ป้ายหน้าประตูถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "จวนตระกูลซู"ตัวอักษรดูชัดเจนมีพลัง แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าซูชิงลั่วเขียนเองกับมือภายในใจของลู่เหิงจือเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เขาลงจากม้า แล้วสั่งให้คนจูงท่าเสวี่ยไฟพัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าประตูไปแม้ในจวนจะเก็บกวาดคร่าวๆ ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้ให้เห็นหลุมกับดักขนาดใหญ่ในสวนยังถมไม่เรียบ ดินบริเวณรอบๆ ยังคงเห็นคราบเลือดสีเข้มติดอยู่เหล่าเด็กรับใช้คงจะเหนื่อยกันหมด หน้าประตูมีเพียงแค่เวรยามคนเดียวคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพตามสัญชาตญาณลู่เหิงจือโบกมือ บอกให้เขานอนต่อเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นเองเวรยามก็พลันนึกขึ้นมาได้...ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนายหญิงจะสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใต้เท้าเข้ามาในจวนแต่เขาง่วงมากจริงๆ แล้วเขาก็ไม่มีทางขวางลู่เหิงจือได้ จึงหลับต่อไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหิงจือตรงดิ่งเข้าไปถึงห้องของซูชิงลั่วได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางอวี้จู๋กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านนอก เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นไปบอกเขาเบาๆ ด้วยความร้อนรน : "ใต้เท้า คุณหนูไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา"ลู่เหิงจือ
ซูชิงลั่วผลักประตูเดินออกไปฟ้าเพิ่งจะสว่างเหล่าเด็กรับใช้และสาวใช้อดตาหลับขับตานอนมาสองวันสองคืน ซูชิงลั่วจึงอนุญาตให้พวกเขาได้อู้งานสักวันสองวัน ดังนั้น ในยามนี้บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนแต่กำลังหลับใหลมีเพียงแค่แม่นมเหมยที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่ในครัวกับคนครัวอีกสองสามคนแม่นมเหมยเห็นซูชิงลั่วเดินเข้ามาก็รีบพูดกับนาง "ข้ากำลังจะยกกับข้าวไปให้คุณหนูอยู่เลย"ซูชิงลั่วอมยิ้มพลางพยักหน้า "กำลังหิวพอดี"หลังจากที่นางท้อง นับวันก็ยิ่งหิวง่ายขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะเด็กในท้องเริ่มมีความอยากอาหารมากขึ้นก็เป็นได้นางกลัวว่าจะรบกวนลู่เหิงจือ จึงไปกินอาหารเช้าที่ห้องรับรองแขกแทนหลังจากที่นางกินบะหมี่ไก่เส้นไปครึ่งถ้วย กระดูกหมูสองชิ้น ปลาหนึ่งตัว แอปเปิ้ลอีกครึ่งลูกไปแล้ว ถึงจะรู้สึกอิ่มท้องกินเสร็จก็เดินออกไปด้านนอก สภาพในสวนเละเทะ ยังไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดด้านนอกเงียบสงบกว่าปกติหลังจากผ่านเสียงตะโกนรบราฆ่าฟันกันมาสามวัน ความเงียบสงบในเวลานี้กลับรู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนักนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่คอกม้าท่าเสวี่ยเพิ่งตื่น ทันทีที่เห็นนางก็รีบเอาหัวไซ้แขนเสื้อนางด้วยค
