หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ
“หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา
“อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น
หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง
“ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง
วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!”
“แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย
หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน
หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก”
หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย
วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อของหลง ผลักอกอีกฝ่ายเต็มแรง “ไป จะไปไหนก็นำทางไป ฉันไม่กลัวแกจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมหรอก ถ้าเหลี่ยมจัดมากนักพ่อจะยำให้เละ”
คราวนี้หลงไม่รอให้หลิงแปลความรีบเดินนำเข้าบ้านก่ออิฐที่ยาแนวด้วยมูลสัตว์ มีประตูเพียงบานเดียว ไม่มีหน้าต่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ลมหนาวแทรกตัวเข้ามาได้ ภายในบ้านจึงมีกลิ่นเหม็นอับ
ยิ่งหลงจุดเทียนไขจามรีให้แสงสว่าง กลืนหืนจากควันเทียนก็ยิ่งลอยอวลอยู่ในอากาศ ชวนให้คนไม่คุ้นเคยกลิ่นอย่างวิษณุอึดอัดจนต้องสบถ “เหม็นฉิบ!”
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา” หลิงพูดเร่งรัด
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ทำตามแผนการที่นายวางเอาไว้ แต่เป็นเพราะว่ามีพระจากวัดกัมโปที่เป็นวัดใหญ่ที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในคีรีมัน เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยอย่างนี้ ความเชื่อถือของคนทั่วไปที่มีต่อผมก็เลยลดลง เพราะคนคีรีมันจะเชื่อถือคนเป็นพระมากกว่าคนธรรมดาสามัญอย่างผม แต่ยังมีข่าวลือออกมาสนับสนุนอีกว่า…”
หลิงแปลทุกถ้อยกระทงความให้วิษณุฟัง
ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายหยุดพูด ท่าทางมีลับลมคมใน จึงถามอย่างสนใจ “มีข่าวลืออะไร?”
หลิงถามย้ำเป็นภาษาคีรีมัน หลงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากต้า น้ำเสียงยังไม่คลายความตื่นเต้น พอหลงเล่าจบ วิษณุกับหลิงก็สบตากัน
หลิงถามขึ้นอย่างอยากรู้ “คุณณุว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าคะ?”
วิษณุนึกตรึกตรองอยู่อึดใจหนึ่งก่อนพยักหน้า “มีทางเป็นไปได้ ธีราเก็บจดหมายที่คุณอาส่งมาให้เมื่อสิบปีก่อนเป็นอย่างดี ถ้าเรื่องเป็นอย่างนี้เห็นทีพวกเราจะต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว”
“หมายความว่าคุณเองก็คิดเหมือนกับหลง ว่าแม่น้องสาวแสนสวยของคุณก็อยากได้เพชรเม็ดโตเท่ากำปั้นที่มีเกลื่อนกลาดในกันเดน” หลิงเอ่ยยิ้มๆ
“ธีราคงไม่อยากได้เพชร เธอแค่อยากพบพ่อ แต่ผมรู้แล้วละว่าไอ้พระบ้านั่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการไปกันเดนด้วยจุดประสงค์อะไร นี่ขนาดเป็นพระเป็นเจ้ายังไม่วายมีกิเลส ละโมบอยากได้โคตรเพชร” วิษณุพูดเสียงไม่เบานัก แต่เพราะเขาพูดภาษาไทยชาวบ้านที่ผ่านมาได้ยินเข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“แล้วคุณล่ะ ไม่อยากได้บ้างหรือ?” หลิงถามพลางยิ้มยั่ว
“อยากได้สิ” วิษณุตอบตามตรง “ถ้าผมได้โคตรเพชรมาสักห้า ไม่ใช่สิ สักร้อยเม็ด ผมจะสบายไปทั้งชาติ ไม่ต้องคอยง้องอนเอาใจใคร อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามแต่ใจชอบ”
“งั้นแทนที่จะขัดขวาง พวกเราต้องช่วยให้การไปกันเดนสะดวกยิ่งขึ้น” หลิงเอ่ยพลางเหยียดยิ้ม
“ถูกต้อง” วิษณุพยักหน้าพลางยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย “เธอเองก็อย่าลืมหยิบโคตรเพชรกลับมาหลายๆ ก้อนล่ะ”
หลิงยิ้ม ดวงตาเรียวที่ปลายเฉียงขึ้นเล็กน้อยเป็นประกายวาววับ “งั้นฉันจะบอกให้หลงทำตามที่พระจากวัดกัมโปสั่ง”
“เอาเลย” วิษณุพูดสนับสนุนก่อนเอ่ยต่อว่า “คุณเองก็ควรจะไปบอกธีราว่าขอไปกันเดนด้วย”
ดวงตาล่ามสาวสบตาชายหนุ่มอย่างมาดหมาย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังรัว ขณะธีรายืนสำรวจดูความเรียบร้อยหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
หญิงสาวเอ่ยถามลอยๆ “ใครคะ?”
