กลางดึกติ้งอ๋องอ่านจดหมายจากลู่เหิงจือเสร็จก็ถอนหายใจเสียงเบา"ลู่เหิงจือช่างกล้าเกินไปแล้ว"เหยาชั่วโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ "ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาต้องหลงใหลในความงามแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเคาะโต๊ะเบาๆ โดยไม่ตอบเหยาชั่วเอ่ยว่า "ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อมีท่านคอยดูแลเมืองหลวง ลู่เหิงจือจะกลัวอะไรอีก ก็แค่แต่งงานปลอมๆ ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้หย่าร้างยังไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลย แต่งงานปลอมๆ จะอะไรนักหนา องครักษ์ลับรับรองว่าอวี๋ซื่อชิงเข้าใกล้ห้องของนางซูไม่ได้แน่นอน"เหยาชั่วแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้วก็ได้ยินเซี่ยถิงอวี่กระซิบว่า "ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้"เหยาชั่ว " ? ""เจ้าบ้าไปแล้วรึ"เซี่ยถิงอวี่ยิ้ม "แผนการนี้ ประการแรกสามารถทำลายล้างเป่ยตี๋ได้ ประการที่สอง สามารถช่วยให้ข้าขึ้นครองราชย์ได้ และประการที่สาม สามารถทำให้ลู่เหิงจือรีบกลับมายังเมืองหลวงได้ เพื่อไม่ให้นางซูแต่งงานกับผู้อื่น ถือว่าคุ้มค่ามาก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว แม้ว่าจะเสี่ยงก็ตาม"*เมืองเซวียนเฉิงปกคลุมไปด้วยหิมะอีกครั้งค่ายทหารบรรยากาศแปลกๆ ทหารทุกคนรู้สึกว่าช่วงนี้บรรยากาศผิดปกติไปรา
โฉวกว่างเอ่ยว่า “ได้ยินว่าใต้เท้านำทัพจากเซวียนเฉิงแปดหมื่นนายไปช่วยเมืองเหลียวด้วยตัวเอง”เป็นเช่นนั้นนี่เองซูชิงลั่วรู้สึกโกรธจัดจนแทบอาเจียนอาหารที่เพิ่งกินไปออกมานางคิดว่าลู่เหิงจือคงจะทั้งโกรธและเสียใจ แต่ไม่คิดว่าลู่เหิงจือจะยอมเสี่ยงขนาดนี้ และไม่ยอมให้นางแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงคำพูดที่ว่าจะใจเย็นและเด็ดขาดเป็นเพียงการแสดงล้วนๆ ใช่หรือไม่?จื๋อหยวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงรีบนำน้ำมาให้นางกลั้วปากซูชิงลั่วสงบสติอารมณ์ลง แล้วเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “โฉวกว่าง เจ้าไปหาติ้งอ๋อง แล้วบอกว่าเจ้าต้องการจะไปหาลู่เหิงจือโดยเร็ว”โฉวกว่างตกตะลึง “แต่ว่าใต้เท้าไม่ได้อยู่ที่เมืองเหลียวหรอกหรือ”น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้หรอกซูชิงลั่วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไปประเดี๋ยวนี้”โฉวกว่างไม่กล้ารอช้า รีบกลับไปยังจวนติ้งอ๋องแต่ยามนี้ติ้งอ๋องกลับอยู่ในวังหลวงฮ่องเต้เมื่อได้ยินว่ากองทัพเป่ยตี๋กำลังจะบุกถึงเมืองหลวง จึงรีบเรียกขุนนางเข้ามาหารือในวังหลวง"เป่ยตี๋ใกล้มาถึงแล้ว ใครจะนำทัพ?"ในท้องพระโรงเงียบกริบฮ่องเต้หันมองฉีอ๋อง ฉีอ๋องคุกเข่าลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ลูกไร้ความสามารถ"การอ
เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งงานแล้ว อวี๋ซื่อชิงจงใจพูดออกมาเพื่อให้ติ้งอ๋องได้ยินเท่านั้นเซี่ยถิงอวี่ไม่ได้ตอบสิ่งใดอีกเลยแต่ก็ต้องยอมรับว่า อวี๋ซื่อชิงเป็นคนเก่งเรื่องการทำให้คนอื่นโกรธเขารู้สึกอยากเห็นลู่เหิงจือกลับมาแล้วโกรธแค้นเสียเหลือเกินชั่วครู่ เขาก็ตบไหล่อวี๋ซื่อชิงเบาๆ “ไปเตรียมตัว”อวี๋ซื่อชิงพยักหน้าแล้วหันหลังจากไปเมฆดำครึ้มลอยต่ำอยู่เหนือวังหลวงเเซี่ยถิงอวี่ยกชายผ้าขึ้นแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า รู้สึกเหมือนลมพัดโชยเย็นยะเยือกราวกับนักรบที่กำลังจะจากไปขี่ม้ากลับวังอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบพุ่งไปยังห้องของเมิ่งชิงไต้บ่าวในจวนต่างประหลาดใจ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา นอกจากวันแต่งงาน ติ้งอ๋องไม่เคยเข้ามาในห้องของเมิ่งชิงไต้เลยวันนี้เกิดอะไรขึ้น?เซี่ยถิงอวี่ผลักประตูเข้ามาเมิ่งชิงไต้กำลังถือดาบเช็ดอยู่ช้าๆ ด้ามดาบยังคงเปล่งประกายระยิบระยับนางเงยหน้าสบตาเขา"ท่านอ๋องเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว?""ใช่" เซี่ยถิงอวี่ตอบ "แต่เจ้าสามารถออกจากเมืองหลวงพร้อมกับซิ่นกั๋วกงได้ เพราะการจะใช้ทหารสองหมื่นนายป้องกันเมืองหลวงสามวัน ข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก"ในจดหมา
นางเฉียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะอะไรกันเนี่ย?นางไม่ได้จะแต่งงานกับคนอื่นแล้วหรือ? ทำไมถึงยังเรียกเขาว่าเหิงจืออีกล่ะ?เหิงจือไม่อยู่เมืองเหลียวหรอกหรือ? ทำไมถึงกลับมา?แล้วก็ได้ยินซูชิงลั่วเอ่ยว่า “หากแม่จะไป ก็อย่าไปไกลนัก เประดี๋ยวจะเหนื่อยกับการเดินทางไปมา”นางยังเรียกนางว่าแม่!นางเฉียนหัวใจเต้นเร็วมาก รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก คำใบ้ของซูชิงลั่วชัดเจนเกินไปนางจึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ากับเหิงจือ.......”ยามนี้ฮ่องเต้ก็จากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้วนางพยักหน้ายิ้ม “เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา ก่อนหน้านี้ทำไปเพื่อปกป้องตนเอง”นางเฉียนเข้าใจทันที นายเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”นางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนลู่จือยังคงเก็บของอยู่ แต่เมื่อเห็นนางเฉียนก็รีบพูดขึ้นมาว่า “รีบเตรียมตัวให้พร้อม อีกหนึ่งชั่วยามเราต้องออกเดินทางแล้ว”นางเฉียนพยักหน้าด้วยความสับสน และเมื่อนึกถึงคำพูดของซูชิงลั่วชั่วครู่ ก็รู้สึกลังเลใจอยู่บ้างขณะนี้เอง บ่าวข้างกายของลู่โย่วก็เดินเข้ามาและเอ่ยว่า “ท่านรองบอกว่าจะเดินทางไปด้วยกัน และระหว่างทางก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ขอเงินจากท่านใ
