Share

บทที่ 415

Author: หอมดังเดิม
ลู่เหิงจือชะงักงัน

"่ไม่ใช่อย่างแน่นอน"

"เช่นนั้นท่านก็จงออกไป" ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตู "ท่านฟังให้ดี พวกเราหย่ากันแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ต้องการพบท่าน ที่นี่ก็ไม่ใช่เรือนอาศัยของท่านแล้ว ท่านจะเข้ามาตามอำเภอใจไม่ได้"

ลู่เหิงจือลุกขึ้น ตอบนิ่งๆ "ไม่ได้"

ซูชิงลั่ว "...?"

ลู่เหิงจือเอ่ย "เจ้าโกรธได้ ข้าก็ปลอบได้ แต่ข้าย้ายออกไปไม่ได้"

ซูชิงลั่ว : "พวกเราหย่ากันแล้ว หย่า ท่านไม่เข้าใจหรือ เหตุใดถึงย้ายออกไปไม่ได้"

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องนี้มาเสียดแทงข้า ตอนนั้นข้าบอกเจ้าชัดเจนแล้วว่า นี่เป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ ที่ใช้ตบตาผู้คนเท่านั้น"

ซูชิงลั่วพยักหน้า "ได้ ถ้าหากเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ให้ข้าแต่งกับอวี๋ซื่อชิง เหตุใดจึงต้องรีบกลับมาก่อนที่พวกเราจะแต่งงานกัน นี่ก็เป็นเรื่องหลอกเช่นกันไม่ใช่หรือ"

ลู่เหิงจือนิ่งเงียบอยู่นาน

เพราะเขาพบว่า เขาไม่สามารถให้คำอธิบายได้เลย

ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อเกิดกับตัวเขา เขากลับรับไม่ได้

ให้นางไปแต่งงานกับผู้อื่น ต่อให้เป็นแค่เรื่องหลอกๆ ก็ไม่ได้

ซูชิงลั่วจ้องมองไปที่เขา "เหตุใดท่านไม่พูดสิ่
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 416

    ลู่เหิงจือนอนหลับในห้องหนังสือทั้งชุดแบบนั้นไปทั้งคืนเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังมืดอยู่เขาแต่งกายด้วยชุดขุนนาง แล้วเมื่อออกไปก็ต้องเจอกับลมหนาวพัดใส่หน้าทันทีซ่งเหวินรีบนำเสื้อคลุมมาให้แล้วกระซิบว่า “วันนี้ลมแรงกว่าที่เซวียนเฉิงเสียอีกขอรับ”ลู่เหิงจือหันมองประตูห้องข้างๆ ซ่งเหวินก็เข้าใจทันทีว่า “ฮูหยินยังคงหลับอยู่ เมื่อคืนเพิ่งจะหลับไปหลังเที่ยงคืน”ลู่เหิงจือพยักหน้า แม้จะอยากเข้าไปดูนางสักนิด แต่ก็กลัวจะปลุกนางตื่น จึงตัดสินใจไปเข้าเฝ้าก่อนการทำงานของเขาในฐานะขุนนางใหญ่เป็นไปอย่างคล่องแคล่วมากขึ้นการจัดการขุนนางเก่า และการใช้ขุนนางใหม่ การให้ตบรางวัลแก่ผู้ที่มีความดีความชอบ ล้วนทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเลื่อมใสหลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ ขุนนางใหม่ที่ลู่เหิงจือเพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาหลายคนก็เข้ามาตีสนิท “ขอบคุณท่านอัครมหาอัครเสนาบดีที่เมตตา ข้าน้อยยังต้องเรียนรู้จากท่านอัครมหาเสนาบดีอีกมาก”ลู่เหิงจือแสดงสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจใครเลย แล้วเดินจากไปคนที่เอ่ยปากรู้สึกงุนงง หันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ทำไมใต้เท้าถึงดูอารมณ์เสียเช่นนี้”เพิ่งได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ เป็นถึงอัครมหาเส