“ดิฉันอาหลิงค่ะ” เสียงหลิงดังแว่วอยู่หน้าประตูห้องพัก
“รอเดี๋ยวนะคะ” ธีราพูดพลางเดินไปเปิดประตู
“สวัสดีค่ะคุณธีรา” หลิงพูดทักทายด้วยน้ำเสียงสดชื่นทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของห้อง
“สวัสดีค่ะคุณหลิง เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” หญิงสาวยิ้มรับพลางเบี่ยงตัวเปิดทางให้
หลิงเดินเข้าห้องพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนเอ่ยชม “ห้องหอมจังค่ะ”
“ฉันฉีดน้ำหอมปรับอากาศไว้น่ะค่ะ” ธีราตอบก่อนปิดประตูผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดียวของห้อง “เชิญนั่งก่อนสิคะ”
หลิงทำตามอย่างว่าง่าย นั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยก็พูดเข้าเรื่องทันที “ฉันมีเรื่องจะมาปรึกษาคุณ”
“เรื่องอะไรคะ?” ธีราถาม เดินมานั่งลงบนเตียงซึ่งประจันหน้ากับหลิงพอดี
หลิงยิ้มเหมือนเป็นมิตร “ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ เรื่องไปกันเดน ฉันอยากไปด้วยค่ะ”
“จริงหรือคะ? งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้มีล่ามผู้หญิงตั้งสองคน” ธีราพูดอย่างยินดี
หลิงเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้นเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัย “ทำไมถึงมีล่ามสองคนคะ?”
“อ๋อ อีกคนคือรินเซนค่ะ รินเซนเป็นสาวสวยชาวคีรีมันที่พูดไทยได้ดีทีเดียว เธอไปกับพวกเราด้วย ไว้ฉันจะแนะนำให้คุณหลิงรู้จักนะคะ” ธีราอธิบายคร่าวๆ หลิงพยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่ทำไมคุณหลิงถึงได้เปลี่ยนใจละคะ?” ธีราตัดสินใจถาม
คำถามที่ดูไม่สลักสำคัญแต่กลับทำให้หลิงอ้ำอึ้งไปเป็นครู่ นึกสาปแช่งหญิงสาวที่ชื่อรินเซนอยู่ในใจ
นี่ถ้าไม่มีรินเซนเข้ามาแทรกหล่อนก็คงอ้างได้เต็มปากเต็มคำว่าเพราะเป็นห่วงธีราว่าจะไม่มีล่าม แต่เมื่อมีรินเซนหล่อนจึงอ้างได้เพียงแค่ว่า
“ถึงหนทางไปกันเดนจะอันตราย แต่นับเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นมาก ถ้าพลาดโอกาสนี้ คงไม่มีทัวร์คณะไหนไปอีกแล้ว” หลิงตบท้ายอย่างขำขัน
ทว่าธีราทราบดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เพราะตอนสายของวันนี้ หลังจากรินเซนกลับไปแล้ว
พระจามิลก็บอกเธอว่า “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“มีอะไรหรือคะ?” หญิงสาวถาม
“พูดกันที่นี่คงไม่สะดวกนัก อาจมีคนฟังภาษาไทยออก ผมเลยคิดจะชวนคุณชมทิวทัศน์ไปด้วยพูดคุยธุระกันไปด้วย” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ แล้วไม่รอคำตอบเขาลุกจากเก้าอี้เดินมาหน้าโรงแรมที่พักของหญิงสาว
เณรคังวิ่งตามศิษย์พี่ต้อยๆ
ธีราจึงลุกขึ้นเดินตามบ้าง พอถึงหน้าโรงแรมก็เห็นจามิลยืนจูงจามรีตัวหนึ่งอยู่
“คุณคงเดินไม่ไหวแน่ ผมเลยเอาจามรีมาด้วย”
พนักงานโรงแรมหนุ่มรีบยกเก้าอี้ไม่มีพนักมาวางให้หญิงสาวขึ้นเหยียบเพื่อขี่หลังจามรีได้ง่ายๆ ธีราไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด
หญิงสาวขึ้นนั่งหลังจามรีเรียบร้อย จามิลก็จูงจามรีเดิน พระหนุ่มเดินเร็วมาก ผิดจากปกติที่มักทำอะไรช้าๆ เพราะในที่สูงเช่นนี้ สภาพอากาศมีอ๊อกซิเจนน้อย ทำอะไรเร็วๆ จะเหนื่อยง่าย
สิ่งที่ยิ่งน่าแปลกใจก็คือไม่ว่าพระหนุ่มจะเดินเร็วแค่ไหน เณรน้อยกลับเดินตามติดโดยไม่ทิ้งระยะห่าง
คนที่รู้สึกย่ำแย่กลับเป็นธีรา แม้หญิงสาวจะนั่งเฉยๆ อยู่บนหลังจามรี แต่เพราะมันเดินโขยกเขยกเสียจนเธอรู้สึกเหนื่อยและเพลีย
เวลาเกือบชั่วโมง จามิลก็พาทั้งหมดมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำในสระใสราวแก้วเจียระไนและเย็นเฉียบ เพราะเป็นน้ำที่ไหลมาจากการละลายของหิมะบนยอดเขา สามารถเห็นร่องลำธารเล็กๆ ได้รอบสระ ฉากหลังของสระคือเทือกเขาสลับซับซ้อน บนยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุมเป็นสีเงินยวง สะท้อนภาพลงบนสระน้ำอย่างสวยงาม
จามิลจูงจามรีมาหยุดยืนริมสระ พระหนุ่มไม่มีทีท่าเหนื่อยหอบแต่อย่างใด แต่เณรน้อยที่ตามมาติดๆ กลับหอบแฮ็กๆ พลางส่งเสียงเอะอะเป็นภาษาคีรีมัน
จามิลโต้ตอบไปสองสามคำแล้วหันมาเอ่ยกับหญิงสาว “ผมบอกคังว่าถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้ก็อย่าคิดไปกันเดนเลย”
หญิงสาวจำต้องรีบกล้ำกลืนคำบ่นที่มาจ่อถึงริมฝีปากแล้วแทบไม่ทัน ปีนลงจากหลังจามรีมายืนข้างๆ พระหนุ่มและเณรน้อย
“ไหนคุณว่ามีเรื่องจะบอกฉันไงคะ?”
“ครับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอู๋และคณะของพวกเราที่กำลังจะไปกันเดนกัน” จามิลเอ่ยเสียงเรียบ
“อู๋ พ่อของรินเซนที่พูดจากันไม่รู้เรื่องนั่นหรือคะ? แล้วมาเกี่ยวกับคณะที่จะไปกันเดนของฉันได้ยังไงกันคะ?” หญิงสาวยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เมื่อเช้าผมไปหาหลงเลยรู้ว่ามีคนมาสมัครเป็นลูกหาบเยอะมากจนผิดปกติ ทุกคนเต็มใจไปถึงขั้นกระตือรือร้นเลยละ ผมสงสัยจึงลอบสืบดูถึงได้รู้ว่าเพราะว่ามีข่าวลือออกมาว่าอู๋ไม่ได้กลับมามือเปล่า แต่เอาเพชรเม็ดใหญ่เท่าผลส้มกลับมาด้วย และท่านเจ้าอาวาสเก็บรักษาไว้เป็นความลับ ข่าวลือยังมีอีกว่าคุณพ่อของคุณส่งจดหมายและแผนที่ไปกันเดนไปให้คุณเมื่อสิบปีก่อนอีกด้วย” พระหนุ่มเล่า
“จดหมายฉันได้อ่านแล้ว แต่ไม่มีแผนที่อะไรนี่คะ” หญิงสาวกล่าวตามความเป็นจริง
“จะมีได้อย่างไรครับ ในเมื่อแผนที่ที่ลือๆ กัน คุณพ่อของคุณเก็บไว้ที่หอคัมภีร์ในวัดกัมโปนี้เอง และท่านอาจารย์ก็มอบให้ผมแล้วด้วย” พระหนุ่มตอบ
“แล้วเรื่องเพชรละคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
“เพชรที่ว่าไม่มีหรอกครับ เพราะคนปล่อยข่าวลือนี้ก็คือเณรคังเอง” พระหนุ่มเฉลย
“อ้าว” หญิงสาวส่งเสียงร้องพลางหันไปมองเณรน้อย
คังยิ้มแหยๆ พร้อมกับยกมือลูบศีรษะอย่างเขินๆ เพราะรู้ดีว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงตน
“ผมกำลังจนปัญญาเรื่องสืบหาต้นตอข่าวลือ ก็พอดีคังมาหาผมและรับสารภาพว่าเขาเองเป็นคนปล่อยข่าว เพราะอยากให้คนมาสมัครเป็นลูกหาบไปกันเดนกันมากๆ นะครับ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ตกลงคุณธีราให้ฉันไปด้วยนะคะ” เสียงหลิงดังขึ้น ปลุกธีราให้ตื่นจากภวังค์ความคิด“ค่ะ” หญิงสาวตอบ อดชื่นชมไม่ได้ว่าแผนการของเณรคังยอดเยี่ยมไม่ใช่น้อย
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
ขบวนรถแล่นช้าๆ ไปตามทางภูเขาซึ่งทั้งแคบและลื่นเพราะเป็นหินปนกรวด อีกทั้งตลอดเส้นทางยังเปียกชื้นเนื่องจากน้ำละลายจากหิมะบนภูเขา รถจึงแล่นด้วยความเร็วไม่เกินยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามตามธรรมชาติ ด้านหนึ่งเป็นขุนเขา ส่วนอีกด้านเป็นทุ่งนาสลับทุ่งหญ้า ดอกหญ้าสีม่วง สีเหลือง สีคราม และสีขาวบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา ฝูงจามรีและฝูงแกะยืนและเล็มใบหญ้า รถแล่นผ่านทุ่งหญ้า ถัดไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน หุบเหว โตรกธารที่ไหลรวมกันเป็นสระกว้าง มีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง หาดทรายริมสระกว้างบ้างแคบบ้าง ถัดจากหาดทรายมีหญ้าขึ้นปกคลุมเป็นแห่งๆ แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอจะให้ร่มเงา ยิ่งสายแดดยิ่งร้อนแรงจนผู้โดยสารหลายคนในรถต้องรีบคว้าแว่นกันแดดมาสวมรวมทั้งเณรคัง ธีราหันไปเห็นเข้าก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ วิษณุมองตามแล้วพูดจาเหน็บแนมทันที “ฮึ! อย่างกับบ้านนอกเข้ากรุง” “พี่ณุ จะพูดจะจาอะไรระวังปากระวังคำหน่อยได้ไหม?” หญิงสาวกระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคน เพราะวิษณุนั่งอยู่ข้างๆเธอ ทว่าวิษณุกลับตอบกลับ “ก็พี่ไม่ชอบขี้หน้าพวกพระพวกเณรนี
