วิษณุยืนคอยอย่างกระวนกระวายใจในตรอกแคบๆ และสกปรกซึ่งอยู่หลังโรงแรมที่พักที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ครู่หนึ่งก็ปรากฏเงาร่างเพรียวของหญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะมาหาด้วยความระมัดระวังเหมือนกลัวใครจะเห็นเข้า หญิงผู้ใช้หมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของปกเสื้อคลุมศีรษะและบดบังใบหน้าจนเกือบมิดเดินเข้ามาใกล้
“หลิง ทำไมช้านักล่ะ?” วิษณุเอ่ยถามทันที
หลิงดึงหมวกคลุมศีรษะลง เปิดเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวและดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งพลางตอบ “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการเปิดเผยการพบปะของพวกเรา?”
“นั่นก็ใช่ แต่ผมรักคุณจริงๆ นะ” พร้อมกับคำพูดวิษณุรวบร่างเพรียวมาไว้ในอ้อดกอดแล้วระดมจูบดวงหน้าเรียวถี่ยิบ
ล่ามสาวชาวจีนต้องยกมือดันดวงหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนเอ่ยปาก “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณธีราออกจะสวยขนาดนั้น”
วิษณุแบะปาก “หึ! สวย สวยเหมือนประติมากรรมหินอ่อนที่จิตรกรเอกของโลกบรรจงแกะสลัก เย็นชืด แข็งทื่อ แตะต้องไม่ได้ อยู่ใกล้แล้วอัดอั้นใจแทบจะระเบิด ไม่เหมือนคุณ คุณมีเลือดมีเนื้อ นุ่มนวลและอบอุ่น เป็นสุดปรารถนาของผม”
“แหม ปากหวาน แต่ตอนนี้คุณปล่อยฉันก่อนเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” หลิงเบี่ยงตัวเล็กน้อย
วิษณุคลายอ้อมแขนอย่างง่ายดายก่อนถามกลับ “ทำไมเรื่องถึงพลาดอย่างนี้ล่ะหลิง?”
หลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันพยายามแล้วนะ หาพรานกระจอกๆ คนหนึ่งมาปลอมตัวเป็นพรานใหญ่เพื่อหลอกเอาเงินคุณธีรา พอคุณธีรารู้ตัวว่าถูกหลอกจะได้รีบกลับเมืองไทยไปแต่งงานกับคุณไงล่ะ” พร้อมกับคำพูดหลิงมีสีหน้ามึนตึง
วิษณุโอบกอดร่างเพรียวอีกคราพลางกระซิบถาม “หึงเหรอ?”
“เฮอะ” หลิงทำเสียงในลำคอแทนคำตอบ พร้อมกับดวงตาแดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้
“ผมต้องแต่งงานกับธีราเพื่อทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของเธอ” วิษณุกระซิบต่อ
“แล้วคุณก็จะรักเธอจริงๆ เพราะหลังแต่งงานเธอจะกลายเป็นสิ่งแตะต้องได้ ความสวยของเธอทำให้ผู้ชายหลงรักได้อย่างง่ายดาย” หลิงพูดด้วยทีท่าแง่งอน
วิษณุหัวเราะพลางพูด “คุณคิดมากไปแล้ว ถึงผมจะเกิดรักธีราขึ้นมาอีกคนก็ไม่เห็นจะแปลก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกรักคุณ”
“หมายความว่าฉันจะต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ตลอดไป” หลิงพูดน้ำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“แล้วไม่ดีตรงไหน?” วิษณุย้อนถาม
“มัน…มันเท่ากับว่าฉันเป็นเมียน้อย” หลิงตอบอย่างอัดอั้นตันใจ
“ผู้หญิงสมัยนี้อยากจะเป็นเมียน้อยกันทั้งนั้น” วิษณุเอ่ยพลางเลิกเรียวคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย “เป็นเมียหลวงน่ะต้องเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก แต่เป็นเมียน้อยน่ะเป็นคู่สุขคู่ชื่น”
“ฉันไม่เข้าใจ” หลิงส่ายหน้า
“ก็ตัวอย่างง่ายๆ ธีราเป็นเมียหลวง มีเงินทองมากมาย ผมก็เอาเงินทองของธีรามาบำรุงบำเรอคุณที่เป็นเมียน้อยยังไงล่ะ” วิษณุพูดยิ้มๆ
“ฮึ! ให้มันจริงเถอะ” หลิงทำท่าไม่ค่อยเชื่อถือนัก
วิษณุคร้านจะพูดเกลี้ยกล่อมต่อจึงเสเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมคุณถึงถอนตัวไม่ไปกันเดนด้วย?”