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 417

    ลู่เหิงจือขมวดคิ้วราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเซี่ยถิงอวี่เอ่ยว่า “ให้ข้าพูดนะ ที่ฮูหยินของเจ้าไม่ยอมให้อภัยเจ้า ก็มีเหตุผลของนาง”“เอาข้ากับชิงไต้เป็นตัวอย่างแล้วกัน - ช่วงแรกข้าก็ไม่มีเงินจะไปสู่ขอนางได้ ข้าจึงไม่ได้ถามความเห็นของนางใครจะไปคิดว่านางจะตัดสินใจกระโดดลงทะเลสาบเช่นนั้นหากข้าถามนางก่อนสักนิด คงมีวิธีอื่นที่จะได้แต่งงานกับนาง ไม่จำเป็นต้องบีบให้นางไปถึงขั้นนั้น”พูดจบ เขาก็ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วใบหน้าก็ปรากฏร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดขึ้นมา“ก็หลังจากนั้นแหละที่ข้าถึงเข้าใจว่า ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ข้าก็ต้องถามความเห็นของนางเสมอการตัดสินใจร่วมกัน จะทำให้ทั้งสองคนไม่เสียใจภายหลัง”ลู่เหิงจือชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ เข้าใจ “นางโกรธที่ข้าไม่ปรึกษานางใช่หรือไม่?”เซี่ยถิงอวี่ตอบว่า “ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว”ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว “แต่ข้าทำไปก็เพื่อนางนะ”เซี่ยถิงอวี่อุทาน “จุ” ออกมา “อะไรคือเพื่อนางรึ? คือการให้นางในสิ่งที่นางชอบ หรือให้ในสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีสำหรับนาง?”แสงสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างวงแหวนหยกบนนิ้วโป้งส่องประกายระยิบระยับลู่เหิงจือคิ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 418

    เมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด นางก็รีบแก้ตัวทันทีว่า "คุณหนู ข้าหมายถึงคุณหนู"หลังจากที่ซ่งเหวินกลับมา เขาก็เรียกนางว่าฮูหยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางเองก็เผลอเรียกตามไปด้วยซูชิงลั่วถึงกับยิ้มอย่างเย็นชาและยามนั้น อวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามาจากประตูพอดีหลังจากปราบปรามเป่ยตี๋ได้แล้ว ในวังหลวงก็ยังมีเรื่องให้ต้องสะสางอีกจำนวนมาก เขายังไม่มีเวลาว่างที่จะไปรับมารดากลับ ได้แต่แวะเวียนมาเยี่ยมมารดาที่จวนเป็นครั้งคราว นึกไม่ถึงว่าวันนี้จวนจะถูกทหารปิดล้อมไม่แปลกใจเลยที่ลู่เหิงจือจะมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะเข้าเฝ้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับซูชิงลั่วแต่พอคิดถึงสีหน้าของลู่เหิงจือที่ดูอับอาย เขาอดรู้สึกสะใจไม่ได้เขาเหลือบมองซูชิงลั่ว เห็นได้ชัดว่านางก็ดูไม่ค่อยสบอารมณ์อวี๋ซื่อชิงเดินเข้าไปใกล้แล้วถามเสียงเบาว่า "ใต้เท้าลู่ไม่ให้ท่านออกไปข้างนอกรึ?"ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า "ก็ไม่เชิง"อวี๋ซื่อชิงเลิกคิ้วขึ้น "ถ้าเช่นนั้นออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่ วันนี้ร้านค้าในตลาดตะวันออกเปิดใหม่พอดี และข้าก็ยังติดค้างบุญคุณท่านอยู่ อยากจะชวนท่านไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมสักมื้อ"ซูชิงลั่วมองอวี๋ซื่อชิงด้วยความสงส

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 419

    โชคดีที่ซูชิงลั่วออกมาช่วยได้ทันเวลานางทำเป็นไม่สนใจ “ถ้าเช่นนั้นลองชิมดูก็ได้”เถ้าแก่เหงื่อท่วมหน้า หลังจากรับรายการอาหารของลูกค้าทั้งสามเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะยาวหน้าร้าน แล้วบ่าวหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกเขาอย่างรีบร้อนว่า “ท่านเถ้าแก่ ท่านยังไม่รู้หรือว่า อัครมหาเสนาบดีลู่หย่าขาดกับฮูหยินลู่แล้ว”เถ้าแก่ “อะไรนะ?”“ก่อนหน้านี้ ฮูหยินลู่เกือบแต่งงานกับใต้เท้าอวี๋แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนป่าเถื่อนอย่างเป่ยตี๋บุกโจมตีเข้ามา พงเขาทั้งสองคนคงแต่งงานกันไปแล้ว”เถ้าแก่ตกใจอีกครั้ง “อะไรนะ?”“แต่ก็มีคนพูดกันว่า ใต้เท้าลู่ยังตัดใจจากฮูหยินลู่ไม่ได้ เมื่อวานส่งทหารไปล้อมจวนของฮูหยินลู่แล้ว” บ่าวหนุ่มชี้ไปยังทหารสองแถวที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าประตูเถ้าแก่ตกใจจนแทบจะหัวใจวาย “อะไรนะ?”หลังจากได้รับข่าวร้ายถึงสามหน เขาก็ไม่มีกำลังใจจะไปพูดคุยกับลูกค้าผู้ทรงเกียรติอีกแล้ว จึงสั่งให้บ่าวหนุ่มไปดูแลลูกค้าแทนซูชิงลั่วคีบตีนเป็ดตุ๋นใส่ปากอาหารมีรสเผ็ดเล็กน้อย ไม่ฉุนเกินไปกำลังดี ตีนเป็ดก็เนื้อนุ่มอันที่จริงแล้วขณะที่อวี๋ซื่อชิงชวนนางออกมา นางเพิ่งจะทะเลาะกับลู่เหิงจือพอดี จึงตั้งใจจะออกมาเพื่อ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 420

    หลังจากลู่เหิงจือได้ยินคำพูดของเซี่ยถิงอวี่พู เขาก็ออกจากวังกลับไปที่จวน แล้วสั่งให้ทหารที่เฝ้าอยู่รอบๆ จวนถอนกำลังหลังถอนกำลัง แม้จะรู้สึกร้อนใจ แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และลึกๆ แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเดิมทีเขาตั้งใจจะเดินเข้าไปโดยตรง แต่พอนึกถึงคำพูดของซูชิงลั่ว ก็ชะงักฝีเท้าเขาถามว่า "ฮูหยินล่ะ?"บ่าวรายงานว่า "ฮูหยินออกไปข้างนอกกับใต้เท้าอวี๋และเถ้าแก่หลี่ว์ขอรับ""ไปที่ใด?""บอกว่าไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยม"ลู่เหิงจือใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย สั่งให้คนออกตามหา แล้วตัวเขาเองก็เดินไปที่ย่านร้านค้าหลังจากเป่ยตี๋ถอยทัพกลับไป ย่านร้านค้าแห่งนี้เพิ่งเปิดเป็นวันแรก ผู้คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่านอากาศก็หนาวเย็น ทำให้ถนนทั้งสายดูเงียบเหงาเขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคยของจวนและท่าเสวี่ยม้าตัวโปรดของนางด้วยเขายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมซูชิงลั่วกำลังนั่งกินอาหารอยู่ข้างในกับชายอีกสองคนเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลยสักมื้อเขาไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในใจนี้อย่างไร หากเป็นในอดีต คงพุ่งเข้าไปนานแล้ว แต่คราวนี้กลับ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 421

    ซูชิงลั่ว "......"จวนหลังใหญ่มาก แม้จะมีคนเข้ามาอยู่เพิ่มอีกสักสองสามคนก็ยังพอมีที่ว่างซูชิงลั่วแอบรู้สึกว่า ดูเหมือนทั้งสองคนจะมาขัดขวางลู่เหิงจือแต่เมื่อครุ่นคิดแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อเดินเข้ามาในห้อง ซูชิงลั่วถึงได้สังเกตเห็นว่าทหารในจวนหายไปหมดแล้วอวี้จู๋เอ่ยว่า “ใต้เท้าบอกว่าก่อนหน้านี้ส่งทหารมาเพื่อความปลอดภัยของคุณหนู แต่ยามนี้คิดดูแล้วคงไม่เหมาะสม จึงสั่งให้ถอนทหารออกไปทั้งหมด”ซูชิงลั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมากอันที่จริงแล้วนางไม่นึกว่าหลังจากกินอาหารเสร็จ ลู่เหิงจือจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อวี้จู๋เอ่ยต่อว่า “ใต้เท้าบอกว่า ท่านเก็บทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าจวน หากคุณหนูจะออกไปข้างนอก ก็ให้พวกเขาตามไปดูแล”หมายความว่า แม้จะยังมีทหารอยู่ แต่จะใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของซูชิงลั่วซูชิงลั่วโค้งมุมปากยิ้ม “เข้าใจแล้ว”นางมองไปยังห้องข้างๆ ผ่านหน้าต่าง “แล้วลู่เหิงจือล่ะอยู่ที่ใด”อวี้จู๋ตอบว่า “วันนี้ใต้เท้าไม่ได้เข้ามา”ซูชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น - เริ่มเชื่อฟังแล้วนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการอาหารใส่กระดาษแล้วส่งให้จื๋อหยวน “อาหารที่สั่งมาวันนี้อร่อย

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 422

    หลี่ว์เผิงเทียนใบหน้ามืดมนลงทันที ในใจด่าทอลู่เหิงจือไปหลายรอบ ก่อนจะออกไปอย่างไม่เต็มใจผลปรากฏว่าเมื่อเขาเดินออกไปถึงประตูท่ามกลางสายลมหนาว ลู่เหิงจือผู้อำมหิตก็จากไปแล้วเหลือเพียงฉางชิงที่พูดคุยกับเขาว่า “ใต้เท้าข้าบอกว่า หากท่านไม่ย้ายออกไปภายในสามวัน ตำแหน่งพ่อค้าหลวงจะตกเป็นของคนอื่นทันที”หลี่ว์เผิงเทียนด่าทออย่างรุนแรงว่า “ไอ้เจ้าเล่ห์ ใต้เท้าของเจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก”*วันรุ่งขึ้นในการเข้าเฝ้า เซี่ยถิงอวี่ได้กำหนดวันขึ้นครองราชย์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และมีพระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์แก่ขุนนางทั้งปวงขุนนางที่ตามเสด็จจักรพรรดิหลวง ส่วนใหญ่ถูกลดตำแหน่งลงสองขั้น แต่ไม่มีใครกล้าบ่น เพราะนั่นถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงแล้วขุนนางที่ติดตามเซี่ยถิงอวี่ต่างได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นอกจากลู่เหิงจือที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นไท่ซือแล้ว อวี๋ซื่อชิงได้รับพระราชทานมากที่สุดฮ่องเต้ไม่เพียงเลื่อนตำแหน่งงอวี๋ซื่อชิงขึ้นเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เท่านั้น แต่เมื่อทรงทราบว่าเรือนืั้พักของเขาถูกชาวเป่ยตี๋โจมตี ฮ่องเต้ก็ยังทรงพระราชทานที่อยู่อาศัยใหม่ให้แก่เขาอีกด้วยแต่ขุนนางจำน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 423

    อวี้จู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “จื๋อหยวนน่าจะอยู่ที่ประตูใหญ่เจ้าค่ะ”ซูชิงลั่วถามว่า “นางไปทำอะไรที่ประตูใหญ่หรือ”อวี้จู๋ตอบว่า “ใต้เท้าเรียกนางไปซักถามหลายวันแล้ว”ถามเรื่องอะไร?หรือว่าสาวใช้ของนางจะกลายเป็นสายลับของเขาไปแล้ว?ซูชิงลั่วขมวดคิ้ว จับเตาอุ่นมือและคลุมด้วยชุดคลุม แล้วเดินออกไปข้างนอกยามค่ำคืนในเมืองหลวงฤดูหนาว ลมพัดโชยมาเฉียดแก้มราวกับมีดคมนางเดินเร็วตามทางเดินที่คดเคี้ยว เมื่อใกล้ถึงประตู นางหยุด แล้วเดินอย่างระมัดระวังจนแทบไม่มีเสียงนางอยากรู้ว่าลู่เหิงจือถามจื๋อหยวนเรื่องอะไรณ ประตูใหญ่ยังแขวนโคมไฟไว้สองดวงแสงไฟสีเหลืองอ่อนสาดส่องลงใบหน้าคมสันของลู่เหิงจือดวงตาของเขาเย็นชา ด้านหนึ่งของใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด เสียงของเขาก็เย็นเฉียบราวกับน้ำค้างแข็งที่ลอยอยู่บนพื้นดิน“ฮูหยินวันนี้เจริญอาหารหรือไม่”จื๋อหยวนตอบ “ฮูหยินเจริญอาหารมากวันนี้ อาเจียนเพียงเล็กน้อยสองถึงสามหน อาจเป็นเพราะครรภ์แก่ จึงอาเจียนน้อยลงกว่าแต่ก่อน”ลู่เหิงจือพยักหน้า “ช่วงนี้กลางคืนหนาว นางชอบเตะผ้าห่ม เจ้าทั้งหลายดูแลนางให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”จื๋อหยวนก้ม

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status