หลังจากสุดเส้นทางที่รถยนต์จะแล่นถึง ผู้โดยสารทุกคนก็ต้องเดินเท้าต่อ แม้ธีรา วิษณุ และหลิงจะไม่ได้แบกสัมภาระอะไร แต่เนื้อตัวก็หนาหนักด้วยเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น จามิลแบกสัมภาระของตนเองพร้อมกับถือไม้เท้าพระธรรมเดินนำหน้าขบวน ตามติดด้วยเณรคังซึ่งแบกสัมภาระพะรุงพะรังไม่แพ้กัน นักบวชต่างวัยครองผ้าขนสัตว์ทับบนจีวรอีกชั้นหนึ่ง ธีราเห็นแล้วก็อดรู้สึกเหน็บหนาวแทนไม่ได้ วิษณุถืออาวุธปืนยาวติดมือและพกปืนสั้นเหน็บเอว แม้อาวุธสองสิ่งนี้จะทำให้หนักกว่าปกติหลายเท่าแต่เขากลับอุ่นใจเมื่อมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ ธีราเดินตามเป็นอันดับสี่ ตามหลังวิษณุ หญิงสาวมองขุนเขาสูงชันสลับซับซ้อนที่ดูราวไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละยอดเขาแซมสีขาวของน้ำแข็งและหิมะเห็นแล้วอดรู้สึกอ่อนใจไม่ได้ เพราะใต้รองเท้าของเธอเหยียบถูกน้ำแข็งบางๆ ที่ทำให้เส้นทางโรยด้วยกรวดหินค่อนข้างลื่น รินเซนและหลิงแบกเป้บรรจุของใช้กระจุกกระจิกส่วนตัวอยู่บนหลัง เดินตามธีรามาติดๆ ต่างชิงกันหวังเดินประกบธีรา เป็นศึกย่อยๆ ที่ไม่มีใครสนใจ บรรดาลูกหาบต่างแบกสัมภาระห่อใหญ่อยู่บนหลัง แม้จะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแต่ดูท
เบื้องหน้าเป็นหุบเหวลึก ส่วนซ้ายขวาเป็นขุนเขาสูงชัน ธีรามองหนทางข้างหน้าแล้วหันมามองจามิล พระหนุ่มผู้นำทางซึ่งบัดนี้ยืนอยู่ข้างเธอ “เรามาถูกทางแน่หรือคะ?” หญิงสาวถามอย่างลังเลใจ “ครับ” จามิลรับคำหนักแน่น “ตามแผนที่ชี้ตรงลงไปในหุบเขา แล้วยังต้องเดินตรงไปอีกราวยี่สิบกิโลเมตร” ธีราเม้มริมฝีปากก่อนจะสารภาพเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “ฉันกลัวความสูง” “อ้อ” จามิลพยักหน้าด้วยแววตาเข้าใจระคนเห็นใจ “ตอนปีนขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หันไปมองข้างหลังก็พอว่า แต่ต้องปีนลงหน้าผาสูงชันแบบนี้ ฉัน…เอ่อ…” หญิงสาวอธิบายไม่ถูก “ไม่ต้องกลัวครับ” จามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวผมจะหาทางพาคุณลงไปข้างล่างเอง คุณเพียงแค่หลับตาเท่านั้นก็พอ” “ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงเลย” หญิงสาวพูดอย่างจนปัญญา “คุณอย่าคิดมากสิครับ” จามิลยังไม่ทันพูดปลอบ วิษณุเดินเข้ามาพลางถามแทรก “มีอะไรหรือน้องธีรา?” “คือ…” ธีราตั้งใจจะตอบว่าเธอเป็นโรคกลัวความสูง แต่จามิลกลับพูดขัดขึ้นเสียก่อนว่า “พวกเราจะต้องไต่หน้าผานี้ลงไปด้านล่าง เลยหารือกันว่าจ
ระยะทางที่เดินในหุบเหวซึ่งขนาบข้างด้วยหน้าผาสองฟากยาวราวยี่สิบกิโลเมตร สิ้นสุดลงตรงหน้าผาชันที่ขวางหน้า ธีราหันมาสบตาจามิลเป็นเชิงถาม พวกเรามากันถูกทางหรือเปล่า? วิษณุพูดโพล่งทันที “นี่พามาผิดทางแน่ๆ” “ผมเทียบแผนที่แล้ว ทางนี้ถูกต้อง พวกเรายังต้องเดินหน้าต่อไปอีก” จามิลยืนยัน วิษณุชี้หน้าผาตรงหน้าพลางพูดเยาะเย้ย “เชอะ ตรงไป เห็นทีต้องขุดหน้าผากันแล้ว” แทนที่จะโกรธ จามิลกลับพูดว่า “คุณพูดจามีเหตุผล” พลางเดินสำรวจหน้าผาตรงหน้า คังเห็นศิษย์พี่สำรวจหน้าผาก็ทำตามบ้าง นักบวชต่างวัยเดินลูบๆ ตบๆ ตามผนังผา ครู่หนึ่งเณรน้อยก็ส่งเสียงเอะอะ “ไอ้เด็กเปรตมันว่าอะไรของมัน?” วิษณุเอ่ยไม่ดังนัก เจตนาจะถามหลิง ธีราได้ยินเข้าก็อดพูดตำหนิไม่ได้ “พี่ณุ ทำไมชอบพูดจาหยาบคายอย่างนี้” “เหอะน่า ยังไงมันก็ฟังไม่รู้เรื่อง” วิษณุพูดอย่างขอไปที “แต่ยังไงก็ไม่สมควรพูด” ธีรายังยืนยันความคิดเดิม วิษณุเลยพาลหงุดหงิด “เออๆ” “เณรว่าเขาพบทางเข้าแล้ว” หลิงพูดแทรก ทั้งหมดจึงหันไปมองเณรน้อย ก็เห็