“ฉันคิดจะสร้างความลำบากให้คุณธีรา เธอจะได้ล้มเลิกการไปกันเดนเสีย” หลิงตอบ
“ดูท่าจะยาก” วิษณุพูดอย่างเข้าใจอุปนิสัยใจคอของญาติผู้น้องดี “แม่คนนี้ลองตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว อะไรก็ห้ามไม่อยู่ ยิ่งคุณไม่ไปก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ไอ้พระบ้าจามิลได้ใกล้ชิดธีรามากยิ่งขึ้น”
“หมายความว่าคุณต้องการให้ฉันไปด้วยหรือ?” หลิงเอ่ยเป็นเชิงถาม
“ถูกต้อง ไม่เพียงแต่เพื่อกีดกันไม่ให้ไอ้พระบ้าเข้าใกล้ธีราเท่านั้น แต่เพื่อตัวของผมด้วย” เอ่ยถึงตรงนี้วิษณุทำตาซึ้งพลางก้มลงจะจูบอีกฝ่าย
ตึ้ก! ตึ้ก! ตึ้ก!
เสียงฝีเท้าดังแว่ว หลิงยกมือยันอกชายหนุ่มพร้อมกับพูดปรามเบาๆ “อย่า”
วิษณุคลายอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมองไปยังต้นเสียงก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งแบกกระสอบใส่ข้าวของพะรุงพะรังเดินเข้ามาในตรอก หนุ่มสาวทั้งสองจึงเบี่ยงตัวหลบทางให้ แต่กว่าจะเดินสวนผ่านไปได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
“เหม็นฉิบ!” วิษณุสบถเสียงไม่ค่อยนักแต่เป็นภาษาไทย คนที่ถูกว่ากระทบจึงไม่รู้ตัว
พอคนนอกเดินลับตาไป หลิงเอ่ยขึ้นเหมือนประชด “คนบนที่ราบสูงไม่ค่อยอาบน้ำเพราะอากาศหนาวจัดก็ต้องตัวเหม็นเป็นธรรมดา จะให้เนื้อตัวหอมเหมือนคุณธีราได้ยังไง?”
