทบรรยายเล่มใหม่ในมือ ครุ่นคิดในใจว่าอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากันก่อนหน้านี้เขียนถึงเรื่องที่องค์ชายอภิเษกสมรสโดยบังเอิญกับสตรีสูงศักดิ์ที่ตนเองหลงรักมากแต่ด้วยความกลัวที่จะถูกแก้แค้น ในคืนวันแต่งงานองค์ชายจึงไม่ได้เสด็จไปนอนในห้องของพระชายา กลับไปนอนในห้องของสนมแทนพระชายาเศร้าใจมาก เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็ทำสีหน้าเย็นชามององค์ชาย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงยิ่งห่างเหินขึ้นไปอีกส่วนสนมก็ยิ่งทำตัวหยิ่งผยอง ดูถูกเหยียดหยามพระชายาอย่างหนักครานี้เขียนถึงเรื่องที่องค์ชายได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความพยายามของตนเองในที่สุดคนทั้งปวงล้วนรู้ว่าองค์ชายไม่โปรดปรานพระชายา บางคนถึงขั้นมั่นใจว่าองค์ชายจะถอดถอนพระชายาและตั้งสนมขึ้นเป็นฮองเฮาแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าในคืนแรกหลังจากขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้จะเสด็จไปนอนในห้องของพระชายาพื้นในตำหนักกลางเย็นเยือก ฮ่องเต้คุกเข่าบนแผ่นหิน อ้อนวอนให้ฮองเฮายกโทษตนฮองเฮาเพียงจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ได้เอ่ยคำใดซูชิงลั่วรีบพลิกหน้าต่อไป - จบแล้วหรือ?ทันใดนั้น นางตระหนักได้ว่าลู่เหิงจือได้ขุดหลุมพลางไว้ให้นางอีกแล้วนั่นหมายความว่า หากนางไม่ให้อ