น้ำเสียงของลู่เหิงจือแหบพร่าเพราะระหกระเหินไปหลายที่ "ชิงลั่ว ข้าเพิ่งจะกลับมา"ใบหน้าซูชิงลั่วไร้ความรู้สึก ยัดข้าวโพดปิ้งเข้าปากท่าเสวี่ย ไม่ได้สนใจเขาอีก จากนั้นก็กลับหลังหันเดินไปทางห้องของตนลู่เหิงจือตามนางไป"ชิงลั่ว พวกเราต้องคุยกัน""ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับท่าน"น้ำเสียงของซูชิงลั่วเฉยชา นางปิดประตูประตูถูกมือของลู่เหิงจือดันเอาไว้พละกำลังของซูชิงลั่วสู้เขาไม่ได้ แต่นางกำลังท้องอยู่ ลู่เหิงจือจึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ทั้งสองคนจึงค้างอยู่ในท่านี้ไม่รู้ว่าค้างอยู่นานเพียงใด ในที่สุดซูชิงลั่วก็ปล่อยมือ"มีเหตุอันใด ใต้เท้าลู่จะบีบบังคับข้าอีกแล้วหรือ"น้ำเสียงของนางหนาวเหน็บดุจเกร็ดน้ำค้างลู่เหิงจือ : "ชิงลั่ว เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน"ทันใดนั้นเอง ซ่งเหวินพลันเข้ามากะทันหัน เขามองสถานการณ์ตึงเครียดของพวกเขาทั้งคู่ปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา "ใต้เท้า ติ้งอ๋องเรียกท่านเข้าวังด่วน"ยามนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางลู่เหิงจือทำได้เพียงแค่ตอบไป "คืนนี้ข้าจะกลับมาอธิบายให้เจ้าฟัง"ซูชิงลั่วตอบเสียงแข็ง "ไม่ต้อง"ลู่เหิงจือยกมือขึ้นมาตั้งใจจะ
เขารีบออกไปเรียกพลทหารมากลุ่มหนึ่ง คอยเปิดทางแทนลู่เหิงจืออยู่ด้านหน้าแม้เด็กรับใช้จะได้รับคำสั่งให้ขวางลู่เหิงจือ แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้จะยังกล้าขวางอยู่ได้เช่นไร รีบเปิดทางให้ทันที*ซูชิงลั่วกำลังกินมื้อดึกอยู่ในห้องช่วงนี้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ กลางคืนต้องกินเพิ่มอีกมื้อจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงเป็นระเบียบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากด้านนอกประตู อดเงยหน้าขึ้นมาถามไม่ได้ "เกิดเหตุอันใดขึ้น"จื๋อหยวนออกไปถาม หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา "ใต้เท้ามาที่นี่"ซูชิงลั่วแค่นหัวเราะเย็นชา "อ่อ เช่นนั้นเขาพาทหารบุกเข้ามาหรอกหรือ"จื๋อหยวนไม่กล้าพูดสิ่งใดนัยน์ตาของซูชิงลั่วฉายแววความหนาวเหน็บ "ไปเอาธนูของข้ามา"จื๋อหยวนสะดุ้งตกใจ "คุณหนู ?""ไปหยิบมา"ก่อนหน้านี้ ตอนที่เป่ยตี๋โจมตีเมืองหลวง เพื่อเป็นการเฝ้าระวังเอาไว้ก่อน ธนูจึงถูกแขวนเอาไว้อยู่บนกำแพงห้องด้านนอกตลอดเวลาจื๋อหยวนทำได้เพียงแค่ไปหยิบเข้ามาซูชิงลั่วออกคำสั่งให้จื๋อหยวนเปิดประตู จุดไฟ ยกเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งหน้าประตู ในมือถือธนูและศรรอเอาไว้วินาทีที่เห็นลู่เหิงจือเดินเข้าประตูมา นางง้างคัน