“โธ่ หลิงก็หอมนะ หอมมากด้วย” วิษณุโอบกอดล่ามสาวอีกครั้ง แถมระดมจูบบนซอกคอ
หลิงจำใจผลักไสพลางว่า “อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ตรงนี้ดูประเจิดประเจ้อ”
วิษณุไม่ยอมคลายอ้อมแขน กระซิบถาม “แล้วที่ไหนละที่ไม่ประเจิดประเจ้อ? ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ”
“คุณปล่อยฉันก่อนสิ ฉันจะพาไป” หลิงเอ่ยเสียงสั่นพร่า เกิดความต้องการไม่แพ้กัน
วิษณุจึงคลายอ้อมแขนพลางชักชวน “ไปสิ”
หลิงดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะและปิดบังดวงหน้าก่อนจะเดินนำ วิษณุเดินตามติด เพลิงราคะกระพือโหมในใจสองชายหญิง
“เธออย่าทำอย่างนี้สิ” ธีรามองร่างอรชรที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างลำบากใจ
“ถ้าคุณไม่ให้ฉันไปด้วย ฉันจะคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน” รินเซนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันตัดสินใจเองไม่ได้” ธีราเอ่ยเสียงอ่อน “ฉันต้องบอกคุณจามิลก่อน”
“ถ้าคุณยืนกราน จามิลก็ต้องยอม” รินเซนกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ “ก็ได้ ฉันจะให้เธอไปด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” รินเซนพูดสีหน้ายินดี แต่ยังไม่ลุกขึ้นจากการคุกเข่า
ธีราจึงต้องบอก “เธอลุกขึ้นเถอะ มีอะไรค่อยๆ พูดจากัน”
“ค่ะ” รินเซนรับคำก่อนลุกขึ้นยืน “ฉันเป็นลูกหาบก็ได้ หุงหาอาหารก็ได้ ถ้าคุณเดินจนเมื่อยขาฉันจะบีบนวดให้”
ธีราหัวเราะร่วนพลางว่า “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เธอไม่ต้องเป็นลูกหาบ ส่วนเรื่องหุงหาอาหารพวกเราอาจจะต้องช่วยๆกันทำ”
“แล้วฉันมีหน้าที่อะไรบ้าง?” รินเซนถามเพื่อความแน่ใจว่าจะได้เดินทางร่วมคณะไปด้วย
“อืม” ธีราครุ่นคิดก่อนเอ่ย “คุณหลิงที่เป็นล่ามเธอขอไม่ไปด้วย งั้นรินเซนทำหน้าที่แทนคุณหลิงก็แล้วกัน”
รินเซนยิ้มแฉ่งจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม แก้มนวลผ่องแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด เพราะนี่หมายถึงฐานะของตนในคณะเดินทางมั่นคงแล้ว
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะมุมในห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นสถานที่นัดพบพูดคุยเรื่องงานของคนทั้งสองไปโดยปริยาย พระหนุ่มยกถ้วยชาที่ส่งควันฉุยขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “รินเซนว่าคุณอนุญาตให้เธอไปด้วย” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ “ฉันมีเหตุผลที่ให้รินเซนไปด้วยนะคะ คือ...หนึ่งฉันจะได้มีเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย สองเธอเป็นล่ามให้ฉันแทนคุณหลิงได้ และข้อสุดท้ายเธออาจค้นพบวิธีรักษาพ่อของเธอให้หายจากอาการป่วยได้” จามิลหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่ผมไม่ให้รินเซนไปด้วยแต่แรกก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ การไปค้นหากันเดนของพวกเราไม่ได้มีผลสุดท้ายที่แน่นอน อาจจะพบ อาจจะไม่พบ อาจจะไปถึง อาจจะไปไม่ถึง อาจจะได้กลับ และอาจจะไม่ได้กลับ” คำท้ายของเขาทอดหางเสียงเบาลงจนธีรารู้สึกใจหายไปด้วย จริงสิ...ทุกคนที่ไปกันเดนอาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก เหมือนอย่างคณะก่อนๆ ที่ไปกัน “ฉันลืมคิดถึงข้อนี้ไป ฉันจะพูดกับเธอใหม่แล้วกันนะคะ” พูดถึงตรงนี้รินเซนก็เดินเข้ามาพร้อมกับคั
หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ “หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา “อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง “ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!” “แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อ
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
“กันเดน” ภิกษุชราผู้มีคิ้วเคราขาวโพลน ร่างซูบผอม ครองจีวรสีแดง เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเหลือบสายตาแจ่มใสที่ดูขัดกับวัยมองหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวผู้มาจากดินแดนอื่น หญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามราวพระโพธิสัตว์ ห่อหุ้มเรือนร่างงามไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์ราคาแพง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมที่พื้นตรงหน้า เธอสบตาภิกษุชราแน่วนิ่ง ท่านยิ้มน้อยๆ อย่างเมตตาการุณย์แล้วกล่าวต่อ “กันเดนเป็นเพียงดินแดนในตำนาน เล่าขานสืบต่อๆ กันมาว่า คนที่ไปถึงจะไม่ได้กลับ ส่วนคนที่กลับมาได้ก็คือคนที่ไปไม่ถึง” “ท่านจะบอกดิฉันว่ามันไม่มีอยู่จริงหรือคะ?” หญิงสาวถาม เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “จริงหรือเท็จอาตมาตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่อาตมารู้ก็คือนานนับพันปีแล้วที่มีคนออกค้นหาดินแดนแห่งนี้ ทว่าส่วนใหญ่ไปแล้วไม่มีใครกลับมา” ภิกษุชราเอ่ยช้าๆ “ส่วนใหญ่ไม่กลับมา ก็หมายความว่ามีส่วนน้อยที่ได้กลับมา” หญิงสาวถาม พยายามจับช่องโหว่ในคำพูดของท่าน ท่านยิ้มพลางเอ่ย “ส่วนน้อยที่กลับมามักจะเป็นซากศพ นอกจาก…” อาการอ้ำอึ้งยิ่งเรียกความสนใจของหญิงสาวมากขึ้น
เณรคังเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเลยถูกจามิลดุเอา เณรน้อยทำคอย่น ถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง ทำให้จามิลคล่องตัวขึ้น เขาบอกธีราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเป็นพระก็จริง แต่พระสงฆ์ที่คีรีมันมีกฎวินัยไม่เหมือนกับพระสงฆ์ที่บ้านเมืองของคุณ ที่คีรีมีนนี่พระสงฆ์แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ หากมีเจตนาบริสุทธิ์หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือ” “หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “คล้าย ๆ กับพระสงฆ์ทิเบตบางนิกายเลย” “ผมขอดูข้อเท้าของคุณหน่อย” จามิลเอ่ยพร้อมกับจับข้อเท้าหญิงสาว ธีราไม่ขัดขืน มองดูเขาถอดรองเท้าบูทสั้นของเธอออกอย่างเบามือด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ พอเขาลองขยับข้อเท้าของเธอ หญิงสาวก็ร้องเบา ๆ “อู๊ย เจ็บ” เขาปล่อยมือข้างที่จับเท้าให้ขยับ แต่มือซ้ายที่ประคองข้อเท้าไว้ไม่ได้ปล่อย “คุณลองขยับเท้าเองดูสิครับ” หญิงสาวทำตาม ผลคือเธอขยับเท้าเองได้ “แต่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ๆ อยู่เลยค่ะ” เธอบอกอาการ จามิลจึงใช้นิ้วมือคลึงข้อเท้า “อดทนหน่อยนะคุณธีรา ถ้าไม่รีบนวดตั้งแต่ตอนนี้มันจะอักเสบไปอีกนาน” หญิงสาวพยักหน้า พยายามไ
