เมื่อซ่งเหวินและจื๋อหยวนเดินออกมาจากลานกว้าง ก็บังเอิญพบกับอวี๋ซื่อชิงเข้าพอดีเขากำลังเดินออกมาจากเรือนข้างเคียง ดูเหมือนจะกำลังออกไปข้างนอกซ่งเหวินเห็นท่าทางคุ้นเคยของอวี๋ซื่อชิง ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันทีเขาเอ่ยว่า “ใต้เท้าอวี๋ แม้ว่าท่านจะต้องแต่งงานกับคุณหนูด้วยเหตุผลบางประการ แต่ท่านมาที่จวนตระกูลลู่ทุกวันเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าบ่อยเกินไปหน่อยหรือ?”อวี๋ซื่อชิงตอบว่า “จวนอะไรนะ?”ซ่งเหวินนึกขึ้นได้ว่าป้ายจวนตระกูลลู่ถูกถอดออกแล้ว ยามนี้คือจวนตระกูลซูเขานิ่งอึ้งไปแต่หากไม่พูดอะไรเลย เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ ชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า “ใต้เท้าอวี๋ ข้าหวังว่าท่านจะรักษาระยะห่างจากคุณหนูสักหน่อย ท่านต้องรู้ว่าใต้เท้าของเรายังจะต้องกลับมา”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างช้าๆ ว่า “ข้าแค่มาบ่อยนิดหน่อยเอง ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ? แล้วหากแต่งงานกันแล้ว ข้าเข้าไปอยู่ในจวน ใต้เท้าของเจ้าจะทำอย่างไร?”ซ่งเหวินทำสีหน้าตกใจ “อะไรนะ? ท่านจะย้ายเข้ามารึ?”เขามองไปที่จื๋อหยวน จื๋อหยวนก็ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้เขาพูดอะไรต่อหลังจากขอโทษอวี๋ซื่อชิงแล้ว จื๋อหยวนก็รีบดึงเขาออกไปเสียงของซ่งเห
ก่อนจากไป ซ่งเหวินมองซูชิงลั่วด้วยสายตาเฝ้ารอ “ฮูหยิน ท่านจะไม่คิดจะเขียนจดหมายถึงใต้เท้าสักหน่อยหรือ”ซูชิงลั่ว "เขียนอะไร?""เขียนบอกว่าข้าจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ขอให้ใต้เท้าช่วยอวยพรด้วย หรือเขียนบอกว่าหลังแต่งงาน อวี๋ซื่อชิงจะย้ายเข้ามาอยู่ในจวนของข้าดีหรือ?"ซ่งเหวิน "......"ครู่หนึ่ง เขาก็บอกขึ้นมาทันทีว่า "ฮูหยินจะยืมกระดาษเปล่าสักแผ่นให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ?"ซูชิงลั่วมองเขาด้วยความระแวดระวัง "จะเอาไปทำอะไร?"ซ่งเหวินตอบว่า "อย่างไรเสียก็เป็นกระดาษในห้องฮูหยิน ข้าน้อยเอากลับไปรายงานก็ยังดี"ซูชิงลั่วแทบหัวเราะออกมาซ่งเหวินเองก็ไม่ง่ายเลยนางใจดีขึ้นมาทันทีและพยักหน้าตอบว่า "ก็ได้"จื๋อหยวนรีบเอากระดาษทั้งหมดบนโต๊ะให้ซ่งเหวินซ่งเหวินซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ อย่างไรเสียภรรยาของตนก็ดีที่สุดแล้วเขามาถึงประตูพอดีกับที่อวี๋ซื่อชิงเดินเข้ามา เขามือซ้ายถือกล่องอาหารว่าง มือขวาถือกาสุราไว้อยู่ซ่งเหวินรีบเอ่ยว่า "คุณหนูท้องอยู่ ดื่มสุราไม่ได้"อวี๋ซื่อชิงเลิกคิ้ว แล้วส่งสุราให้กับเขาซ่งเหวินนิ่งอึ้ง "ให้ข้ารึ?"อวี๋ซื่อชิงยิ้ม "ข้างนอกหนาว ดื่มอุ่นๆ เป็นระยะๆ ช่วยทำให้ร่าง
ลู่เหิงจือแม้จะโกรธจัด แต่กลับดูสงบเยือกเย็นภายใต้ความสงบเยือกเย็นนี้ กำลังก่อตัวเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัวซ่งเหวินนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เห็นเขาสงบเยือกเย็นเช่นนี้ น่าจะเป็นยามที่บิดามารดาเสียชีวิต และน้องสาวถูกจับตัวไปเขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะลู่เหิงจือจ้องมองด้วยแววตาเคร่งขรึม “เจ้าพูดมาให้ชัดเจน”ซ่งเหวินรีบเล่าเรื่องที่ได้ยินมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเป่ยตี๋มาเจรจาสงบศึก แต่ฮ่องเต้กลับจะส่งซูชิงลั่วไปสมรสเพื่อสันติภาพ ใบหน้าของลู่เหิงจือก็เย็นชาลงทันทีมุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันเขาเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมปล่อยภรรยาที่หย่าร้างไปแล้วของเขาทว่าลู่เหิงจือก็ไม่คิดว่าอวี๋ซื่อชิงจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาเขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “กำหนดวันแต่งเมื่อไหร่?”ซ่งเหวินตอบเสียงเบา "อีกหนึ่งเดือนขอรับ"เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เหิงจือเปลี่ยนไป เขาก็รีบเสริมว่า “ฮูหยินคงกลัวว่าหากท้องแล้วแต่งงานจะไม่ค่อยเหมาะสม”ลู่เหิงจือถามเสียงเคร่งขรึม “โฉวกว่างตายแล้วหรือ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกข้า?”ซ่งเหวินครุ่นคิดในใจว่าใช่แล้ว เขากลับมาครั้งนี้ โฉ
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร
แม้ว่าลู่เหิงจือจะถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในตรอกปาเถียว ที่นั่นอยู่ใกล้กับราชสำนัแถมยังเงียบสงบ แต่ละเดือนเขาจะกลับมาพักที่บ้านตระกูลลู่ในวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะเขามีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นทุกครั้งที่เขากลับมา บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตื่นตัวราวกับมีข้าศึกมาเยือนเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฐานะของซูชิงลั่วในบ้านนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยซูชิงลั่วสั่งให้คนต้มน้ำร้อนมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแม้ว่าร่มกระดาษน้ำมันจะเป็นสีขาวที่ไม่โดดเด่น แต่นางก็ไม่กล้านำมันออกมาวางข้างนอก จึงให้จื๋อหยวนตากข้างในห้องแทนจากนั้นก็เก็บชุดคลุมกันลมไว้เองอย่างดี รอวันที่อากาศดีๆ แล้วค่อยแอบเอามาซักและตากแห้ง จากนั้นค่อยเอาไปคืนเขาพร้อมกับร่มแม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ของพวกนี้นางก็ไม่กล้าให้ใครเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจากคนที่มีใจอิจฉาวุ่นวายมาครึ่งวัน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ซูชิงลั่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว และไม่มีแรงจะคิดเสียใจเรื่องลู่เหยียนอีกแล้วแต่เนื่องจากตอนนี้ผ่านเวลามื้ออาหารไปแล้ว นางก
ซูชิงลั่วรู้สึกตกใจการถูกเขาเห็นว่าร้องไห้สองครั้งในวันเดียว เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินเมื่อกี้แค่มองผาดๆ ไปที่ในศาลา ก็คิดว่าไม่มีคน แต่ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าคงถูกเสาบังอยู่แน่เมื่อลมพัดเบาๆ กลิ่นเหล้าจางๆ จากตัวผู้ชายก็ลอยมาวันนี้เขาเพิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลลู่ ย่อมมีการจัดงานเลี้ยงดื่มเหล้ากับคนในบ้านตระกูลลู่ คิดว่าหลังจากดื่มเหล้าไปก็คงมาที่นี่เพื่อพักผ่อน แต่กลับถูกนางทำเสียบรรยากาศเข้าเขาดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงลั่วไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก จึงทำความเคารพและพูดว่า "ไม่รู้ว่าท่านสามอยู่ที่นี่ ชิงลั่วเสียมารยาทแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ""หยุดเดี๋ยวนี้" ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยคำสั่งที่ไม่อาจขัด ซูชิงลั่วหยุดเดินโดยไม่รู้ตัวเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ ว่า "ข้าถามว่าทำไมถึงร้องไห้อีกแล้ว?"ซูชิงลั่วเม้มปาก เรื่องแบบนี้จะบอกผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?นางไม่ตอบอยู่นาน จึงได้ยินเขาพูดอีกว่า "ทำไม? ขาพลิกอีกแล้วหรือ?"หน้าซูชิงลั่วแดงขึ้นมา แทบอยากจะหารูมุดหัวให้หายไปซะเลยเดี๋ยวนั้นโชคดีที่ซ่งเหวินมาถึงตอนนี้พอดีเขาถือโคมแก้วด้วยมือข้
ซูชิงลั่วได้ยินดังนั้นก็แน่นิ่งไปการที่อาการของท่านยายไม่ดีไม่เป็นความลับ หมอบอกว่าถ้าผ่านฤดูหนาวปีนี้ได้ก็จะมีเวลาอีกหนึ่งปี แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นปีนี้เมื่อนางหลิ่วเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางไม่กล้า จึงรีบพูดต่อว่า "เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเอาเปรียบในเรื่องนี้ แต่มันไม่ถึงขั้นต้องถอนหมั้นหรอก""นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ เกรงว่าแม้แต่ท่านยายของเจ้าก็คงจะบอกให้เจ้าอดทนนั่นแหละ""เจ้าลองคิดดูสิ ผู้หญิงที่ถอนหมั้นแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี ต่อไปยังจะแต่งงานกับใครดีๆ ได้อีก?""เหยียนเออร์รู้ตัวแล้วว่าผิด เอาอย่างนี้ไหม ก่อนถึงงานแต่งของพวกเจ้า ข้าจะไม่ให้เขาออกไปไหนอีก ให้มีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น เช่นนี้เจ้าจะหายโกรธได้ไหม?""เจ้าคิดดูนะ ท่านยายของเจ้าหวังอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานขนาดไหน..."นางหลิ่วถึงขั้นยกท่านยายขึ้นมาอ้างซูชิงลั่วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก รู้สึกว่าตัวเองถูกนางหลิ่วบีบบังคับสำเร็จ ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงต้องกลับไปคิดทบทวนให้รอบคอบถ้าไม่ถอนหมั้น นางกลัวว่าจะซ้ำรอยฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นแต่ถ้าถอนหมั้นจริงๆ ชื่อเสียงของนาง