ลู่เหิงจือเริ่มเบาใจขึ้นมาบ้าง จึงพูดต่อ "ข้าไม่ควรหย่ากับเจ้า แล้วก็ไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว ข้าควรพาเจ้าไปด้วยกัน"ซูชิงลั่วรออยู่เงียบๆทว่าหลังจากลู่เหิงจือพูดประโยคนี้จบ ก็ดูไม่มีท่าทีจะพูดสิ่งใดต่อความอ่อนโยนภายในแววตานางพลันหายไปในพริบตาอีกครั้ง"เพียงเท่านี้เองหรือ"สีหน้าของลู่เหิงจือแสดงให้เห็นถึงความสับสนมึนงงยังมีสิ่งใดที่เขาคิดไม่ถึงอีกซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ว่าไฟโกรธที่เพิ่งถูกกดเอาไว้เมื่อครู่นี้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง"เช่นนั้นที่ท่านบังคับให้ข้าหย่าโดยไม่บอกกล่าว พอกลับมาก็เพียงแค่พูดว่า ข้าผิดไปแล้ว ประโยคเดียว แล้วคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ"ลู่เหิงจือพูดเสียงเบา "ชิงลั่ว""ออกไป" ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตู ก่อนจะหลับตาลง "ท่านจงรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ยามนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน"นางลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินไปขึ้นเตียง ทว่ากลับถูกลู่เหิงจือไล่ตามไปแล้วคว้าข้อมือเอาไว้ลู่เหิงจือเริ่มเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นในใจความกระสับกระส่ายนี้ไม่ได้เป็นเพราะนาง เพียงแต่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้จึงเกิดเป็นความร้อนรนกระวนกระวายเ
ลู่เหิงจือชะงักงัน"่ไม่ใช่อย่างแน่นอน""เช่นนั้นท่านก็จงออกไป" ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตู "ท่านฟังให้ดี พวกเราหย่ากันแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ต้องการพบท่าน ที่นี่ก็ไม่ใช่เรือนอาศัยของท่านแล้ว ท่านจะเข้ามาตามอำเภอใจไม่ได้"ลู่เหิงจือลุกขึ้น ตอบนิ่งๆ "ไม่ได้"ซูชิงลั่ว "...?"ลู่เหิงจือเอ่ย "เจ้าโกรธได้ ข้าก็ปลอบได้ แต่ข้าย้ายออกไปไม่ได้"ซูชิงลั่ว : "พวกเราหย่ากันแล้ว หย่า ท่านไม่เข้าใจหรือ เหตุใดถึงย้ายออกไปไม่ได้"ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องนี้มาเสียดแทงข้า ตอนนั้นข้าบอกเจ้าชัดเจนแล้วว่า นี่เป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ ที่ใช้ตบตาผู้คนเท่านั้น"ซูชิงลั่วพยักหน้า "ได้ ถ้าหากเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ให้ข้าแต่งกับอวี๋ซื่อชิง เหตุใดจึงต้องรีบกลับมาก่อนที่พวกเราจะแต่งงานกัน นี่ก็เป็นเรื่องหลอกเช่นกันไม่ใช่หรือ"ลู่เหิงจือนิ่งเงียบอยู่นานเพราะเขาพบว่า เขาไม่สามารถให้คำอธิบายได้เลยทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อเกิดกับตัวเขา เขากลับรับไม่ได้ให้นางไปแต่งงานกับผู้อื่น ต่อให้เป็นแค่เรื่องหลอกๆ ก็ไม่ได้ซูชิงลั่วจ้องมองไปที่เขา "เหตุใดท่านไม่พูดสิ่
ลู่เหิงจือนอนหลับในห้องหนังสือทั้งชุดแบบนั้นไปทั้งคืนเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังมืดอยู่เขาแต่งกายด้วยชุดขุนนาง แล้วเมื่อออกไปก็ต้องเจอกับลมหนาวพัดใส่หน้าทันทีซ่งเหวินรีบนำเสื้อคลุมมาให้แล้วกระซิบว่า “วันนี้ลมแรงกว่าที่เซวียนเฉิงเสียอีกขอรับ”ลู่เหิงจือหันมองประตูห้องข้างๆ ซ่งเหวินก็เข้าใจทันทีว่า “ฮูหยินยังคงหลับอยู่ เมื่อคืนเพิ่งจะหลับไปหลังเที่ยงคืน”ลู่เหิงจือพยักหน้า แม้จะอยากเข้าไปดูนางสักนิด