ธีราพยายามถามอู๋ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ชายชรายังคงนั่งเหม่อลอยไม่แสดงปฏิกิริยาใดใด หญิงสาวถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็หันไปขอร้องจามิลว่า “คุณช่วยถามเป็นภาษาคีรีมันให้หน่อยสิคะ” “ได้ครับ” จามิลตอบ แล้วหันไปส่งภาษาท้องถิ่นกับชายชราผู้ยังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไร้วิญญาณ เขาพูดภาษาคีรีมันอยู่พักหนึ่ง แต่อู๋ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด “พอทีเถอะ!” รินเซนพูดขัดขึ้น หันมาจ้องธีราเขม็งพลางเอ่ย “คุณกลับไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถามพ่อของฉัน คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพ่อตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” ธีราพยักหน้ารับรู้ก่อนถอนหายใจเบาๆ จามิลส่งภาษาคีรีมันกับรินเซน “ผมขอยืมจามรีหน่อยนะ” “คุณจะเอาไปให้ผู้หญิงไทยขี่ใช่ไหม?” รินเซนถามด้วยภาษาเดียวกัน “ใช่” จามิลตอบ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ให้” รินเซนพูดด้วยทีท่าแง่งอน คังมองคนนั้นทีมองคนนี้ทีแล้วพูดแทรก “งั้นศิษย์พี่จามิลก็ต้องแบกผู้หญิงสวยๆ กลับที่พัก” “ทำไมต้องแบกด้วย?” รินเซนถามเสียงห้วน “ขาเธอเจ็บ” จามิลตอบ “ก็ให้เธอค่อยๆ เดินกลับไปเองสิ” รินเซนพ
“คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันขอจ่ายครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เขาพาฉันไปถึงกันเดนและกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ฉันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด” ธีราบอกล่ามสาวชาวจีนอายุราวสามสิบปี รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาล ให้แปลเป็นภาษาคีรีมันบอกกับชายซึ่งรับอาสาเป็นพรานนำทาง ล่ามสาวหันไปเจรจากับพรานนำทางตัวเล็กแกร็น หน้าเสี้ยม ดวงตาหยี ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปากหนา พอรู้ว่าจะได้รับค่าจ้างก่อนเพียงครึ่งเดียว เขาก็เอะอะโวยวายเสียงดังลั่น จนคนที่นั่งรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรมพากันหันมามองมาเป็นตาเดียว ล่ามสาวรีบแปลเป็นภาษาไทย “หลงบอกว่าถ้าคุณจ่ายไม่ครบ เขาจะไม่นำทางให้” คำเตือนของจามิลดูท่าจะเป็นจริง ธีราเม้มริมฝีปากก่อนยื่นคำขาด “ถ้าเขาไม่ตกลง ก็ให้คืนเงินมัดจำล่วงหน้ามา” ล่ามสาวหันไปเจรจากับหลงอีกรอบก่อนหันมาบอกธีราว่า “เงินนั่นหลงบอกว่าถือเป็นค่าเสียเวลาของเขา” “หมายความว่าเขาไม่ยอมคืนเงินหรือ?” ธีราเอ่ยถาม “ค่ะ” ล่ามสาวรับคำ “สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายจากปากทางเข้าห้องอาหารของโรงแรม ธีราหันไปมอ
“เจ้าจะไปกันเดนรึ?” ภิกษุชราซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมบนตั่งเตี้ยถามจามิลที่คุกเข่าตรงหน้า “ครับ” พระหนุ่มรับคำสั้นๆ “เพราะเหตุไร?” ภิกษุชราเอ่ยถามช้าๆ จามิลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างไตร่ตรองแล้วว่า “ผมเป็นพระสงฆ์ย่อมใฝ่ฝันถึงกันเดน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงครับท่านอาจารย์” ท่านอาจารย์หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนลืมตา “ในชีวิตของอาจารย์มีคนจากไปเพื่อค้นหากันเดนสองรุ่นแล้ว รุ่นแรกคืออาจารย์อากับพระสงฆ์หนุ่มๆ ในยุคนั้นรวมสิบรูป ออกเดินทางจากวัดนี้ไป ตอนนั้นอาจารย์อายุแค่แปดขวบ ยังออกไปโบกไม้โบกมือส่งอาจารย์อาถึงประตูวัด นับจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้เห็นพระทั้งสิบรูปนั้นอีกเลย” ท่านหยุดพูดครู่หนึ่งเหมือนระลึกเหตุการณ์ในอดีต “ส่วนรุ่นที่สองก็คือดอกเตอร์ธีระและคณะ พวกเขาไปกันเกือบสามสิบชีวิต ไปแล้วก็ไม่กลับ จนกระทั่งปีต่อมาจึงมีคนไปพบอู๋นอนสลบอยู่ริมลำธาร อู๋เป็นคนเดียวที่กลับมาได้ แต่กลับมาเหมือนคนไร้วิญญาณ” สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเล่าไม่ได้ทำให้จามิลหวั่นไหว พระหนุ่มยังคงยืนกรานหนักแน่น “ผมอยากไปกันเดนครับ ขอให้ท่าน
