น้ำเสียงของลู่เหิงจือแหบพร่าเพราะระหกระเหินไปหลายที่ "ชิงลั่ว ข้าเพิ่งจะกลับมา"ใบหน้าซูชิงลั่วไร้ความรู้สึก ยัดข้าวโพดปิ้งเข้าปากท่าเสวี่ย ไม่ได้สนใจเขาอีก จากนั้นก็กลับหลังหันเดินไปทางห้องของตนลู่เหิงจือตามนางไป"ชิงลั่ว พวกเราต้องคุยกัน""ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับท่าน"น้ำเสียงของซูชิงลั่วเฉยชา นางปิดประตูประตูถูกมือของลู่เหิงจือดันเอาไว้พละกำลังของซูชิงลั่วสู้เขาไม่ได้ แต่นางกำลังท้องอยู่ ลู่เหิงจือจึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ทั้งสองคนจึงค้างอยู่ในท่านี้ไม่รู้ว่าค้างอยู่นานเพียงใด ในที่สุดซูชิงลั่วก็ปล่อยมือ"มีเหตุอันใด ใต้เท้าลู่จะบีบบังคับข้าอีกแล้วหรือ"น้ำเสียงของนางหนาวเหน็บดุจเกร็ดน้ำค้างลู่เหิงจือ : "ชิงลั่ว เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน"ทันใดนั้นเอง ซ่งเหวินพลันเข้ามากะทันหัน เขามองสถานการณ์ตึงเครียดของพวกเขาทั้งคู่ปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา "ใต้เท้า ติ้งอ๋องเรียกท่านเข้าวังด่วน"ยามนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางลู่เหิงจือทำได้เพียงแค่ตอบไป "คืนนี้ข้าจะกลับมาอธิบายให้เจ้าฟัง"ซูชิงลั่วตอบเสียงแข็ง "ไม่ต้อง"ลู่เหิงจือยกมือขึ้นมาตั้งใจจะ
เขารีบออกไปเรียกพลทหารมากลุ่มหนึ่ง คอยเปิดทางแทนลู่เหิงจืออยู่ด้านหน้าแม้เด็กรับใช้จะได้รับคำสั่งให้ขวางลู่เหิงจือ แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้จะยังกล้าขวางอยู่ได้เช่นไร รีบเปิดทางให้ทันที*ซูชิงลั่วกำลังกินมื้อดึกอยู่ในห้องช่วงนี้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ กลางคืนต้องกินเพิ่มอีกมื้อจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงเป็นระเบียบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากด้านนอกประตู อดเงยหน้าขึ้นมาถามไม่ได้ "เกิดเหตุอันใดขึ้น"จื๋อหยวนออกไปถาม หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา "ใต้เท้ามาที่นี่"ซูชิงลั่วแค่นหัวเราะเย็นชา "อ่อ เช่นนั้นเขาพาทหารบุกเข้ามาหรอกหรือ"จื๋อหยวนไม่กล้าพูดสิ่งใดนัยน์ตาของซูชิงลั่วฉายแววความหนาวเหน็บ "ไปเอาธนูของข้ามา"จื๋อหยวนสะดุ้งตกใจ "คุณหนู ?""ไปหยิบมา"ก่อนหน้านี้ ตอนที่เป่ยตี๋โจมตีเมืองหลวง เพื่อเป็นการเฝ้าระวังเอาไว้ก่อน ธนูจึงถูกแขวนเอาไว้อยู่บนกำแพงห้องด้านนอกตลอดเวลาจื๋อหยวนทำได้เพียงแค่ไปหยิบเข้ามาซูชิงลั่วออกคำสั่งให้จื๋อหยวนเปิดประตู จุดไฟ ยกเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งหน้าประตู ในมือถือธนูและศรรอเอาไว้วินาทีที่เห็นลู่เหิงจือเดินเข้าประตูมา นางง้างคัน
ลู่เหิงจือเริ่มเบาใจขึ้นมาบ้าง จึงพูดต่อ "ข้าไม่ควรหย่ากับเจ้า แล้วก็ไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว ข้าควรพาเจ้าไปด้วยกัน"ซูชิงลั่วรออยู่เงียบๆทว่าหลังจากลู่เหิงจือพูดประโยคนี้จบ ก็ดูไม่มีท่าทีจะพูดสิ่งใดต่อความอ่อนโยนภายในแววตานางพลันหายไปในพริบตาอีกครั้ง"เพียงเท่านี้เองหรือ"สีหน้าของลู่เหิงจือแสดงให้เห็นถึงความสับสนมึนงงยังมีสิ่งใดที่เขาคิดไม่ถึงอีกซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ว่าไฟโกรธที่เพิ่งถูกกดเอาไว้เมื่อครู่นี้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง"เช่นนั้นที่ท่านบังคับให้ข้าหย่าโดยไม่บอกกล่าว พอกลับมาก็เพียงแค่พูดว่า ข้าผิดไปแล้ว ประโยคเดียว