ลู่จือเก็บถุงผ้าที่นางเฉียนโยนลงบนพื้นขึ้นมาเมื่อคาดว่าบ่าวคงออกประตูไปหมดแล้ว ลู่จือจึงอดพูดไม่ได้ว่า "เจ้าพูดบ้าอะไร พวกเราต้องมาทะเลาะกันยามนี้ทำไม?"นางเฉียนกะพริบตาให้เขาและเอ่ยเสียงเบาว่า "ชิงลั่วก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน"ลู่จือนิ่งอึ้งไป แล้วเดินเร็วไปหานาง "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?""ชิงลั่วบอกกับข้าว่าลูกในท้องของนางว่าเป็นของเหิงจือ ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่ต้องการแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น"ลู่จืองงงวย "นี่มันอะไรกันเนี่ย""แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ" นางเฉียนลดเสียงลงและเอ่ยว่า "ชิงลั่วบอกว่าเหิงจือจะกลับมาแล้ว นั่นหมายความว่า......นี่อาจจะเป็น......"นางหยุดชะงักและไม่กล้าเคาเดาไป นางเอ่ยว่า "แต่เมื่อชิงลั่วยังไม่ไปแสดงว่าในเมืองหลวงก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น คนที่นางติดต่อด้วยย่อมรู้มากกว่าที่ลู่โย่วเสียอีก"ลู่จือเอ่ยว่า "แต่ฮ่องเต้ก็......"นางเฉียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง นางจึงเอ่ยว่า "ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ต้องการจะให้ชิงลั่วแต่งออกไปที่เป่ยตี๋ เจ้าว่าเหิงจือจะ.....หรือไม่"นางหมดคำพูดลู่จือเพิ่งจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่เจ้าพูดน่ะ เป็นความ
อวี๋ซื่อชิงยิ้มเยาะกับตัวเอง : "ท่านพูดถูก"แต่เขาพูดต่อ : "อย่างไรข้าก็อยากรู้"ดวงตาคู่นั้นของเขาสว่างชัดเจน ราวกับจะต้องรู้คำตอบให้ได้ถึงจะยอมเลิกราซูชิงลั่วสบตาเขาด้วยความสงบนิ่ง : "ไม่ ข้าไม่เคยมีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงกับใต้เท้า ต่อให้ไม่มีลู่เหิงจือ ข้าก็จะไม่แต่งกับใต้เท้า"ราวกับมีดเล่มหนึ่งกรีดลงกลางใจของเขาทั้งเจ็บปวด แต่ก็รู้สึกโล่งใจบรรยากาเงียบสงัดไปสักพักอวี๋ซื่อชิงหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้าราวกับได้รับการปลดปล่อยแล้ว : "ข้าเข้าใจแล้ว"ซูชิงลั่วตอบ : "ใต้เท้าจะต้องได้พบกับบุพเพสันนิวาสของตนเจอเป็นแน่"อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างตรงไปตรงมา : "ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน"ในเมื่อถามจนรู้เรื่องแล้ว เขาจึงไม่ได้วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก : "หลังจากนี้ ข้าจะไปเฝ้าประตูเมืองกับติ้งอ๋อง ท่านแม่ของข้าอยู่บ้านตัวคนเดียว ข้าไม่ค่อยวางใจ ไม่รู้ว่าจะรับนางมา ให้ท่านช่วยดูแลสักหน่อยได้หรือไม่"ซูชิงลั่วพยักหน้า : "ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ขอบคุณที่ใต้เท้าช่วยเหลือข้าเอาไว้ ยามนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าย่อมเต็มใจ"อวี๋ซื่อชิงเอ่ยขอบคุณ ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพียงแค่หันหลังเดินจากไป