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ “หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา “อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง “ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!” “แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อ
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะมุมในห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นสถานที่นัดพบพูดคุยเรื่องงานของคนทั้งสองไปโดยปริยาย พระหนุ่มยกถ้วยชาที่ส่งควันฉุยขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “รินเซนว่าคุณอนุญาตให้เธอไปด้วย” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ “ฉันมีเหตุผลที่ให้รินเซนไปด้วยนะคะ คือ...หนึ่งฉันจะได้มีเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย สองเธอเป็นล่ามให้ฉันแทนคุณหลิงได้ และข้อสุดท้ายเธออาจค้นพบวิธีรักษาพ่อของเธอให้หายจากอาการป่วยได้” จามิลหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่ผมไม่ให้รินเซนไปด้วยแต่แรกก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ การไปค้นหากันเดนของพวกเราไม่ได้มีผลสุดท้ายที่แน่นอน อาจจะพบ อาจจะไม่พบ อาจจะไปถึง อาจจะไปไม่ถึง อาจจะได้กลับ และอาจจะไม่ได้กลับ” คำท้ายของเขาทอดหางเสียงเบาลงจนธีรารู้สึกใจหายไปด้วย จริงสิ...ทุกคนที่ไปกันเดนอาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก เหมือนอย่างคณะก่อนๆ ที่ไปกัน “ฉันลืมคิดถึงข้อนี้ไป ฉันจะพูดกับเธอใหม่แล้วกันนะคะ” พูดถึงตรงนี้รินเซนก็เดินเข้ามาพร้อมกับคั
วิษณุยืนคอยอย่างกระวนกระวายใจในตรอกแคบๆ และสกปรกซึ่งอยู่หลังโรงแรมที่พักที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ครู่หนึ่งก็ปรากฏเงาร่างเพรียวของหญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะมาหาด้วยความระมัดระวังเหมือนกลัวใครจะเห็นเข้า หญิงผู้ใช้หมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของปกเสื้อคลุมศีรษะและบดบังใบหน้าจนเกือบมิดเดินเข้ามาใกล้ “หลิง ทำไมช้านักล่ะ?” วิษณุเอ่ยถามทันที หลิงดึงหมวกคลุมศีรษะลง เปิดเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวและดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งพลางตอบ “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการเปิดเผยการพบปะของพวกเรา?” “นั่นก็ใช่ แต่ผมรักคุณจริงๆ นะ” พร้อมกับคำพูดวิษณุรวบร่างเพรียวมาไว้ในอ้อดกอดแล้วระดมจูบดวงหน้าเรียวถี่ยิบ ล่ามสาวชาวจีนต้องยกมือดันดวงหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนเอ่ยปาก “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณธีราออกจะสวยขนาดนั้น” วิษณุแบะปาก “หึ! สวย สวยเหมือนประติมากรรมหินอ่อนที่จิตรกรเอกของโลกบรรจงแกะสลัก เย็นชืด แข็งทื่อ แตะต้องไม่ได้ อยู่ใกล้แล้วอัดอั้นใจแทบจะระเบิด ไม่เหมือนคุณ คุณมีเลือดมีเนื้อ นุ่มนวลและอบอุ่น เป็นสุดปรารถนาของผม” “แหม ปากหวาน แต่ตอนนี้คุณปล่อยฉันก่อนเถอ
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องอาหารของโรงแรมที่หญิงสาวพัก โดยมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคน คือ หลิง ล่ามสาวชาวจีน และหลง นายพรานนำทาง เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงเศษ ผู้คนในห้องอาหารจึงมีไม่มากนัก นอกจากโต๊ะที่กลุ่มของธีรานั่งแล้วก็มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อค้านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปเท่านั้น “ภรรยาของหลงเอาเงินค่าจ้างของคุณไปใช้มากกว่าครึ่ง หลงเลยเอาเงินส่วนที่เหลือมาคืนคุณก่อน” ล่ามสาวเอ่ยกับธีราเป็นภาษาไทย หลงยิ้มแหยๆ พลางยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งคืนให้ธีรา จามิลเปรยว่า “ดูท่าคุณจะได้เงินส่วนที่เหลือกลับคืนยาก” ธีรายิ้มอย่างเซ็งๆ ก่อนพูด “จะทำยังไงได้ล่ะคะ” “ผมมีวิธีที่ดีกว่าการรอให้เขาคืนเงิน” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “วิธีอะไรคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ “พวกเราจะเดินทางไปกันเดนแต่ยังไม่มีลูกหาบ ก็ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าลูกหาบแล้วคอยหาลูกหาบให้พวกเรา” พระหนุ่มเสนอแนะ “เป็นความคิดที่ดีค่ะ” หญิงสาวเห็นด้วย จามิลจึงพูดภาษาคีรีมันกับหลง “เงินที่เจ้าใช้ไปแล้วพวกเราจะนับเป็นค่าจ้างของเจ้า”
“เจ้าจะไปกันเดนรึ?” ภิกษุชราซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมบนตั่งเตี้ยถามจามิลที่คุกเข่าตรงหน้า “ครับ” พระหนุ่มรับคำสั้นๆ “เพราะเหตุไร?” ภิกษุชราเอ่ยถามช้าๆ จามิลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างไตร่ตรองแล้วว่า “ผมเป็นพระสงฆ์ย่อมใฝ่ฝันถึงกันเดน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงครับท่านอาจารย์” ท่านอาจารย์หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนลืมตา “ในชีวิตของอาจารย์มีคนจากไปเพื่อค้นหากันเดนสองรุ่นแล้ว รุ่นแรกคืออาจารย์อากับพระสงฆ์หนุ่มๆ ในยุคนั้นรวมสิบรูป ออกเดินทางจากวัดนี้ไป ตอนนั้นอาจารย์อายุแค่แปดขวบ ยังออกไปโบกไม้โบกมือส่งอาจารย์อาถึงประตูวัด นับจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้เห็นพระทั้งสิบรูปนั้นอีกเลย” ท่านหยุดพูดครู่หนึ่งเหมือนระลึกเหตุการณ์ในอดีต “ส่วนรุ่นที่สองก็คือดอกเตอร์ธีระและคณะ พวกเขาไปกันเกือบสามสิบชีวิต ไปแล้วก็ไม่กลับ จนกระทั่งปีต่อมาจึงมีคนไปพบอู๋นอนสลบอยู่ริมลำธาร อู๋เป็นคนเดียวที่กลับมาได้ แต่กลับมาเหมือนคนไร้วิญญาณ” สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเล่าไม่ได้ทำให้จามิลหวั่นไหว พระหนุ่มยังคงยืนกรานหนักแน่น “ผมอยากไปกันเดนครับ ขอให้ท่าน
“คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันขอจ่ายครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เขาพาฉันไปถึงกันเดนและกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ฉันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด” ธีราบอกล่ามสาวชาวจีนอายุราวสามสิบปี รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาล ให้แปลเป็นภาษาคีรีมันบอกกับชายซึ่งรับอาสาเป็นพรานนำทาง ล่ามสาวหันไปเจรจากับพรานนำทางตัวเล็กแกร็น หน้าเสี้ยม ดวงตาหยี ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปากหนา พอรู้ว่าจะได้รับค่าจ้างก่อนเพียงครึ่งเดียว