แล้วคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ"ลู่เหิงจือพูดเสียงเบา "ชิงลั่ว""ออกไป" ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตู ก่อนจะหลับตาลง "ท่านจงรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ยามนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน"นางลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินไปขึ้นเตียง ทว่ากลับถูกลู่เหิงจือไล่ตามไปแล้วคว้าข้อมือเอาไว้ลู่เหิงจือเริ่มเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นในใจความกระสับกระส่ายนี้ไม่ได้เป็นเพราะนาง เพียงแต่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้จึงเกิดเป็นความร้อนรนกระวนกระวายเ
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร
แม้ว่าลู่เหิงจือจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในตรอกปาเถียว ที่นั่นอยู่ใกล้กับราชสำนัแถมยังเงียบสงบ แต่ละเดือนเขาจะกลับมาพักที่บ้านตระกูลลู่ในวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะเขามีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกครั้งที่เขากลับมา บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตื่นตัวราวกับมีข้าศึกมาเยือนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฐานะของซูชิงลั่วในบ้านนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยซูชิงลั่วสั่งให้คนต้มน้ำร้อนมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแม้ว่าร่มกระดาษน้ำมันจะเป็นสีขาวที่ไม่โดดเด่น แต่นางก็ไม่กล้านำมันออกมาวางข้างนอก จึงให้จื๋อหยวนตากข้างในห้องแทนจากนั้นก็เก็บชุดคลุมกันลมไว้เองอย่างดี รอวันที่อากาศดีๆ แล้วค่อยแอบเอามาซักและตากแห้ง จากนั้นค่อยเอาไปคืนเขาพร้อมกับร่มแม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ของพวกนี้นางก็ไม่กล้าให้ใครเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจากคนที่มีใจอิจฉาวุ่นวายมาครึ่งวัน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ซูชิงลั่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว และไม่มีแรงจะคิดเสียใจเรื่องลู่เหยียนอีกแล้วแต่เนื่องจากตอนนี้ผ่านเวลามื้ออาหารไปแล้ว นางก
ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจการถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินเมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมาวันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้าเขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ""หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัวเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้นโชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดีเขาถือโคมแก้วด้วยมือข้
ซูชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็แน่นิ่งไปการที่อาการของท่านยายไม่ดีไม่เป็นความลับ หมอบอกว่าถ้าผ่านฤดูหนาวปีนี้ได้ก็จะมีเวลาอีกหนึ่งปี แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นปีนี้เมื่อนางหลิ่วเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่กล้า จึงรีบพูดต่อว่า "เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบในเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงขั้นต้องถอนหมั้นหรอก""นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ เกรงว่าแม้แต่ท่านยายของเจ้าก็คงจะบอกให้เจ้าอดทนนั่นแหละ""เจ้าลองคิดดูสิ ผู้หญิงที่ถอนหมั้นแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี ต่อไปยังจะแต่งงานกับใครดีๆ ได้อีก?""