แต่ก็กลัวจะปลุกนางตื่น จึงตัดสินใจไปเข้าเฝ้าก่อนการทำงานของเขาในฐานะขุนนางใหญ่เป็นไปอย่างคล่องแคล่วมากขึ้นการจัดการขุนนางเก่า และการใช้ขุนนางใหม่ การให้ตบรางวัลแก่ผู้ที่มีความดีความชอบ ล้วนทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเลื่อมใสหลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ ขุนนางใหม่ที่ลู่เหิงจือเพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาหลายคนก็เข้ามาตีสนิท “ขอบคุณท่านอัครมหาอัครเสนาบดีที่เมตตา ข้าน้อยยังต้องเรียนรู้จากท่านอัครมหาเสนาบดีอีกมาก”ลู่เหิงจือแสดงสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจใครเลย แล้วเดินจากไปคนที่เอ่ยปากรู้สึกงุนงง หันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ทำไมใต้เท้าถึงดูอารมณ์เสียเช่นนี้”เพิ่งได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ เป็นถึงอัครมหาเส
ลู่เหิงจือขมวดคิ้วราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเซี่ยถิงอวี่เอ่ยว่า “ให้ข้าพูดนะ ที่ฮูหยินของเจ้าไม่ยอมให้อภัยเจ้า ก็มีเหตุผลของนาง”“เอาข้ากับชิงไต้เป็นตัวอย่างแล้วกัน - ช่วงแรกข้าก็ไม่มีเงินจะไปสู่ขอนางได้ ข้าจึงไม่ได้ถามความเห็นของนางใครจะไปคิดว่านางจะตัดสินใจกระโดดลงทะเลสาบเช่นนั้นหากข้าถามนางก่อนสักนิด คงมีวิธีอื่นที่จะได้แต่งงานกับนาง ไม่จำเป็นต้องบีบให้นางไปถึงขั้นนั้น”พูดจบ เขาก็ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วใบหน้าก็ปรากฏร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดขึ้นมา“ก็หลังจากนั้นแหละที่ข้าถึงเข้าใจว่า ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ข้าก็ต้องถามความเห็นของนางเสมอการตัดสินใจร่วมกัน จะทำให้ทั้งสองคนไม่เสียใจภายหลัง”ลู่เหิงจือชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ เข้าใจ “นางโกรธที่ข้าไม่ปรึกษานางใช่หรือไม่?”เซี่ยถิงอวี่ตอบว่า “ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว”ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว “แต่ข้าทำไปก็เพื่อนางนะ”เซี่ยถิงอวี่อุทาน “จุ” ออกมา “อะไรคือเพื่อนางรึ? คือการให้นางในสิ่งที่นางชอบ หรือให้ในสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีสำหรับนาง?”แสงสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างวงแหวนหยกบนนิ้วโป้งส่องประกายระยิบระยับลู่เหิงจือคิ
"ไม่ได้" ซูชิงลั่วปฏิเสธเสียงเรียบทันทีลู่เหิงจือนี่ช่างคำนวณได้รอบคอบเสียจริง นางแค่ขอร้องเขาเล็กน้อย เขาก็รีบขอกลับทันทีแล้วซ่งเหวินไม่ใช่ลูกน้องของเขาหรอกหรือเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางคนเดียวลู่เหิงจือรออยู่หน้าประตูจวนตระกูลซูตั้งแต่เข้าเฝ้าเสร็จ เห็นคำปฏิเสธว่า "ไม่ได้" แล้วอดที่จะเอามือไปขยี้ขมับไม่ได้ถือว่าคาดการณ์ไว้แล้วพอหันกลับไป ก็เจออวี๋ซื่อชิงพอดีอวี๋ซื่อชิงถือไก่สดสองตัวมาด้วย มองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม"โอ้ ใต้เท้าลู่ท่านยังเข้าไปไม่ได้อีกหรือ?