เขาก็เอะอะโวยวายเสียงดังลั่น จนคนที่นั่งรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรมพากันหันมามองมาเป็นตาเดียว ล่ามสาวรีบแปลเป็นภาษาไทย “หลงบอกว่าถ้าคุณจ่ายไม่ครบ เขาจะไม่นำทางให้” คำเตือนของจามิลดูท่าจะเป็นจริง ธีราเม้มริมฝีปากก่อนยื่นคำขาด “ถ้าเขาไม่ตกลง ก็ให้คืนเงินมัดจำล่วงหน้ามา” ล่ามสาวหันไปเจรจากับหลงอีกรอบก่อนหันมาบอกธีราว่า “เงินนั่นหลงบอกว่าถือเป็นค่าเสียเวลาของเขา” “หมายความว่าเขาไม่ยอมคืนเงินหรือ?” ธีราเอ่ยถาม “ค่ะ” ล่ามสาวรับคำ “สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายจากปากทางเข้าห้องอาหารของโรงแรม ธีราหันไปมอ
ธีราพยายามถามอู๋ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ชายชรายังคงนั่งเหม่อลอยไม่แสดงปฏิกิริยาใดใด หญิงสาวถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็หันไปขอร้องจามิลว่า “คุณช่วยถามเป็นภาษาคีรีมันให้หน่อยสิคะ” “ได้ครับ” จามิลตอบ แล้วหันไปส่งภาษาท้องถิ่นกับชายชราผู้ยังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไร้วิญญาณ เขาพูดภาษาคีรีมันอยู่พักหนึ่ง แต่อู๋ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด “พอทีเถอะ!” รินเซนพูดขัดขึ้น หันมาจ้องธีราเขม็งพลางเอ่ย “คุณกลับไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถามพ่อของฉัน คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพ่อตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” ธีราพยักหน้ารับรู้ก่อนถอนหายใจเบาๆ จามิลส่งภาษาคีรีมันกับรินเซน “ผมขอยืมจามรีหน่อยนะ” “คุณจะเอาไปให้ผู้หญิงไทยขี่ใช่ไหม?” รินเซนถามด้วยภาษาเดียวกัน “ใช่” จามิลตอบ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ให้” รินเซนพูดด้วยทีท่าแง่งอน คังมองคนนั้นทีมองคนนี้ทีแล้วพูดแทรก “งั้นศิษย์พี่จามิลก็ต้องแบกผู้หญิงสวยๆ กลับที่พัก” “ทำไมต้องแบกด้วย?” รินเซนถามเสียงห้วน “ขาเธอเจ็บ” จามิลตอบ “ก็ให้เธอค่อยๆ เดินกลับไปเองสิ” รินเซนพ
เณรคังเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเลยถูกจามิลดุเอา เณรน้อยทำคอย่น ถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง ทำให้จามิลคล่องตัวขึ้น เขาบอกธีราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเป็นพระก็จริง แต่พระสงฆ์ที่คีรีมันมีกฎวินัยไม่เหมือนกับพระสงฆ์ที่บ้านเมืองของคุณ ที่คีรีมีนนี่พระสงฆ์แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ หากมีเจตนาบริสุทธิ์หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือ” “หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “คล้าย ๆ กับพระสงฆ์ทิเบตบางนิกายเลย” “ผมขอดูข้อเท้าของคุณหน่อย” จามิลเอ่ยพร้อมกับจับข้อเท้าหญิงสาว ธีราไม่ขัดขืน มองดูเขาถอดรองเท้าบูทสั้นของเธอออกอย่างเบามือด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ พอเขาลองขยับข้อเท้าของเธอ หญิงสาวก็ร้องเบา ๆ “อู๊ย เจ็บ” เขาปล่อยมือข้างที่จับเท้าให้ขยับ แต่มือซ้ายที่ประคองข้อเท้าไว้ไม่ได้ปล่อย “คุณลองขยับเท้าเองดูสิครับ” หญิงสาวทำตาม ผลคือเธอขยับเท้าเองได้ “แต่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ๆ อยู่เลยค่ะ” เธอบอกอาการ จามิลจึงใช้นิ้วมือคลึงข้อเท้า “อดทนหน่อยนะคุณธีรา ถ้าไม่รีบนวดตั้งแต่ตอนนี้มันจะอักเสบไปอีกนาน” หญิงสาวพยักหน้า พยายามไ