เหยียนเออร์รู้ตัวแล้วว่าผิด เอาอย่างนี้ไหม ก่อนถึงงานแต่งของพวกเจ้า ข้าจะไม่ให้เขาออกไปไหนอีก ให้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะหายโกรธได้ไหม?""เจ้าคิดดูนะ ท่านยายของเจ้าหวังอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานขนาดไหน..."นางหลิ่วถึงขั้นยกท่านยายขึ้นมาอ้างซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก รู้สึกว่าตัวเองถูกนางหลิ่วบีบบังคับสำเร็จ ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงต้องกลับไปคิดทบทวนให้รอบคอบถ้าไม่ถอนหมั้น นางกลัวว่าจะซ้ำรอยฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าถอนหมั้นจริงๆ ชื่อเสียงของนาง
ลู่เหิงจือเริ่มเบาใจขึ้นมาบ้าง จึงพูดต่อ "ข้าไม่ควรหย่ากับเจ้า แล้วก็ไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว ข้าควรพาเจ้าไปด้วยกัน"ซูชิงลั่วรออยู่เงียบๆทว่าหลังจากลู่เหิงจือพูดประโยคนี้จบ ก็ดูไม่มีท่าทีจะพูดสิ่งใดต่อความอ่อนโยนภายในแววตานางพลันหายไปในพริบตาอีกครั้ง"เพียงเท่านี้เองหรือ"สีหน้าของลู่เหิงจือแสดงให้เห็นถึงความสับสนมึนงงยังมีสิ่งใดที่เขาคิดไม่ถึงอีกซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ว่าไฟโกรธที่เพิ่งถูกกดเอาไว้เมื่อครู่นี้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง"เช่นนั้นที่ท่านบังคับให้ข้าหย่าโดยไม่บอกกล่าว พอกลับมาก็เพียงแค่พูดว่า ข้าผิดไปแล้ว ประโยคเดียว แล้วคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ"ลู่เหิงจือพูดเสียงเบา "ชิงลั่ว""ออกไป" ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตู ก่อนจะหลับตาลง "ท่านจงรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ยามนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน"นางลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินไปขึ้นเตียง ทว่ากลับถูกลู่เหิงจือไล่ตามไปแล้วคว้าข้อมือเอาไว้ลู่เหิงจือเริ่มเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นในใจความกระสับกระส่ายนี้ไม่ได้เป็นเพราะนาง เพียงแต่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้จึงเกิดเป็นความร้อนรนกระวนกระวายเ
เขารีบออกไปเรียกพลทหารมากลุ่มหนึ่ง คอยเปิดทางแทนลู่เหิงจืออยู่ด้านหน้าแม้เด็กรับใช้จะได้รับคำสั่งให้ขวางลู่เหิงจือ แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้จะยังกล้าขวางอยู่ได้เช่นไร รีบเปิดทางให้ทันที*ซูชิงลั่วกำลังกินมื้อดึกอยู่ในห้องช่วงนี้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ กลางคืนต้องกินเพิ่มอีกมื้อจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเพรียงเป็นระเบียบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากด้านนอกประตู อดเงยหน้าขึ้นมาถามไม่ได้ "เกิดเหตุอันใดขึ้น"จื๋อหยวนออกไปถาม หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา "ใต้เท้ามาที่นี่"ซูชิงลั่วแค่นหัวเราะเย็นชา "อ่อ เช่นนั้นเขาพาทหารบุกเข้ามาหรอกหรือ"จื๋อหยวนไม่กล้าพูดสิ่งใดนัยน์ตาของซูชิงลั่วฉายแววความหนาวเหน็บ "ไปเอาธนูของข้ามา"จื๋อหยวนสะดุ้งตกใจ "คุณหนู ?""ไปหยิบมา"ก่อนหน้านี้ ตอนที่เป่ยตี๋โจมตีเมืองหลวง เพื่อเป็นการเฝ้าระวังเอาไว้ก่อน ธนูจึงถูกแขวนเอาไว้อยู่บนกำแพงห้องด้านนอกตลอดเวลาจื๋อหยวนทำได้เพียงแค่ไปหยิบเข้ามาซูชิงลั่วออกคำสั่งให้จื๋อหยวนเปิดประตู จุดไฟ ยกเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งหน้าประตู ในมือถือธนูและศรรอเอาไว้วินาทีที่เห็นลู่เหิงจือเดินเข้าประตูมา นางง้างคัน