อากาศเย็นขนาดนี้ จะให้คนไปเอาสุรามาสักกามาอบอุ่นร่างกายหน่อยหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ "ไม่จำเป็น"เขาเงยหน้ามองและเอ่ยเสียงเรียบว่า "ข้าอยู่เรือนข้างๆ หากท่านอวี๋ต้องการ ก็แวะมาได้"“……”“เกรงว่าจะไม่มีเวลาว่าง” อวี๋ซื่อชิงเอ่ยเสียงเบา “หลังจากเยี่ยมแม่แล้ว ข้าก็ต้องมาพบแมานางซู ถึงตอนนั้นให้ข้าออดอ้อนแม่นางซูแทนเจ้าหรือไม่?”ลู่เหิงจือ "......"นี่เป็นการโอ้อวดที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งเสียจริงๆอวี๋ซื่อชิงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”ลู่เหิงจือมองตามหลังเขา แล้วเรียกฉางชิงมาถามว
มือที่แข็งชาสัมผัสกับความอบอุ่นของเตาอุ่นมือ ความรู้สึกชาก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ดีขึ้นลู่เหิงจือมองตามหลังซูชิงลั่วไปพลาง ปล่อยให้ลมพัดผ่านเสื้อผ้าอย่างไม่ใส่ใจทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฤดูหนาวในเมืองหลวงก็ไม่หนาวเย็นอะไรนัก*ซูชิงลั่วรู้สึกเสียใจที่รับชุดคลุมของลู่เหิงจือมาในขณะที่เขายืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว นางรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันทีและรับชุดคลุมของเขาไปโดยไม่ทันคิดชุดคลุมในฤดูหนาวมักจะหนักอยู่แล้ว ยิ่งชุดคลุมของลู่เหิงจือซึ่งไม่รู้ว่าทำจากหนังอะไร จึงหนักเป็นพิเศษซูชิงลั่วเดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกหายใจไม่ทัน เพราะชุดคลุมสองผืนที่สวมอยู่ ทำให้เหงื่อแตกพล่านแต่ข้างนอกลมแรงมาก นางเองก็ไม่กล้าที่จะถอดชุดคลุมออก จึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อกลับถึงห้อง นางจึงถอดผ้าคลุมออก และรู้สึกตื่นเต้นในใจในค่ำคืนนี้ ลู่เหิงจือเปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมาอย่างตรงไปตรงมา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจให้นางฟังทำให้นางรู้สึกมีความสุขมากตั้งแต่เข้ามาในห้อง จื๋อหยวนก็ก้มศีรษะลงด้วยความหวั่นกลัว คิดว่าจะถูกตำหนิในทันทีอันที่จริงแล้ว นางก็ลังเลใจที่จะส่งข่าวให้ลู่เหิงจือแบบลับๆแต่เ
ลมหายใจอันเย็นเยือกของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม ซูชิงลั่วรู้สึกไม่สบายใจ จึงหันหน้าหนีภาพคุ้นเคยผุดขึ้นมาในสมองราวกับเย้อนกลับไปยังป่าไผ่เมื่อนานมาแล้ว เขาก็ทำแบบนี้กับนางเช่นกันป่าไผ่สั่นไหวด้วยเสียงลม ราวกับกับเสียงลมในยามนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นจริงซูชิงลั่วพยายามจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่เพราะฝ่ามือของเขาที่วางอยู่บนไหล่อย่างแผ่วเบา ทำให้นางลืมทุกอย่างไปชั่วขณะกิ่งไม้แห้งที่ถูกพายุพัดสั่นระรัวลู่เหิงจือสายตามองลงมา ราวกับจะเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องของนางเบาๆ แต่ก็อดทนไว้ซูชิงลั่วก้มลงมอง เห็นเท้าของเขาอยู่ภายในประตู นางสงสัยว่านี่เป็นแผนของเขาหรือไม่ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขามืดมิดราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนเขาออกแรงกดไหล่ของนางซูชิงลั่วรู้สึกอึดอัด จึงยกไหล่ขึ้นเบาๆ เขาก็ยอมปล่อยนางทันทีนางมองออกว่าลู่เหิงจือไม่อยากจากไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้ากลับไปเถิด กลับไปพักผ่อนเถิด”ซูชิงลั่วตอบ "อืม" เสียงเบาลู่เหิงจือเอ่ยต่อว่า “หากต้องการสิ่งใดเพิ่มก็ให้คนมาบอกข้าได้ ข้าอยู่เรือนข้างๆ”ซูชิงลั่วตอบรับอีกครั้ง พอตอบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นร
อวี้จู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “จื๋อหยวนน่าจะอยู่ที่ประตูใหญ่เจ้าค่ะ”ซูชิงลั่วถามว่า “นางไปทำอะไรที่ประตูใหญ่หรือ”อวี้จู๋ตอบว่า “ใต้เท้าเรียกนางไปซักถามหลายวันแล้ว”ถามเรื่องอะไร?หรือว่าสาวใช้ของนางจะกลายเป็นสายลับของเขาไปแล้ว?ซูชิงลั่วขมวดคิ้ว จับเตาอุ่นมือและคลุมด้วยชุดคลุม แล้วเดินออกไปข้างนอกยามค่ำคืนในเมืองหลวงฤดูหนาว ลมพัดโชยมาเฉียดแก้มราวกับมีดคมนางเดินเร็วตามทางเดินที่คดเคี้ยว เมื่อใกล้ถึงประตู นางหยุด แล้วเดินอย่างระมัดระวังจนแทบไม่มีเสียงนางอยากรู้ว่าลู่เหิงจือถามจื๋อหยวนเรื่องอะไรณ ประตูใหญ่ยังแขวนโคมไฟไว้สองดวงแสงไฟสีเหลืองอ่อนสาดส่องลงใบหน้าคมสันของลู่เหิงจือดวงตาของเขาเย็นชา ด้านหนึ่งของใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด เสียงของเขาก็เย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็งที่ลอยอยู่บนพื้นดิน“ฮูหยินวันนี้เจริญอาหารหรือไม่”จื๋อหยวนตอบ “ฮูหยินเจริญอาหารมากวันนี้ อาเจียนเพียงเล็กน้อยสองถึงสามหน อาจเป็นเพราะครรภ์แก่ จึงอาเจียนน้อยลงกว่าแต่ก่อน”ลู่เหิงจือพยักหน้า “ช่วงนี้กลางคืนหนาว นางชอบเตะผ้าห่ม เจ้าทั้งหลายดูแลนางให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”จื๋อหยวนก้ม
หลี่ว์เผิงเทียนใบหน้ามืดมนลงทันที ในใจด่าทอลู่เหิงจือไปหลายรอบ ก่อนจะออกไปอย่างไม่เต็มใจผลปรากฏว่าเมื่อเขาเดินออกไปถึงประตูท่ามกลางสายลมหนาว ลู่เหิงจือผู้อำมหิตก็จากไปแล้วเหลือเพียงฉางชิงที่พูดคุยกับเขาว่า “ใต้เท้าข้าบอกว่า หากท่านไม่ย้ายออกไปภายในสามวัน ตำแหน่งพ่อค้าหลวงจะตกเป็นของคนอื่นทันที”หลี่ว์เผิงเทียนด่าทออย่างรุนแรงว่า “ไอ้เจ้าเล่ห์ ใต้เท้าของเจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก”*วันรุ่งขึ้นในการเข้าเฝ้า เซี่ยถิงอวี่ได้กำหนดวันขึ้นครองราชย์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และมีพระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์แก่ขุนนางทั้งปวงขุนนางที่ตามเสด็จจักรพรรดิหลวง ส่วนใหญ่ถูกลดตำแหน่งลงสองขั้น แต่ไม่มีใครกล้าบ่น เพราะนั่นถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงแล้วขุนนางที่ติดตามเซี่ยถิงอวี่ต่างได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นอกจากลู่เหิงจือที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นไท่ซือแล้ว อวี๋ซื่อชิงได้รับพระราชทานมากที่สุดฮ่องเต้ไม่เพียงเลื่อนตำแหน่งงอวี๋ซื่อชิงขึ้นเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เท่านั้น แต่เมื่อทรงทราบว่าเรือนืั้พักของเขาถูกชาวเป่ยตี๋โจมตี ฮ่องเต้ก็ยังทรงพระราชทานที่อยู่อาศัยใหม่ให้แก่เขาอีกด้วยแต่ขุนนางจำน
ซูชิงลั่ว "......"จวนหลังใหญ่มาก แม้จะมีคนเข้ามาอยู่เพิ่มอีกสักสองสามคนก็ยังพอมีที่ว่างซูชิงลั่วแอบรู้สึกว่า ดูเหมือนทั้งสองคนจะมาขัดขวางลู่เหิงจือแต่เมื่อครุ่นคิดแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อเดินเข้ามาในห้อง ซูชิงลั่วถึงได้สังเกตเห็นว่าทหารในจวนหายไปหมดแล้วอวี้จู๋เอ่ยว่า “ใต้เท้าบอกว่าก่อนหน้านี้ส่งทหารมาเพื่อความปลอดภัยของคุณหนู แต่ยามนี้คิดดูแล้วคงไม่เหมาะสม จึงสั่งให้ถอนทหารออกไปทั้งหมด”ซูชิงลั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมากอันที่จริงแล้วนางไม่นึกว่าหลังจากกินอาหารเสร็จ ลู่เหิงจือจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อวี้จู๋เอ่ยต่อว่า “ใต้เท้าบอกว่า ท่านเก็บทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าจวน หากคุณหนูจะออกไปข้างนอก ก็ให้พวกเขาตามไปดูแล”หมายความว่า แม้จะยังมีทหารอยู่ แต่จะใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของซูชิงลั่วซูชิงลั่วโค้งมุมปากยิ้ม “เข้าใจแล้ว”นางมองไปยังห้องข้างๆ ผ่านหน้าต่าง “แล้วลู่เหิงจือล่ะอยู่ที่ใด”อวี้จู๋ตอบว่า “วันนี้ใต้เท้าไม่ได้เข้ามา”ซูชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น - เริ่มเชื่อฟังแล้วนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการอาหารใส่กระดาษแล้วส่งให้จื๋อหยวน “อาหารที่สั่งมาวันนี้อร่อย
หลังจากลู่เหิงจือได้ยินคำพูดของเซี่ยถิงอวี่พู เขาก็ออกจากวังกลับไปที่จวน แล้วสั่งให้ทหารที่เฝ้าอยู่รอบๆ จวนถอนกำลังหลังถอนกำลัง แม้จะรู้สึกร้อนใจ แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และลึกๆ แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเดิมทีเขาตั้งใจจะเดินเข้าไปโดยตรง แต่พอนึกถึงคำพูดของซูชิงลั่ว ก็ชะงักฝีเท้าเขาถามว่า "ฮูหยินล่ะ?"บ่าวรายงานว่า "ฮูหยินออกไปข้างนอกกับใต้เท้าอวี๋และเถ้าแก่หลี่ว์ขอรับ""ไปที่ใด?""บอกว่าไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยม"ลู่เหิงจือใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย สั่งให้คนออกตามหา แล้วตัวเขาเองก็เดินไปที่ย่านร้านค้าหลังจากเป่ยตี๋ถอยทัพกลับไป ย่านร้านค้าแห่งนี้เพิ่งเปิดเป็นวันแรก ผู้คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่านอากาศก็หนาวเย็น ทำให้ถนนทั้งสายดูเงียบเหงาเขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคยของจวนและท่าเสวี่ยม้าตัวโปรดของนางด้วยเขายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมซูชิงลั่วกำลังนั่งกินอาหารอยู่ข้างในกับชายอีกสองคนเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลยสักมื้อเขาไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในใจนี้อย่างไร หากเป็นในอดีต คงพุ่งเข้าไปนานแล้ว แต่คราวนี้กลับ
โชคดีที่ซูชิงลั่วออกมาช่วยได้ทันเวลานางทำเป็นไม่สนใจ “ถ้าเช่นนั้นลองชิมดูก็ได้”เถ้าแก่เหงื่อท่วมหน้า หลังจากรับรายการอาหารของลูกค้าทั้งสามเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะยาวหน้าร้าน แล้วบ่าวหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกเขาอย่างรีบร้อนว่า “ท่านเถ้าแก่ ท่านยังไม่รู้หรือว่า อัครมหาเสนาบดีลู่หย่าขาดกับฮูหยินลู่แล้ว”เถ้าแก่ “อะไรนะ?”“ก่อนหน้านี้ ฮูหยินลู่เกือบแต่งงานกับใต้เท้าอวี๋แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนป่าเถื่อนอย่างเป่ยตี๋บุกโจมตีเข้ามา พงเขาทั้งสองคนคงแต่งงานกันไปแล้ว”เถ้าแก่ตกใจอีกครั้ง “อะไรนะ?”“แต่ก็มีคนพูดกันว่า ใต้เท้าลู่ยังตัดใจจากฮูหยินลู่ไม่ได้ เมื่อวานส่งทหารไปล้อมจวนของฮูหยินลู่แล้ว” บ่าวหนุ่มชี้ไปยังทหารสองแถวที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าประตูเถ้าแก่ตกใจจนแทบจะหัวใจวาย “อะไรนะ?”หลังจากได้รับข่าวร้ายถึงสามหน เขาก็ไม่มีกำลังใจจะไปพูดคุยกับลูกค้าผู้ทรงเกียรติอีกแล้ว จึงสั่งให้บ่าวหนุ่มไปดูแลลูกค้าแทนซูชิงลั่วคีบตีนเป็ดตุ๋นใส่ปากอาหารมีรสเผ็ดเล็กน้อย ไม่ฉุนเกินไปกำลังดี ตีนเป็ดก็เนื้อนุ่มอันที่จริงแล้วขณะที่อวี๋ซื่อชิงชวนนางออกมา นางเพิ่งจะทะเลาะกับลู่เหิงจือพอดี จึงตั้งใจจะออกมาเพื่อ
เมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด นางก็รีบแก้ตัวทันทีว่า "คุณหนู ข้าหมายถึงคุณหนู"หลังจากที่ซ่งเหวินกลับมา เขาก็เรียกนางว่าฮูหยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางเองก็เผลอเรียกตามไปด้วยซูชิงลั่วถึงกับยิ้มอย่างเย็นชาและยามนั้น อวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามาจากประตูพอดีหลังจากปราบปรามเป่ยตี๋ได้แล้ว ในวังหลวงก็ยังมีเรื่องให้ต้องสะสางอีกจำนวนมาก เขายังไม่มีเวลาว่างที่จะไปรับมารดากลับ ได้แต่แวะเวียนมาเยี่ยมมารดาที่จวนเป็นครั้งคราว นึกไม่ถึงว่าวันนี้จวนจะถูกทหารปิดล้อมไม่แปลกใจเลยที่ลู่เหิงจือจะมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะเข้าเฝ้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับซูชิงลั่วแต่พอคิดถึงสีหน้าของลู่เหิงจือที่ดูอับอาย เขาอดรู้สึกสะใจไม่ได้เขาเหลือบมองซูชิงลั่ว เห็นได้ชัดว่านางก็ดูไม่ค่อยสบอารมณ์อวี๋ซื่อชิงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามเสียงเบาว่า "ใต้เท้าลู่ไม่ให้ท่านออกไปข้างนอกรึ?"ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า "ก็ไม่เชิง"อวี๋ซื่อชิงเลิกคิ้วขึ้น "ถ้าเช่นนั้นออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่ วันนี้ร้านค้าในตลาดตะวันออกเปิดใหม่พอดี และข้าก็ยังติดค้างบุญคุณท่านอยู่ อยากจะชวนท่านไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมสักมื้อ"ซูชิงลั่วมองอวี๋ซื่อชิงด้วยความสงส