สตรีนางนั้นกล่าวเสียงเย็นเยียบ : "ยิงธนู..."เสียงของนางกลับไพเราะถึงเพียงนี้หนู่ฮาเห็นลูกศรสิบกว่าดอกที่อยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่นั้นล้วนแต่ติดไฟทั้งสิ้นคือลูกศรไฟ เขาลูบใบหน้าตัวเองจึงได้รู้สึกตัวว่าของเหลวที่รดร่างเมื่อครู่คือน้ำมัน !เขาพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาทันทีเขาอยากจะรีบปีนขึ้นมา ทว่าลูกศรไฟพุ่งมาจากกลางอากาศ ตกลงบนร่างเขาดัง "ฉึก" ไฟลุกโชนไปทั่วทั้งหลุม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนเหล่าทหารเป่ยตี๋ด้านหลังที่ยังไม่ตกลงไปในหลุมเห็นเข้าก็ตกใจจนรีบหนีไป ทว่าหลังจากนั้นก็มีลูกศรพุ่งมาจากด้านหลังพวกเขาแค่หนีออกไปถึงหน้าประตูก็น่าจะได้แล้วกระมัง"ถอยถอยถอย !"ปรากฏว่าทันทีที่ไปถึงหน้าประตู โคมแดงหน้าประตูพลันสว่างสไวไปทั้งตรอกเส้นทางที่เดินผ่านล้วนแต่มีน้ำเดือดๆ สาดออกมาจากกำแพงสูงเหล่าทหารเป่ยตี๋พากันส่งเสียงร้องโอดครวญอีกครั้งเหตุใดพวกเขาถึงได้เตรียมพร้อมเช่นนี้พวกเขาควรจะมือเปล่าไร้อาวุธรอเวลาโดนฆ่าอย่างเดียวไม่ใช่หรือผู้คนในเขตที่ราบกลางล้วนแต่เป็นเช่นนั้นมาตลอด เหตุใดครั้งนี้ถึงต่างออกไป*เซี่ยถิงอวี่ทอดมองไปยังสนามรบในยามค่ำคืน คิ้วขมวดมุ่นเล็ก
เขาเพิ่งจะยิงออกไปได้แค่ลูกเดียว แต่นางกลับกำลังประกอบศรลูกที่สามแล้วหญิงชราพูดต่อ "ไปเถอะ ข้าจะช่วยตัดแต่งทรงผมและหนวดให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องขายหน้ายามไปพบผู้คน"ในใจเหอป๋อบอกว่าข้าให้เจ้าช่วยข้าแต่งทรงแล้วหรือแต่ไม่รู้เพราะเหตใด เท้ากลับก้าวตามนางไปเสียได้หลี่ว์เผิงเทียน : ?เหอป๋อเชื่อฟังเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด*หลังจากปะทะกันครั้งนี้จบลง ซูชิงลั่วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งอย่างอดไม่ได้ทนทรมานมาถึงกลางดึก ร่างกายนางก็เหนื่อยล้ามากแล้วเมิ่งชิงไต้เป็นฝ่ายอาสารับหน้าที่ที่เหลือต่อ บอกให้นางไปพักผ่อนนางนำทุกคนไปเก็บกวาดสถานที่ สั่งให้ผู้ดูแลบ้านนำพวกเป่ยตี๋ทั้งหมดไปมัดไว้แล้วส่งตัวให้เซี่ยถิงอวี่หลังจากที่ซูชิงลั่วกลับไปที่ห้อง ความง่วงก็ถึงขีดจำกัด นางผล็อยหลับไปโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ได้ยินเสียงตะโกนร้องปลุกใจดังสนั่นจากนอกเมืองอยู่ลางๆ การสู้รบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างแล้วนางล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินออกไป ได้ยินอารักขาผู้หนึ่งกำลังพูดกับเมิ่งชิงไต้ "วันนี้พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอย่างบ้า
เซี่ยถิงอวี่เห็นซูชิงลั่วและเมิ่งชิงไต้ก็พูดเสียงขรึม "พวกเจ้าขึ้นมาทำอันใดบนกำแพงเมือง การสู้รบไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น รีบลงไป !""อย่ามากความ" ซูชิงลั่วหยิบคันธนูขึ้นมาง้างออก แล้วยิงไปยังด้านล่างกำแพงทหารเป่ยตี๋ผู้หนึ่งล้มลงไปกับพื้นในทันที“……”นับว่าคล่องแคล่วอยู่ไม่น้อยเซี่ยถิงอวี่เกือบลืมไปแล้วว่าฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วนั้นดีพอสมควร เมิ่งชิงไต้ก็เช่นกันเมิ่งชิงไต้มองเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "วางใจเถอะ พวกข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านอย่างแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่มองซ้ายขวาแวบหนึ่ง พวกนางยังพาบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนมากันหมดสาวใช้ที่คอยติดตามซูชิงลั่วอยู่ตลอดผู้นั้นสายตาเยือกเย็น กำลังยิงธนูลงไปด้านล่างเช่นกันพวกเป่ยตี๋กำลังเตรียมจะใช้บันไดปีนขึ้นมาโจมตี สาวใช้ผู้นั้นยิงธนูออกไปไม่กี่ดอก ทหารเป่ยตี๋สองนายก็กลิ้งลงไปด้านล่างทันทีเซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปพูดกับทหารหน่วยหนึ่ง "พวกเจ้าปกป้องพระชายาและแม่นางซูให้ดี หากมีอันตรายจะต้องพาพวกนางออกไปก่อนทันทีผู้ที่เป็นหัวหน้าขานรับเซี่ยถิงอวี่หันไปมองเมิ่งชิงไต้อีกปราดหนึ่ง ไม่ได้มีความอาลัยใดๆ เพียงแค่หันหล