ทหารเป่ยตี๋บุกเข้ามาใกล้ตัวเมืองแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลู่เหิงจืออยู่ไม่ไกลจากนางแล้วซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก นางนอนต่อไม่ได้แล้วในยามนี้ภายในใจของนางมีเพียงความคิดเดียวคือหวังว่าลู่เหิงจือจะปลอดภัยนางลูบท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเวลานี้ลูกน้อยในท้องกลับกำลังปลอบใจนางและมอบความกล้าให้กับนางอยู่ ทำให้จิตใจของนางค่อยๆ สงบลงได้หลังจากนั้นไม่นาน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนเมื่อครู่เด็กในท้องจะขยับตัวเล็กน้อยนางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่สักพัก ทว่าพลันกังวลว่าตนจะคิดไปเอง จึงลูบท้องอีกครั้งแล้วพูดเบาๆ "ลูกน้อย เมื่อครู่เจ้าขยับใช่หรือไม่ หากเป็นเจ้าจริง เช่นนั้นก็ช่วยถีบแม่อีกสักที"หน้าท้องเกิดความรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสเบาๆ อีกครั้ง ราวกับปลาตัวน้อยที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำพลิกตัวอย่างกะทันหันเรี่ยวแรงนั้นเบายิ่งนักภายในใจนางเกิดความรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งสัญชาตญาณบอกนางว่าความรู้สึกปลาบปลื้มดีใจนี้จะคงอยู่ไปแสนนาน*กองทัพเป่ยตี๋บุกเข้ามาวันแรกก็ต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่าทหารทัพใหญ่กำลังจะเข้ามาสมทบที่เมืองหลวง จึงพยายามจะรีบบุ
มีคนร้องรายงานเสียงดัง : "ใต้เท้า พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอีกแล้ว"สีหน้าของเซี่ยถิงอวี่จริงจังหนักแน่นพวกเป่ยตี๋เองก็บุกเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกันเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องตามแล้ว ล้อมปราบพวกศัตรูด้านนอกอย่างเต็มกำลัง"เขาเชื่อว่าในเมื่อซูชิงลั่วมาแจ้งกับเขาได้ นางก็คงต้องเตรียมความพร้อมด้วยตัวเองแล้วเป็นแน่*เดิมทีกลุ่มเป่ยตี๋ที่บุกเข้าไปได้มีประมาณสี่ห้าร้อยคน หลังจากที่โดนสกัดกั้นแล้ว สุดท้ายมีร้อยกว่าคนที่เอาชีวิตไม่รอดเหลืออีกสามร้อยกว่าคนที่หลุดเข้าไปในเมืองแล้วกลับพบว่าไม่มีใครตามพวกเขามาแล้วหนู่ฮาได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจและเสียงปืนใหญ่ด้านนอกก็หัวเราะออกมาเบาๆข่านเองก็กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่แม้จะต้องตาย แต่อย่างไรก็ต้องสร้างความย่อยยับในเมืองให้ได้ก่อน มีผู้คนล้มตายมากมายเช่นนี้ก็นับไม่ว่าเสียแรงเปล่าแล้วเขาเงยหน้าขึ้นไปมองปราดหนึ่ง ตัดสินใจเลือกเรือนอาศัยตรงหน้าที่มีโคมแดงแขวนอยู่ เตรียมจะเข้ายึดครองใช้เป็นฐานปฏิบัติการชาวบ้านราชวงศ์ฉู่อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังมือเปล่าไร้อาวุธ จัดการง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งใดพวกเขาเดินไปยั
ป้ายหน้าประตูถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "จวนตระกูลซู"ตัวอักษรดูชัดเจนมีพลัง แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าซูชิงลั่วเขียนเองกับมือภายในใจของลู่เหิงจือเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เขาลงจากม้า แล้วสั่งให้คนจูงท่าเสวี่ยไฟพัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าประตูไปแม้ในจวนจะเก็บกวาดคร่าวๆ ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้ให้เห็นหลุมกับดักขนาดใหญ่ในสวนยังถมไม่เรียบ ดินบริเวณรอบๆ ยังคงเห็นคราบเลือดสีเข้มติดอยู่เหล่าเด็กรับใช้คงจะเหนื่อยกันหมด หน้าประตูมีเพียงแค่เวรยามคนเดียวคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพตามสัญชาตญาณลู่เหิงจือโบกมือ บอกให้เขานอนต่อเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นเองเวรยามก็พลันนึกขึ้นมาได้...ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนายหญิงจะสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใต้เท้าเข้ามาในจวนแต่เขาง่วงมากจริงๆ แล้วเขาก็ไม่มีทางขวางลู่เหิงจือได้ จึงหลับต่อไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหิงจือตรงดิ่งเข้าไปถึงห้องของซูชิงลั่วได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวางอวี้จู๋กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านนอก เห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นไปบอกเขาเบาๆ ด้วยความร้อนรน : "ใต้เท้า คุณหนูไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา"ลู่เหิงจือ
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเขาเพิ่งกำจัดเป่ยตี๋ได้ เกียรติยศความน่าเกรงขำกำลังพุ่งถึงขีดสุดเหล่านายทหารโดยรอบต่างก็พากันตกตะลึงหลังจากได้ยินแม้จะอยู่ภายใต้การนำทัพของติ้งอ๋องในช่วงหลายวันนี้ ทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่น้อย แต่จะให้ทำการกบฎเลยก็ดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยนายทหารรอบกายลู่เหิงจือได้รับคำสั่งลับมาก่อนหน้าแล้ว เวลานี้ต่างก็คุกเข่าลงไปตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรก ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด "ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"นายทหารประจำเมืองหลวงหันมามองหน้ากันทันใดนั้นเองพลันมีเสียงแก่หง่อมดังขึ้นกะทันหัน "กระหม่อมขอคาราวะฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี"กลุ่มคนมองตามสายตาไป กลับเห็นเป็นซิ่นกั๋วกงซิ่นกั๋วกงเคยทำสงครามสู้รบกับพวกเป่ยตี๋เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาหวังเพียงแค่จะทำลายเป่ยตี๋ให้สิ้นซากครั้งนี้ที่เป่ยตี๋บุกโจมตีเมืองหลวง แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ออกมาต้านศัตรูที่กำแพงเมืองด้วยตัวเอง ฆ่าพวกเป่ยตี๋ไปได้สิบกว่าคน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าชาวบ้านยิ่งนักยามนี้ทั่วทั้งตัวของเขาอาบไปด้วยเลือด กำลังถูกเมิ่งชิงไต้ประครองระหว่างที่เขาคุกเข่าลงตร
ธงแห่งราชวงศ์ฉู่โบกสะบัดอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงป่าวร้องดังลั่น"ใต้เท้าลู่กลับมาแล้ว !""