จามิลถือคบไฟนำทางธีราเข้าไปในถ้ำเป็นคู่แรก วิษณุมองตามด้วยสายตาไม่ประสงค์ดีพร้อมกับสบถลั่น “ห่าเอ๊ย! เดี๋ยวขึ้นเขา เดี๋ยวลงเหว เดี๋ยวลุยหิมะ เดี๋ยวมุดถ้ำ เมื่อไรจะถึงสักทีวะ” ก่อนจะหยิบไฟฉายคาดหน้าผากมาสวมเพื่อส่องทาง หลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำตามบ้างพลางกระซิบ “หึงล่ะสิ?” “ผมไม่ชอบที่มันทำตัวใกล้ชิดธีรามากเกินไป” วิษณุพูดจาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นั่นแหละความรู้สึกที่เรียกว่าหึง” หลิงพูดพลางแกล้งยั่ว “พระคีรีมันไม่เหมือนพระเมืองจีนที่บวชแล้วบวชเลยไม่ค่อยสึก และก็ไม่เหมือนพระทิเบตบางนิกายที่มีภรรยาทั้งๆ ที่เป็นพระได้ แต่พระคีรีมันสึกออกไปครองเรือนมีเปอร์เซ็นต์สูงมาก” “คุณมาบอกผมทำไม?” วิษณุถามน้ำเสียงหงุดหงิด “เตือนให้คุณระวังเอาไว้ ดีไม่ดีแม่น้องสาวแสนสวยของคุณจะถูกพระคีรีมันฉกเอาไปครอง” หลิงพูดกึ่งประชดกึ่งแหย่ วิษณุสีหน้าบึ้งตึงก่อนพูดเสียงแข็ง “รอให้ไปถึงกันเดนก่อนเถอะ” มือขยับแตะปืนพกข้างเอวพลางกระซิบลอดไรฟัน “จะส่งมันไปสวรรค์” “คุณมองตาของผมนะ” จามิลกล่าวเสียงทุ้มลึก ธีรารู้สึกว่าเสียงนั้นซอกซอนเข
“ยืนอยู่กับที่ ใครอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น” เสียงจามิลดังกึกก้องเรียกสติของคนอีกหลายคนที่กำลังหวาดกลัวให้กลับคืนมา กรี๊ดดดดด! เสียงเหมือนคนกรีดร้องดังโหยหวน สะท้อนอึงอลจากไกลมาใกล้อย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องกลัว เสียงลม” ฉับพลัน พึ่บบบบบ! กระแสลมกระโชกโหมมาจากอุโมงค์อย่างแรง ทำให้คบไฟที่จามิลและลูกหาบถืออยู่ดับลงทันที เสียงเอะอะของพวกลูกหาบดังขึ้นอีกครา หลายคนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่จำแนกทิศทาง “บอกให้อยู่กับที่!” จามิลตวาดลั่น เห็นความเคลื่อนไหวรางๆ จากแสงไฟฉายคาดหน้าผากของวิษณุและหลิง ทั้งสองหนุ่มสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความหวาดกลัว “เจ้าเขาเจ้าถ้ำกำลังโกรธพวกเราแน่ๆ ที่รุกล้ำเข้ามา” หลงเอ่ยเสียงสั่น “เหลวไหล” จามิลพูดตัดบทเสียงห้วน ทำให้หลงไม่กล้าพูดอะไรต่อ “จุดคบไฟ” พระหนุ่มสั่ง คบไฟในมือลูกหาบที่เหลือและในมือจามิลถูกจุดขึ้นอีกครั้ง จามิลนับลูกหาบที่เหลือแล้วกล่าวเป็นภาษาคีรีมัน “ตอนนี้ลูกหาบเหลืออยู่เจ็ดคน พวกที่วิ่งหนีทิ้งสัมภาระเอาไว้ เส้นทางวกวนของที่
ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่อกจามิล แต่แทนที่จะทะลุทะลวงเนื้อผ้าหรือเนื้อคน กลับกระดอนกลับเพราะปะทะเกราะพลังปราณ เปรี๊ยะ! ลูกกระสุนกระดอนไปถูกเพดานถ้ำ ฝุ่นหินร่วงพรูลงมาบริเวณที่ลูกกระสุนฝังตัวและระเบิดออก ทุกคนยกเว้นพระหนุ่มล้วนอยู่ในอาการตกตะลึง ทั่วทั้งถ้ำเงียบกริบ “ปืนของคุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก” จามิลเอ่ยทำลายความเงียบ “กูไม่เชื่อ!” วิษณุที่หายตะลึง ตะโกนก้องพร้อมกับเหนี่ยวไกอีกสองนัดซ้อน ปัง! ปัง! “อย่า!” ธีราที่เพิ่งได้สติรีบร้องห้าม กระสุนทั้งสองนัดไม่ต่างอะไรจากนัดแรก กระดอนขึ้นเจาะเพดานถ้ำอีกครั้ง วิษณุอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนร้องคราง “ไม่น่าเชื่อ” “หยุดเดี๋ยวนี้นะพี่ณุ” ธีราตวาดลั่น ทันใด… “ฮิๆๆๆ ซุบซิบๆๆ” เหมือนเสียงผู้หญิงหัวเราะแหลมเย็น ตามด้วยเสียงคนกระซิบกระซาบดังก้อง “หลงแหละทุกคน หยิบไฟฉายออกมาใช้ เดี๋ยวลมจะมาอีกระลอก” จามิลสั่งเป็นภาษาคีรีมันก่อนจะหันมาพูดกับธีราเป็นภาษาไทย “พวกเราต้องใช้ไฟฉายแทนคบไฟแล้วละครับ เพราะกระแสลมจะพัดคบไฟดับ” ธีรารีบปล