น้ำเสียงของลู่เหิงจือแหบพร่าเพราะระหกระเหินไปหลายที่ "ชิงลั่ว ข้าเพิ่งจะกลับมา"ใบหน้าซูชิงลั่วไร้ความรู้สึก ยัดข้าวโพดปิ้งเข้าปากท่าเสวี่ย ไม่ได้สนใจเขาอีก จากนั้นก็กลับหลังหันเดินไปทางห้องของตนลู่เหิงจือตามนางไป"ชิงลั่ว พวกเราต้องคุยกัน""ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับท่าน"น้ำเสียงของซูชิงลั่วเฉยชา นางปิดประตูประตูถูกมือของลู่เหิงจือดันเอาไว้พละกำลังของซูชิงลั่วสู้เขาไม่ได้ แต่นางกำลังท้องอยู่ ลู่เหิงจือจึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ทั้งสองคนจึงค้างอยู่ในท่านี้ไม่รู้ว่าค้างอยู่นานเพียงใด ในที่สุดซูชิงลั่วก็ปล่อยมือ"มีเหตุอันใด ใต้เท้าลู่จะบีบบังคับข้าอีกแล้วหรือ"น้ำเสียงของนางหนาวเหน็บดุจเกร็ดน้ำค้างลู่เหิงจือ : "ชิงลั่ว เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน"ทันใดนั้นเอง ซ่งเหวินพลันเข้ามากะทันหัน เขามองสถานการณ์ตึงเครียดของพวกเขาทั้งคู่ปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา "ใต้เท้า ติ้งอ๋องเรียกท่านเข้าวังด่วน"ยามนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางลู่เหิงจือทำได้เพียงแค่ตอบไป "คืนนี้ข้าจะกลับมาอธิบายให้เจ้าฟัง"ซูชิงลั่วตอบเสียงแข็ง "ไม่ต้อง"ลู่เหิงจือยกมือขึ้นมาตั้งใจจะ
ซูชิงลั่วผลักประตูเดินออกไปฟ้าเพิ่งจะสว่างเหล่าเด็กรับใช้และสาวใช้อดตาหลับขับตานอนมาสองวันสองคืน ซูชิงลั่วจึงอนุญาตให้พวกเขาได้อู้งานสักวันสองวัน ดังนั้น ในยามนี้บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนแต่กำลังหลับใหลมีเพียงแค่แม่นมเหมยที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่ในครัวกับคนครัวอีกสองสามคนแม่นมเหมยเห็นซูชิงลั่วเดินเข้ามาก็รีบพูดกับนาง "ข้ากำลังจะยกกับข้าวไปให้คุณหนูอยู่เลย"ซูชิงลั่วอมยิ้มพลางพยักหน้า "กำลังหิวพอดี"หลังจากที่นางท้อง นับวันก็ยิ่งหิวง่ายขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะเด็กในท้องเริ่มมีความอยากอาหารมากขึ้นก็เป็นได้นางกลัวว่าจะรบกวนลู่เหิงจือ จึงไปกินอาหารเช้าที่ห้องรับรองแขกแทนหลังจากที่นางกินบะหมี่ไก่เส้นไปครึ่งถ้วย กระดูกหมูสองชิ้น ปลาหนึ่งตัว แอปเปิ้ลอีกครึ่งลูกไปแล้ว ถึงจะรู้สึกอิ่มท้องกินเสร็จก็เดินออกไปด้านนอก สภาพในสวนเละเทะ ยังไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดด้านนอกเงียบสงบกว่าปกติหลังจากผ่านเสียงตะโกนรบราฆ่าฟันกันมาสามวัน ความเงียบสงบในเวลานี้กลับรู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนักนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่คอกม้าท่าเสวี่ยเพิ่งตื่น ทันทีที่เห็นนางก็รีบเอาหัวไซ้แขนเสื้อนางด้วยค