กองกำลังเสริมมาถึงแล้ว"เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีที่เดิมก็ดังสนั่นอยู่แล้ว ราวกับจะดังทะลุชั้นเมฆเสียให้ได้ทอดมองออกไปจากหอสังเกตการณ์ กองทัพทหารที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเป็นก้อนสีดำเข้มกำลังบุกเข้ามาในสนามรบสถานการณ์การรบพลันพลิกผันในพริบตายังคิดอยู่เลยว่าถึงอย่างไรกว่าลู่เหิงจือจะมาได้ก็คงต้องรอจนถึงช่วงกลางคืน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเดินทางกันมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเหล่าหทารที่อยู่บนกำแพงพลันมีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันทีเซี่ยถิงอวี่เปล่งเสียงสุดแรง "ใครก็ได้ ตามข้าออกไปรบ ใช้เลือดล้างความอับปยศให้เมืองเรา"ช่วงหลายวันนี้ ทุกคนต่างก็ถูกล้อมอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าออกไป ยามนี้โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว จึงรีบบุกออกไปด้วยความฮึกเหิมทันทีที่เขาออกไป เมิ่งชิงไต้เขามาแทนตำแหน่งเดิมของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำหน้าที่ที่เขาทำแต่เดิมต่อไป : "พวกเจ้ายิงต่อไป อย่าหยุด พวกเจ้าที่เหลือไปขนธนูและลูกศรขึ้นมาอีก"นางพูดจบก็รีบหันไปง้างคันธนูในมือทั
ซูชิงลั่วเดินก้มตัวไปตลอดทางไปหอสังเกตการณ์ ข้างหูได้ยินเสียงธนูลอยผ่านไปอยู่เป็นระยะแม้ท้องของนางจะเริ่มนูนออกมาแล้ว แต่ภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งที่ปกคลุมอยู่ทำให้คนนอกแทบจะมองไม่ออกมีเพียงแค่ตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าการเดินโค้งตัวเช่นนี้อันตรายเพียงใดนางเผลอลูบท้องของตัวเอง พลางพูดในใจ ลูกน้อย ลำบากเจ้าแล้ว อดทนอีกหน่อยนะนายทหารผู้นั้นคล่องแคล่วว่องไว วิ่งไปด้วยความรวดเร็วซูชิงลั่วก็รีบตามไปติดๆ กระทั่งไปถึงจุดทางเข้ากำแพงเมืองได้อย่างปลอดภัย แล้วเริ่มปีนบันไดกำแพงเมืองขึ้นไปบันไดทั้งสูงทั้งชัน นางสะพายธนูไว้ด้านหลัง ทำให้ต้องผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ค่อยๆ ปีนขึ้นไปด้านบนทีละก้าวได้อย่างมั่นคงทัศนวิสัยตรงนี้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซูชิงลั่วเพียงมองไปแวบเดียวก็เจอชายหนุ่มสวมหมวกหนาที่ถูกทหารหลายนายห้อมล้อมอยู่ตรงกลางใต้ธงรบเป่ยตี๋นางรวบรวมสมาธิ หยิบลูกศรขึ้นมา ดึงสายธนูจนสุด "ฝึบ" เสียงลูกศรถูกยิงออกไปศรลูกนั้นพุ่งตรงไปยังข่าน เฉียดแก้มเขาไปใบหน้าของข่านพลันมีเลือดสีแดงสดไหลลงมาทหารคุ้มกันรอบทิศรีบเอ่ย : "คุ้มกันข่าน"ไม่นานนักก็มีศรอีกลูกยิงเข้ามา ศรป
เซี่ยถิงอวี่เห็นซูชิงลั่วและเมิ่งชิงไต้ก็พูดเสียงขรึม "พวกเจ้าขึ้นมาทำอันใดบนกำแพงเมือง การสู้รบไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น รีบลงไป !""อย่ามากความ" ซูชิงลั่วหยิบคันธนูขึ้นมาง้างออก แล้วยิงไปยังด้านล่างกำแพงทหารเป่ยตี๋ผู้หนึ่งล้มลงไปกับพื้นในทันที“……”นับว่าคล่องแคล่วอยู่ไม่น้อยเซี่ยถิงอวี่เกือบลืมไปแล้วว่าฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วนั้นดีพอสมควร เมิ่งชิงไต้ก็เช่นกันเมิ่งชิงไต้มองเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "วางใจเถอะ พวกข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่านอย่างแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่มองซ้ายขวาแวบหนึ่ง พวกนางยังพาบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนมากันหมดสาวใช้ที่คอยติดตามซูชิงลั่วอยู่ตลอดผู้นั้นสายตาเยือกเย็น กำลังยิงธนูลงไปด้านล่างเช่นกันพวกเป่ยตี๋กำลังเตรียมจะใช้บันไดปีนขึ้นมาโจมตี สาวใช้ผู้นั้นยิงธนูออกไปไม่กี่ดอก ทหารเป่ยตี๋สองนายก็กลิ้งลงไปด้านล่างทันทีเซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปพูดกับทหารหน่วยหนึ่ง "พวกเจ้าปกป้องพระชายาและแม่นางซูให้ดี หากมีอันตรายจะต้องพาพวกนางออกไปก่อนทันทีผู้ที่เป็นหัวหน้าขานรับเซี่ยถิงอวี่หันไปมองเมิ่งชิงไต้อีกปราดหนึ่ง ไม่ได้มีความอาลัยใดๆ เพียงแค่หันหล
เขาเพิ่งจะยิงออกไปได้แค่ลูกเดียว แต่นางกลับกำลังประกอบศรลูกที่สามแล้วหญิงชราพูดต่อ "ไปเถอะ ข้าจะช่วยตัดแต่งทรงผมและหนวดให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องขายหน้ายามไปพบผู้คน"ในใจเหอป๋อบอกว่าข้าให้เจ้าช่วยข้าแต่งทรงแล้วหรือแต่ไม่รู้เพราะเหตใด เท้ากลับก้าวตามนางไปเสียได้หลี่ว์เผิงเทียน : ?เหอป๋อเชื่อฟังเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด*หลังจากปะทะกันครั้งนี้จบลง ซูชิงลั่วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งอย่างอดไม่ได้ทนทรมานมาถึงกลางดึก ร่างกายนางก็เหนื่อยล้ามากแล้วเมิ่งชิงไต้เป็นฝ่ายอาสารับหน้าที่ที่เหลือต่อ บอกให้นางไปพักผ่อนนางนำทุกคนไปเก็บกวาดสถานที่ สั่งให้ผู้ดูแลบ้านนำพวกเป่ยตี๋ทั้งหมดไปมัดไว้แล้วส่งตัวให้เซี่ยถิงอวี่หลังจากที่ซูชิงลั่วกลับไปที่ห้อง ความง่วงก็ถึงขีดจำกัด นางผล็อยหลับไปโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ได้ยินเสียงตะโกนร้องปลุกใจดังสนั่นจากนอกเมืองอยู่ลางๆ การสู้รบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่างแล้วนางล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินออกไป ได้ยินอารักขาผู้หนึ่งกำลังพูดกับเมิ่งชิงไต้ "วันนี้พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอย่างบ้า
สตรีนางนั้นกล่าวเสียงเย็นเยียบ : "ยิงธนู..."เสียงของนางกลับไพเราะถึงเพียงนี้หนู่ฮาเห็นลูกศรสิบกว่าดอกที่อยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่นั้นล้วนแต่ติดไฟทั้งสิ้นคือลูกศรไฟ เขาลูบใบหน้าตัวเองจึงได้รู้สึกตัวว่าของเหลวที่รดร่างเมื่อครู่คือน้ำมัน !เขาพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาทันทีเขาอยากจะรีบปีนขึ้นมา ทว่าลูกศรไฟพุ่งมาจากกลางอากาศ ตกลงบนร่างเขาดัง "ฉึก" ไฟลุกโชนไปทั่วทั้งหลุม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนเหล่าทหารเป่ยตี๋ด้านหลังที่ยังไม่ตกลงไปในหลุมเห็นเข้าก็ตกใจจนรีบหนีไป ทว่าหลังจากนั้นก็มีลูกศรพุ่งมาจากด้านหลังพวกเขาแค่หนีออกไปถึงหน้าประตูก็น่าจะได้แล้วกระมัง"ถอยถอยถอย !"ปรากฏว่าทันทีที่ไปถึงหน้าประตู โคมแดงหน้าประตูพลันสว่างสไวไปทั้งตรอกเส้นทางที่เดินผ่านล้วนแต่มีน้ำเดือดๆ สาดออกมาจากกำแพงสูงเหล่าทหารเป่ยตี๋พากันส่งเสียงร้องโอดครวญอีกครั้งเหตุใดพวกเขาถึงได้เตรียมพร้อมเช่นนี้พวกเขาควรจะมือเปล่าไร้อาวุธรอเวลาโดนฆ่าอย่างเดียวไม่ใช่หรือผู้คนในเขตที่ราบกลางล้วนแต่เป็นเช่นนั้นมาตลอด เหตุใดครั้งนี้ถึงต่างออกไป*เซี่ยถิงอวี่ทอดมองไปยังสนามรบในยามค่ำคืน คิ้วขมวดมุ่นเล็ก