ธีราหน้าซีดเผือด หันมาสบตาจามิลอย่างกังวล แต่พระหนุ่มยังคงวางตัวนิ่งเฉยไม่แสดงทีท่ากระวนกระวายใจแต่อย่างไร “ขอบคุณที่เตือน แต่พวกเราตั้งใจจะไปกันเดนให้ได้” จามิลพูดกับพญานาคราช “หนทางไม่ใช่ไปได้โดยง่าย” พญานาคราชเอ่ย ธีราลอบถอนหายใจ เมื่อครู่เธอเข้าใจผิดคิดว่าพญานาคราชจะทำร้ายเธอและคณะ แท้จริงเขาเพียงไม่เห็นด้วยกับการเดินทางไปยังกันเดนของเธอและคณะเท่านั้น “ผมทราบครับ แต่พวกเราไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่” จามิลพูดน้ำเสียงหนักแน่น “และผมต้องขอโทษแทนทุกคนด้วยที่มารบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่านในถ้ำนั้น” “ช่างเถอะ เรากำลังออกจากฌานพอดี” พญานาคราชตอบอย่างไม่ถือสาหาความ “แล้วคนที่มาพร้อมพวกเราละคะ?” ธีราเอ่ยถาม “เจ้าอยากพบคนพวกนั้นไหม?” พญานาคราชหันมาถามหญิงสาว “อยากค่ะ” หญิงสาวรับคำ “ก็ได้ เราจะให้นำคนพวกนั้นมาพบเจ้าเดี๋ยวนี้” พญานาคราชพูดพลางหันไปออกคำสั่งชายประหลาด “ยะมะ เจ้าไปนำพวกนั้นมา” “พ่ะย่ะค่ะ” ยะมะน้อมคำนับรับคำแล้วเดินผละจากไปอย่างว่องไว หลังจากยะมะออกไปแล้ว ธีราก็พนมม
“ท่านต้องการอะไร?” จามิลเบี่ยงตัวเข้าขวางเบื้องหน้าธีราพลางเอ่ยถามชายประหลาดผู้นั้น ชายผู้นั้นไม่ตอบเพียงเดินวนและมองชายหนุ่มหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณาหนึ่งรอบแล้วออกคำสั่ง “ตามข้ามา” ก่อนจะเดินลงน้ำผลุบหายไปต่อหน้าต่อตา จามิลจะก้าวตาม ธีรารีบรั้งแขนของเขาไว้ “นั่นคนหรืออะไรคะ?” พระหนุ่มจึงชะงักฝีเท้าหันกลับมาตอบ “คงจะเป็นชนเผ่านาคา” “คุณจะตามเขาไปจริงๆ เหรอคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ จามิลค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางเอ่ย “พวกเราอยู่ในถิ่นของเขา อะไรที่ดูไม่น่ามีพิษมีภัยก็ควรทำตามที่เขาสั่งไปก่อน” ทั้งสองหยุดสนทนาเมื่อเห็นชายประหลาดผู้นั้นโผล่เหนือน้ำพลางพูดเร่งรัด “อย่าชักช้า ตามข้ามาเดี๋ยวนี้” แล้วผลุบกลับลงไปใหม่ จามิลจูงมือธีราพลางว่า “พวกเราไปกันเถอะ ผมอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเน้นท้ายประโยคเพราะสัมผัสรับรู้ว่ามือของหญิงสาวสั่นระริก ธีราเดินตามพระหนุ่มลงน้ำ พอดำลงไปจึงรู้ว่าใต้น้ำมีอุโมงค์ที่ผนังส่องแสงสว่างระยิบระยับ อุโมงค์ทอดตัวไม่ยาวนัก เพียงอึดใจก็โผล่มาที่คูหาถ้ำแห่งหนึ่ง ชายปร
คูหาถ้ำตรงหน้าไม่ได้มืดมิดเพราะมีแสงสว่างส่องเล็ดลอดจากเพดานถ้ำลงมา แสงสว่างส่องกระทบผนังถ้ำจนดูเหมือนครอบด้วยแก้วใสอีกชั้นหนึ่ง เกิดการหักเหและสะท้อนไปมาของแสงมากมายนับพันนับหมื่นลำแสง ทั้งถ้ำสว่างไสว ส่วนพื้นถ้ำเป็นน้ำ แต่เป็นน้ำที่แข็งตัวราวกระจกใส สิ่งที่ทำให้ทุกคนยืนตะลึงจนตัวแข็งทื่อก็คือบนพื้นน้ำราวกระจกใสปรากฏงูยักษ์ตัวหนึ่ง เกล็ดเขียวราวมรกต ดวงตาสีแดงดังทับทิม มีหงอน เคราครีบหลัง และครีบหางสีแดงสดใส “นาค” จามิลกระซิบบอกธีราเสียงแผ่ว ไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดอ่านทำอะไร วิษณุกลับสาดกระสุนปืนใส่งูยักษ์หรือนาคตัวนั้นชนิดไม่ยั้ง ปัง! ปัง! ปัง! งูยักษ์แผ่พังพานมหึมาเหมือนโกรธ แม้ลูกกระสุนจะไม่ระคายผิวมันปลาบก็ตามที ก่อนจะหุบพังพานพุ่งตัวขึ้นสู่เบื้องบนอากาศแล้ววกกลับ หมุนควงสว่านพุ่งสู่พื้นน้ำ ตูมมมมม! พื้นน้ำแตกกระจาย น้ำใสราวกระจกเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำธรรมดา พร้อมกันนั้นที่เห็นเหมือนแก้วใสครอบผนังถ้ำก็แปรเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำไหลลงมาอย่างเร็วและแรง กระแสน้ำพัดพาทุกคนไหลลงไปรวมกันยังพื้นน้ำกลางถ้ำ ที่ขณะนี้กลายเป
“แย่แล้ว!” ธีราอุทานลั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เธอมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทิ้งกระติกน้ำที่ไม่ได้หมุนเกลียวปิดฝาให้สนิทไว้กับพื้น หญิงสาวกราดไฟฉายเพื่อมองหากระติกน้ำก็เห็นล้มกลิ้งอยู่กับพื้น ฝาเผยอเปิด น้ำนองพื้น เธอรีบคว้ากระติกน้ำขึ้น น้ำหนักเบามือทำให้รู้ว่าน้ำหกหมด ธีราหันไปสบตาจามิลด้วยสายตาขอลุแก่โทษ เธอน่าจะถนอมน้ำดื่มที่เขามีน้ำใจหยิบยื่นให้ให้ดีกว่านี้ พระหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเป็นนัยว่าไม่เป็นไร ก่อนหันไปคว้าสัมภาระขึ้นหลังและโบกมือให้สัญญาณเดินทางต่อ ธีรารีบหยิบสัมภาระส่วนตัวขึ้นแบกแล้วเดินตามเงียบๆ “อุ๊ย!” รินเซนอุทานเบาๆ หล่อนลืมตัวใช้มือข้างที่บาดเจ็บคว้าสัมภาระ “ผมช่วย” ต้าขันอาสา ชิงคว้าสัมภาระของรินเซนขึ้นหลังรวมกับสัมภาระที่ตัวเองแบกอยู่จนดูพะรุงพะรังน่าขัน รินเซนค้อนควักก่อนเร่งฝีเท้าตามติดธีรา ต้าเดินตามรินเซน ตามติดด้วยหลิง วิษณุ และหลง “ซวยฉิบ เดินทางโดยไม่มีแผนที่ อีกกี่ชาติจะไปถึงกันเดนวะ” วิษณุบ่นกระปอดกระแปดไม่เลิกรา หลิงรีบดึงแขนเสื้อวิษณุเพื่อให้เขาเดินช้าลง พอทอดระยะห
หลิงมีฝีมือในการต่อสู้เหนือกว่าวิษณุมาก ทำให้จามิลไม่อาจสยบหล่อนได้ในเวลาอันรวดเร็ว วิษณุคิดอยากเข้าไปช่วยหลิงกลุ้มรุมกินโต๊ะพระหนุ่ม แต่การต่อสู้ของทั้งสองรวดเร็วเสียจนเขาดูไม่ทันจึงไม่มีจังหวะเข้าไปร่วมวง ส่วนต้ารีบปลดสัมภาระลงจากหลังค้นหายาใส่แผลและผ้าพันแผลอย่างรีบเร่ง พอหาเจอก็รีบห้ามเลือดให้รินเซนทันที “เจ็บมากไหมครับ?” ต้าถามเบาๆ อย่างห่วงใย ทว่ารินเซนไม่สนใจฟัง มัวแต่ใจจดใจจ่อกับการต่อสู้ระหว่างจามิลกับหลิง แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกร้องลั่น “โอ๊ะ! โหย” เพราะเจ็บแสบบริเวณบาดแผลจึงหันมามอง เห็นต้าใช้สำลีชุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดบริเวณบาดแผล หล่อนสะบัดมือพลางค้อนควัก “อดทนหน่อยนะครับ แผลจะได้หายเร็วๆ” ต้าพูดปลอบ ยังคงกุมข้อมืออีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย ขณะรินเซนยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดี หางตาก็เห็นการต่อสู้เปลี่ยนไป หลิงพลาดท่าถูกจามิลกางมือขวาขยุ้มบนไหล่ขวาและกดลงจนหล่อนต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพราะต้านแรงไม่ไหว วิษณุชักปืนสั้นหวังจะช่วยคู่ขาสาวอีกแรง แต่ธีราที่จับตามองเขาตลอดเวลาชักปืนสั้นยิงลงพื้นสกัด
แผนที่แผ่นนั้นวางหราบนพื้นต่อหน้าทุกคน ไฟฉายสามดวงส่องตรงลงบนแผนที่ก็เห็นเส้นทางคดเคี้ยวและตัวอักษรยึกยือซึ่งเป็นภาษาคีรีมัน พิจารณาแผนที่ครู่หนึ่ง หลิง รินเซน หลง และต้า ต่างมีสีหน้าผิดหวัง “หมายความว่ายังไง?” หลิงเอ่ยถามจามิล “มีอะไรผิดปกติรึหลิง?” วิษณุถาม “แผนที่นี้ชี้เส้นทางมาแค่ถ้ำที่มีอุโมงค์ทางแยกห้าแพร่งเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ไม่มีเส้นทางแสดงไว้เลย” หลิงตอบเสียงสั่น วิษณุกระชากคอเสื้อจามิลพลางตะคอกถาม “มึงเอาแผนที่ปลอมมาหลอกกูเหรอ?” พระหนุ่มกำข้อมือวิษณุแล้วออกแรงบีบ พลันมือวิษณุก็อ่อนแรง“ผมไม่ได้หลอกคุณหรือหลอกใคร” จามิลตอบเสียงเข้ม พลางคลายมือจากข้อมือของวิษณุ ญาติผู้พี่ของธีราไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีก และพยายามระงับโทสะ “ตกลงมันยังไงกันแน่ แล้วแผนที่ที่คุณอาธีระส่งมาให้น้องธีราล่ะ?” “ไม่มีแผนที่ที่ว่านั่น” ธีราตอบเสียงเบา รู้สึกผิดหวังไม่น้อยไปกว่าคนอื่น “หมายความว่าไงที่ว่าไม่มีแผนที่ที่ว่า?” วิษณุกับหลิงถามแทบจะพร้อมกัน “ฉันได้รับจดหมายจากคุณพ่อก็จริง แต่ท่านไม่ได้ส่งแผนที่มาให้ ท่านเ
สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นสิ่งที่ธีราคาดไม่ถึงมาก่อน ลำธารลาวาเดือดปุดๆ ไหลขวางอยู่ในร่องเหวลึกตรงหน้า ควันและกลิ่นกำมะถันฉุนคละคลุ้ง บางครั้งบางคราวก็ปะทุเปลวไฟขึ้นเป็นระยะๆ แสงสว่างจากลาวาและเปลวไฟส่องให้เห็นผนังหินตะปุ่มตะป่ำทั้งสองฟากของหุบเหวลาวา ทุกคนในคณะเดินทางยกเว้นจามิลต่างสำลักควัน ส่งเสียงไอค็อกแค็กน้ำหูน้ำตาเล็ดเพราะแสบเคืองตา “โว้ย! แสบจมูกแสบตาเป็นบ้า นี่คุณ รีบๆ หาทางพาพวกเราออกไปให้พ้นจากนรกตรงนี้เร็วๆ เข้า” วิษณุส่งเสียงโวยวาย แม้ธีราจะไม่ชอบใจคำพูดของญาติผู้พี่นัก แต่จุดประสงค์ของเธอก็เป็นทำนองเดียวกัน จึงไม่ออกปากว่ากล่าวแต่อย่างไร ด้วยไม่อยากสูดควันและกลิ่นฉุนกึกเข้าปอดโดยไม่จำเป็น “พวกเราเดินเลียบไปทางขวามือ ตรงนั้นดูเหมือนจะมีทางข้าม” พระหนุ่มบอกเสียงเรียบแล้วเดินนำไป ธีราเดินตามไปติดๆ ตามด้วยวิษณุ หลิง รินเซน และคณะลูกหาบ ทางข้ามที่จามิลว่ามีลักษณะเป็นแท่งหินล้มพาดหน้าผาทั้งสองฟาก พระหนุ่มเอื้อมมือมากุมมือธีราแล้วออกแรงดึงเธอให้ไต่แท่งหินตามเขาไป แค่เห็นระดับความสูงของแท่งหินหญิงสาวมืออ่อนเท้าอ่อ
จามิลส่องไฟฉายในมือกราดไปทั่วเพื่อมองหาเณรน้อย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าร้อนใจ “จริงด้วย เณรคังหายไป ผมก็มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องลูกหาบจนลืมนึกถึง” “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?” ธีราถามอย่างกังวลใจไม่น้อย “ขอผมเดินสำรวจดูหน่อยว่าเณรน่าจะเดินหลงไปเส้นทางไหน” จามิลเอ่ยหลังจากนิ่งคิดครู่หนึ่ง “อ้อ นี่จะตามหาเณรหรือ? ทีลูกหาบมึง…เอ๊ย…คุณจามิลไม่เห็นสนใจจะตามหาบ้างเลย” วิษณุพูดประชด “พอทีเถอะน่าพี่ณุ” ธีราพูดปราม “ฉันเห็นด้วยกับคุณจามิล เณรคังยังเด็กอยู่ ยังไงพวกเราก็สมควรต้องตามหา” จามิลมองหญิงสาวอย่างนึกขอบคุณ แต่ไม่เอ่ยอะไร เขาเดินสำรวจเส้นทางแยกห้าแพร่งนั้นอย่างละเอียดก็เห็นปากทางแยกแห่งหนึ่ง ที่แง่งหินมีเศษผ้าจีวรติดอยู่ พระหนุ่มก้มลงหยิบเศษผ้าจีวรจากแง่งหิน ในขณะที่ธีราและรินเซนเดินเข้ามาสมทบ “คังคงวิ่งหนีเตลิดไปทางนี้” พระหนุ่มพูดพลางชูสิ่งของในมือให้สองสาวดู “งั้นเราออกตามหาเณรคังก่อนแล้วค่อยย้อนกลับมาค้นหากันเดน” ธีราเสนอแนะ “คงต้องเป็นอย่างนั้น” จามิลรับคำ ทว่าลูกห
ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่อกจามิล แต่แทนที่จะทะลุทะลวงเนื้อผ้าหรือเนื้อคน กลับกระดอนกลับเพราะปะทะเกราะพลังปราณ เปรี๊ยะ! ลูกกระสุนกระดอนไปถูกเพดานถ้ำ ฝุ่นหินร่วงพรูลงมาบริเวณที่ลูกกระสุนฝังตัวและระเบิดออก ทุกคนยกเว้นพระหนุ่มล้วนอยู่ในอาการตกตะลึง ทั่วทั้งถ้ำเงียบกริบ “ปืนของคุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก” จามิลเอ่ยทำลายความเงียบ “กูไม่เชื่อ!” วิษณุที่หายตะลึง ตะโกนก้องพร้อมกับเหนี่ยวไกอีกสองนัดซ้อน ปัง! ปัง! “อย่า!” ธีราที่เพิ่งได้สติรีบร้องห้าม กระสุนทั้งสองนัดไม่ต่างอะไรจากนัดแรก กระดอนขึ้นเจาะเพดานถ้ำอีกครั้ง วิษณุอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนร้องคราง “ไม่น่าเชื่อ” “หยุดเดี๋ยวนี้นะพี่ณุ” ธีราตวาดลั่น ทันใด… “ฮิๆๆๆ ซุบซิบๆๆ” เหมือนเสียงผู้หญิงหัวเราะแหลมเย็น ตามด้วยเสียงคนกระซิบกระซาบดังก้อง “หลงแหละทุกคน หยิบไฟฉายออกมาใช้ เดี๋ยวลมจะมาอีกระลอก” จามิลสั่งเป็นภาษาคีรีมันก่อนจะหันมาพูดกับธีราเป็นภาษาไทย “พวกเราต้องใช้ไฟฉายแทนคบไฟแล้วละครับ เพราะกระแสลมจะพัดคบไฟดับ” ธีรารีบปล