ป้ายหน้าประตูถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "จวนตระกูลซู"ตัวอักษรดูชัดเจนมีพลัง แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าซูชิงลั่วเขียนเองกับมือภายในใจของลู่เหิงจือเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เขาลงจากม้า แล้วสั่งให้คนจูงท่าเสวี่ยไฟพัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าประตูไปแม้ในจวนจะเก็บกวาดคร่าวๆ ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้ให้เห็นหลุมกับดักขนาดใหญ่ในสวนยังถมไม่เรียบ ดินบริเวณรอบๆ ยังคงเห็นคราบเลือดสีเข้มติดอยู่เหล่าเด็กรับใช้คงจะเหนื่อยกันหมด หน้าประตูมีเพียงแค่เวรยามคนเดียวคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพตามสัญชาตญาณลู่เหิงจือโบกมือ บอกให้เขานอนต่อเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นเองเวรยามก็พลันนึกขึ้นมาได้...ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนายหญิงจะสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใต้เท้าเข้ามาในจวนแต่เขาง่วงมากจริงๆ แล้วเขาก็ไม่มีทางขวางลู่เหิงจือได้ จึงหลับต่อไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหิงจือตรงดิ่งเข้าไปถึงห้องของซูชิงลั่วได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางอวี้จู๋กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านนอก เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นไปบอกเขาเบาๆ ด้วยความร้อนรน : "ใต้เท้า คุณหนูไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา"ลู่เหิงจือ
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเขาเพิ่งกำจัดเป่ยตี๋ได้ เกียรติยศความน่าเกรงขำกำลังพุ่งถึงขีดสุดเหล่านายทหารโดยรอบต่างก็พากันตกตะลึงหลังจากได้ยินแม้จะอยู่ภายใต้การนำทัพของติ้งอ๋องในช่วงหลายวันนี้ ทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่น้อย แต่จะให้ทำการกบฎเลยก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยนายทหารรอบกายลู่เหิงจือได้รับคำสั่งลับมาก่อนหน้าแล้ว เวลานี้ต่างก็คุกเข่าลงไปตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรก ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด "ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"นายทหารประจำเมืองหลวงหันมามองหน้ากันทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแก่หง่อมดังขึ้นกะทันหัน "กระหม่อมขอคาราวะฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี"กลุ่มคนมองตามสายตาไป กลับเห็นเป็นซิ่นกั๋วกงซิ่นกั๋วกงเคยทำสงครามสู้รบกับพวกเป่ยตี๋เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาหวังเพียงแค่จะทำลายเป่ยตี๋ให้สิ้นซากครั้งนี้ที่เป่ยตี๋บุกโจมตีเมืองหลวง แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ออกมาต้านศัตรูที่กำแพงเมืองด้วยตัวเอง ฆ่าพวกเป่ยตี๋ไปได้สิบกว่าคน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าชาวบ้านยิ่งนักยามนี้ทั่วทั้งตัวของเขาอาบไปด้วยเลือด กำลังถูกเมิ่งชิงไต้ประครองระหว่างที่เขาคุกเข่าลงตร
ธงแห่งราชวงศ์ฉู่โบกสะบัดอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงป่าวร้องดังลั่น"ใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว !""กองกำลังเสริมมาถึงแล้ว"เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีที่เดิมก็ดังสนั่นอยู่แล้ว ราวกับจะดังทะลุชั้นเมฆเสียให้ได้ทอดมองออกไปจากหอสังเกตการณ์ กองทัพทหารที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเป็นก้อนสีดำเข้มกำลังบุกเข้ามาในสนามรบสถานการณ์การรบพลันพลิกผันในพริบตายังคิดอยู่เลยว่าถึงอย่างไรกว่าลู่เหิงจือจะมาได้ก็คงต้องรอจนถึงช่วงกลางคืน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเดินทางกันมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเหล่าหทารที่อยู่บนกำแพงพลันมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันทีเซี่ยถิงอวี่เปล่งเสียงสุดแรง "ใครก็ได้ ตามข้าออกไปรบ ใช้เลือดล้างความอับปยศให้เมืองเรา"ช่วงหลายวันนี้ ทุกคนต่างก็ถูกล้อมอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าออกไป ยามนี้โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว จึงรีบบุกออกไปด้วยความฮึกเหิมทันทีที่เขาออกไป เมิ่งชิงไต้เขามาแทนตำแหน่งเดิมของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่ที่เขาทำแต่เดิมต่อไป : "พวกเจ้ายิงต่อไป อย่าหยุด พวกเจ้าที่เหลือไปขนธนูและลูกศรขึ้นมาอีก"นางพูดจบก็รีบหันไปง้างคันธนูในมือทั
ซูชิงลั่วเดินก้มตัวไปตลอดทางไปหอสังเกตการณ์ ข้างหูได้ยินเสียงธนูลอยผ่านไปอยู่เป็นระยะแม้ท้องของนางจะเริ่มนูนออกมาแล้ว แต่ภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งที่ปกคลุมอยู่ทำให้คนนอกแทบจะมองไม่ออกมีเพียงแค่ตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าการเดินโค้งตัวเช่นนี้อันตรายเพียงใดนางเผลอลูบท้องของตัวเอง พลางพูดในใจ ลูกน้อย ลำบากเจ้าแล้ว อดทนอีกหน่อยนะนายทหารผู้นั้นคล่องแคล่วว่องไว วิ่งไปด้วยความรวดเร็วซูชิงลั่วก็รีบตามไปติดๆ กระทั่งไปถึงจุดทางเข้ากำแพงเมืองได้อย่างปลอดภัย แล้วเริ่มปีนบันไดกำแพงเมืองขึ้นไปบันไดทั้งสูงทั้งชัน นางสะพายธนูไว้ด้านหลัง ทำให้ต้องผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ค่อยๆ ปีนขึ้นไปด้านบนทีละก้าวได้อย่างมั่นคงทัศนวิสัยตรงนี้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซูชิงลั่วเพียงมองไปแวบเดียวก็เจอชายหนุ่มสวมหมวกหนาที่ถูกทหารหลายนายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางใต้ธงรบเป่ยตี๋นางรวบรวมสมาธิ หยิบลูกศรขึ้นมา ดึงสายธนูจนสุด "ฝึบ" เสียงลูกศรถูกยิงออกไปศรลูกนั้นพุ่งตรงไปยังข่าน เฉียดแก้มเขาไปใบหน้าของข่านพลันมีเลือดสีแดงสดไหลลงมาทหารคุ้มกันรอบทิศรีบเอ่ย : "คุ้มกันข่าน"ไม่นานนักก็มีศรอีกลูกยิงเข้ามา ศรป
เซี่ยถิงอวี่เห็นซูชิงลั่วและเมิ่งชิงไต้ก็พูดเสียงขรึม "พวกเจ้าขึ้นมาทำอันใดบนกำแพงเมือง การสู้รบไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น รีบลงไป !""อย่ามากความ" ซูชิงลั่วหยิบคันธนูขึ้นมาง้างออก แล้วยิงไปยังด้านล่างกำแพงทหารเป่ยตี๋ผู้หนึ่งล้มลงไปกับพื้นในทันที“……”นับว่าคล่องแคล่วอยู่ไม่น้อยเซี่ยถิงอวี่เกือบลืมไปแล้วว่าฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วนั้นดีพอสมควร เมิ่งชิงไต้ก็เช่นกันเมิ่งชิงไต้มองเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "วางใจเถอะ พวกข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านอย่างแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่มองซ้ายขวาแวบหนึ่ง พวกนางยังพาบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนมากันหมดสาวใช้ที่คอยติดตามซูชิงลั่วอยู่ตลอดผู้นั้นสายตาเยือกเย็น กำลังยิงธนูลงไปด้านล่างเช่นกันพวกเป่ยตี๋กำลังเตรียมจะใช้บันไดปีนขึ้นมาโจมตี สาวใช้ผู้นั้นยิงธนูออกไปไม่กี่ดอก ทหารเป่ยตี๋สองนายก็กลิ้งลงไปด้านล่างทันทีเซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปพูดกับทหารหน่วยหนึ่ง "พวกเจ้าปกป้องพระชายาและแม่นางซูให้ดี หากมีอันตรายจะต้องพาพวกนางออกไปก่อนทันทีผู้ที่เป็นหัวหน้าขานรับเซี่ยถิงอวี่หันไปมองเมิ่งชิงไต้อีกปราดหนึ่ง ไม่ได้มีความอาลัยใดๆ เพียงแค่หันหล