มีคนร้องรายงานเสียงดัง : "ใต้เท้า พวกเป่ยตี๋บุกเข้ามาอีกแล้ว"สีหน้าของเซี่ยถิงอวี่จริงจังหนักแน่นพวกเป่ยตี๋เองก็บุกเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกันเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องตามแล้ว ล้อมปราบพวกศัตรูด้านนอกอย่างเต็มกำลัง"เขาเชื่อว่าในเมื่อซูชิงลั่วมาแจ้งกับเขาได้ นางก็คงต้องเตรียมความพร้อมด้วยตัวเองแล้วเป็นแน่*เดิมทีกลุ่มเป่ยตี๋ที่บุกเข้าไปได้มีประมาณสี่ห้าร้อยคน หลังจากที่โดนสกัดกั้นแล้ว สุดท้ายมีร้อยกว่าคนที่เอาชีวิตไม่รอดเหลืออีกสามร้อยกว่าคนที่หลุดเข้าไปในเมืองแล้วกลับพบว่าไม่มีใครตามพวกเขามาแล้วหนู่ฮาได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจและเสียงปืนใหญ่ด้านนอกก็หัวเราะออกมาเบาๆข่านเองก็กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่แม้จะต้องตาย แต่อย่างไรก็ต้องสร้างความย่อยยับในเมืองให้ได้ก่อน มีผู้คนล้มตายมากมายเช่นนี้ก็นับไม่ว่าเสียแรงเปล่าแล้วเขาเงยหน้าขึ้นไปมองปราดหนึ่ง ตัดสินใจเลือกเรือนอาศัยตรงหน้าที่มีโคมแดงแขวนอยู่ เตรียมจะเข้ายึดครองใช้เป็นฐานปฏิบัติการชาวบ้านราชวงศ์ฉู่อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังมือเปล่าไร้อาวุธ จัดการง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งใดพวกเขาเดินไปยั
ทหารเป่ยตี๋บุกเข้ามาใกล้ตัวเมืองแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลู่เหิงจืออยู่ไม่ไกลจากนางแล้วซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก นางนอนต่อไม่ได้แล้วในยามนี้ภายในใจของนางมีเพียงความคิดเดียวคือหวังว่าลู่เหิงจือจะปลอดภัยนางลูบท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเวลานี้ลูกน้อยในท้องกลับกำลังปลอบใจนางและมอบความกล้าให้กับนางอยู่ ทำให้จิตใจของนางค่อยๆ สงบลงได้หลังจากนั้นไม่นาน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนเมื่อครู่เด็กในท้องจะขยับตัวเล็กน้อยนางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่สักพัก ทว่าพลันกังวลว่าตนจะคิดไปเอง จึงลูบท้องอีกครั้งแล้วพูดเบาๆ "ลูกน้อย เมื่อครู่เจ้าขยับใช่หรือไม่ หากเป็นเจ้าจริง เช่นนั้นก็ช่วยถีบแม่อีกสักที"หน้าท้องเกิดความรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสเบาๆ อีกครั้ง ราวกับปลาตัวน้อยที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำพลิกตัวอย่างกะทันหันเรี่ยวแรงนั้นเบายิ่งนักภายในใจนางเกิดความรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งสัญชาตญาณบอกนางว่าความรู้สึกปลาบปลื้มดีใจนี้จะคงอยู่ไปแสนนาน*กองทัพเป่ยตี๋บุกเข้ามาวันแรกก็ต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่าทหารทัพใหญ่กำลังจะเข้ามาสมทบที่เมืองหลวง จึงพยายามจะรีบบุ