ซูชิงลั่วเดินก้มตัวไปตลอดทางไปหอสังเกตการณ์ ข้างหูได้ยินเสียงธนูลอยผ่านไปอยู่เป็นระยะแม้ท้องของนางจะเริ่มนูนออกมาแล้ว แต่ภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งที่ปกคลุมอยู่ทำให้คนนอกแทบจะมองไม่ออกมีเพียงแค่ตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าการเดินโค้งตัวเช่นนี้อันตรายเพียงใดนางเผลอลูบท้องของตัวเอง พลางพูดในใจ ลูกน้อย ลำบากเจ้าแล้ว อดทนอีกหน่อยนะนายทหารผู้นั้นคล่องแคล่วว่องไว วิ่งไปด้วยความรวดเร็วซูชิงลั่วก็รีบตามไปติดๆ กระทั่งไปถึงจุดทางเข้ากำแพงเมืองได้อย่างปลอดภัย แล้วเริ่มปีนบันไดกำแพงเมืองขึ้นไปบันไดทั้งสูงทั้งชัน นางสะพายธนูไว้ด้านหลัง ทำให้ต้องผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ค่อยๆ ปีนขึ้นไปด้านบนทีละก้าวได้อย่างมั่นคงทัศนวิสัยตรงนี้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซูชิงลั่วเพียงมองไปแวบเดียวก็เจอชายหนุ่มสวมหมวกหนาที่ถูกทหารหลายนายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางใต้ธงรบเป่ยตี๋นางรวบรวมสมาธิ หยิบลูกศรขึ้นมา ดึงสายธนูจนสุด "ฝึบ" เสียงลูกศรถูกยิงออกไปศรลูกนั้นพุ่งตรงไปยังข่าน เฉียดแก้มเขาไปใบหน้าของข่านพลันมีเลือดสีแดงสดไหลลงมาทหารคุ้มกันรอบทิศรีบเอ่ย : "คุ้มกันข่าน"ไม่นานนักก็มีศรอีกลูกยิงเข้ามา ศรป
ธงแห่งราชวงศ์ฉู่โบกสะบัดอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงป่าวร้องดังลั่น"ใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว !""กองกำลังเสริมมาถึงแล้ว"เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีที่เดิมก็ดังสนั่นอยู่แล้ว ราวกับจะดังทะลุชั้นเมฆเสียให้ได้ทอดมองออกไปจากหอสังเกตการณ์ กองทัพทหารที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเป็นก้อนสีดำเข้มกำลังบุกเข้ามาในสนามรบสถานการณ์การรบพลันพลิกผันในพริบตายังคิดอยู่เลยว่าถึงอย่างไรกว่าลู่เหิงจือจะมาได้ก็คงต้องรอจนถึงช่วงกลางคืน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเดินทางกันมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเหล่าหทารที่อยู่บนกำแพงพลันมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันทีเซี่ยถิงอวี่เปล่งเสียงสุดแรง "ใครก็ได้ ตามข้าออกไปรบ ใช้เลือดล้างความอับปยศให้เมืองเรา"ช่วงหลายวันนี้ ทุกคนต่างก็ถูกล้อมอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าออกไป ยามนี้โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว จึงรีบบุกออกไปด้วยความฮึกเหิมทันทีที่เขาออกไป เมิ่งชิงไต้เขามาแทนตำแหน่งเดิมของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่ที่เขาทำแต่เดิมต่อไป : "พวกเจ้ายิงต่อไป อย่าหยุด พวกเจ้าที่เหลือไปขนธนูและลูกศรขึ้นมาอีก"นางพูดจบก็รีบหันไปง้างคันธนูในมือทั
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเขาเพิ่งกำจัดเป่ยตี๋ได้ เกียรติยศความน่าเกรงขำกำลังพุ่งถึงขีดสุดเหล่านายทหารโดยรอบต่างก็พากันตกตะลึงหลังจากได้ยินแม้จะอยู่ภายใต้การนำทัพของติ้งอ๋องในช่วงหลายวันนี้ ทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่น้อย แต่จะให้ทำการกบฎเลยก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยนายทหารรอบกายลู่เหิงจือได้รับคำสั่งลับมาก่อนหน้าแล้ว เวลานี้ต่างก็คุกเข่าลงไปตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรก ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด "ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"นายทหารประจำเมืองหลวงหันมามองหน้ากันทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแก่หง่อมดังขึ้นกะทันหัน "กระหม่อมขอคาราวะฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี"กลุ่มคนมองตามสายตาไป กลับเห็นเป็นซิ่นกั๋วกงซิ่นกั๋วกงเคยทำสงครามสู้รบกับพวกเป่ยตี๋เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาหวังเพียงแค่จะทำลายเป่ยตี๋ให้สิ้นซากครั้งนี้ที่เป่ยตี๋บุกโจมตีเมืองหลวง แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ออกมาต้านศัตรูที่กำแพงเมืองด้วยตัวเอง ฆ่าพวกเป่ยตี๋ไปได้สิบกว่าคน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าชาวบ้านยิ่งนักยามนี้ทั่วทั้งตัวของเขาอาบไปด้วยเลือด กำลังถูกเมิ่งชิงไต้ประครองระหว่างที่เขาคุกเข่าลงตร
ป้ายหน้าประตูถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "จวนตระกูลซู"ตัวอักษรดูชัดเจนมีพลัง แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าซูชิงลั่วเขียนเองกับมือภายในใจของลู่เหิงจือเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เขาลงจากม้า แล้วสั่งให้คนจูงท่าเสวี่ยไฟพัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าประตูไปแม้ในจวนจะเก็บกวาดคร่าวๆ ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้ให้เห็นหลุมกับดักขนาดใหญ่ในสวนยังถมไม่เรียบ ดินบริเวณรอบๆ ยังคงเห็นคราบเลือดสีเข้มติดอยู่เหล่าเด็กรับใช้คงจะเหนื่อยกันหมด หน้าประตูมีเพียงแค่เวรยามคนเดียวคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพตามสัญชาตญาณลู่เหิงจือโบกมือ บอกให้เขานอนต่อเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นเองเวรยามก็พลันนึกขึ้นมาได้...ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนายหญิงจะสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใต้เท้าเข้ามาในจวนแต่เขาง่วงมากจริงๆ แล้วเขาก็ไม่มีทางขวางลู่เหิงจือได้ จึงหลับต่อไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหิงจือตรงดิ่งเข้าไปถึงห้องของซูชิงลั่วได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางอวี้จู๋กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านนอก เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นไปบอกเขาเบาๆ ด้วยความร้อนรน : "ใต้เท้า คุณหนูไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา"ลู่เหิงจือ
ซูชิงลั่วผลักประตูเดินออกไปฟ้าเพิ่งจะสว่างเหล่าเด็กรับใช้และสาวใช้อดตาหลับขับตานอนมาสองวันสองคืน ซูชิงลั่วจึงอนุญาตให้พวกเขาได้อู้งานสักวันสองวัน ดังนั้น ในยามนี้บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนแต่กำลังหลับใหลมีเพียงแค่แม่นมเหมยที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่ในครัวกับคนครัวอีกสองสามคนแม่นมเหมยเห็นซูชิงลั่วเดินเข้ามาก็รีบพูดกับนาง "ข้ากำลังจะยกกับข้าวไปให้คุณหนูอยู่เลย"ซูชิงลั่วอมยิ้มพลางพยักหน้า "กำลังหิวพอดี"หลังจากที่นางท้อง นับวันก็ยิ่งหิวง่ายขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะเด็กในท้องเริ่มมีความอยากอาหารมากขึ้นก็เป็นได้นางกลัวว่าจะรบกวนลู่เหิงจือ จึงไปกินอาหารเช้าที่ห้องรับรองแขกแทนหลังจากที่นางกินบะหมี่ไก่เส้นไปครึ่งถ้วย กระดูกหมูสองชิ้น ปลาหนึ่งตัว แอปเปิ้ลอีกครึ่งลูกไปแล้ว ถึงจะรู้สึกอิ่มท้องกินเสร็จก็เดินออกไปด้านนอก สภาพในสวนเละเทะ ยังไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดด้านนอกเงียบสงบกว่าปกติหลังจากผ่านเสียงตะโกนรบราฆ่าฟันกันมาสามวัน ความเงียบสงบในเวลานี้กลับรู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนักนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่คอกม้าท่าเสวี่ยเพิ่งตื่น ทันทีที่เห็นนางก็รีบเอาหัวไซ้แขนเสื้อนางด้วยค
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป