หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ
“หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา
“อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น
หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง
“ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง
วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!”
“แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย
หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน
หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก”
หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย
วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อของหลง ผลักอกอีกฝ่ายเต็มแรง “ไป จะไปไหนก็นำทางไป ฉันไม่กลัวแกจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมหรอก ถ้าเหลี่ยมจัดมากนักพ่อจะยำให้เละ”
คราวนี้หลงไม่รอให้หลิงแปลความรีบเดินนำเข้าบ้านก่ออิฐที่ยาแนวด้วยมูลสัตว์ มีประตูเพียงบานเดียว ไม่มีหน้าต่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ลมหนาวแทรกตัวเข้ามาได้ ภายในบ้านจึงมีกลิ่นเหม็นอับ
ยิ่งหลงจุดเทียนไขจามรีให้แสงสว่าง กลืนหืนจากควันเทียนก็ยิ่งลอยอวลอยู่ในอากาศ ชวนให้คนไม่คุ้นเคยกลิ่นอย่างวิษณุอึดอัดจนต้องสบถ “เหม็นฉิบ!”
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา” หลิงพูดเร่งรัด
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ทำตามแผนการที่นายวางเอาไว้ แต่เป็นเพราะว่ามีพระจากวัดกัมโปที่เป็นวัดใหญ่ที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในคีรีมัน เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยอย่างนี้ ความเชื่อถือของคนทั่วไปที่มีต่อผมก็เลยลดลง เพราะคนคีรีมันจะเชื่อถือคนเป็นพระมากกว่าคนธรรมดาสามัญอย่างผม แต่ยังมีข่าวลือออกมาสนับสนุนอีกว่า…”
หลิงแปลทุกถ้อยกระทงความให้วิษณุฟัง
ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายหยุดพูด ท่าทางมีลับลมคมใน จึงถามอย่างสนใจ “มีข่าวลืออะไร?”
หลิงถามย้ำเป็นภาษาคีรีมัน หลงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากต้า น้ำเสียงยังไม่คลายความตื่นเต้น พอหลงเล่าจบ วิษณุกับหลิงก็สบตากัน
หลิงถามขึ้นอย่างอยากรู้ “คุณณุว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าคะ?”
วิษณุนึกตรึกตรองอยู่อึดใจหนึ่งก่อนพยักหน้า “มีทางเป็นไปได้ ธีราเก็บจดหมายที่คุณอาส่งมาให้เมื่อสิบปีก่อนเป็นอย่างดี ถ้าเรื่องเป็นอย่างนี้เห็นทีพวกเราจะต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว”
“หมายความว่าคุณเองก็คิดเหมือนกับหลง ว่าแม่น้องสาวแสนสวยของคุณก็อยากได้เพชรเม็ดโตเท่ากำปั้นที่มีเกลื่อนกลาดในกันเดน” หลิงเอ่ยยิ้มๆ
“ธีราคงไม่อยากได้เพชร เธอแค่อยากพบพ่อ แต่ผมรู้แล้วละว่าไอ้พระบ้านั่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการไปกันเดนด้วยจุดประสงค์อะไร นี่ขนาดเป็นพระเป็นเจ้ายังไม่วายมีกิเลส ละโมบอยากได้โคตรเพชร” วิษณุพูดเสียงไม่เบานัก แต่เพราะเขาพูดภาษาไทยชาวบ้านที่ผ่านมาได้ยินเข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“แล้วคุณล่ะ ไม่อยากได้บ้างหรือ?” หลิงถามพลางยิ้มยั่ว
“อยากได้สิ” วิษณุตอบตามตรง “ถ้าผมได้โคตรเพชรมาสักห้า ไม่ใช่สิ สักร้อยเม็ด ผมจะสบายไปทั้งชาติ ไม่ต้องคอยง้องอนเอาใจใคร อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามแต่ใจชอบ”
“งั้นแทนที่จะขัดขวาง พวกเราต้องช่วยให้การไปกันเดนสะดวกยิ่งขึ้น” หลิงเอ่ยพลางเหยียดยิ้ม
“ถูกต้อง” วิษณุพยักหน้าพลางยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย “เธอเองก็อย่าลืมหยิบโคตรเพชรกลับมาหลายๆ ก้อนล่ะ”
หลิงยิ้ม ดวงตาเรียวที่ปลายเฉียงขึ้นเล็กน้อยเป็นประกายวาววับ “งั้นฉันจะบอกให้หลงทำตามที่พระจากวัดกัมโปสั่ง”
“เอาเลย” วิษณุพูดสนับสนุนก่อนเอ่ยต่อว่า “คุณเองก็ควรจะไปบอกธีราว่าขอไปกันเดนด้วย”
ดวงตาล่ามสาวสบตาชายหนุ่มอย่างมาดหมาย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังรัว ขณะธีรายืนสำรวจดูความเรียบร้อยหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
หญิงสาวเอ่ยถามลอยๆ “ใครคะ?”
“ดิฉันอาหลิงค่ะ” เสียงหลิงดังแว่วอยู่หน้าประตูห้องพัก
“รอเดี๋ยวนะคะ” ธีราพูดพลางเดินไปเปิดประตู
“สวัสดีค่ะคุณธีรา” หลิงพูดทักทายด้วยน้ำเสียงสดชื่นทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของห้อง
“สวัสดีค่ะคุณหลิง เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” หญิงสาวยิ้มรับพลางเบี่ยงตัวเปิดทางให้
หลิงเดินเข้าห้องพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนเอ่ยชม “ห้องหอมจังค่ะ”
“ฉันฉีดน้ำหอมปรับอากาศไว้น่ะค่ะ” ธีราตอบก่อนปิดประตูผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดียวของห้อง “เชิญนั่งก่อนสิคะ”
หลิงทำตามอย่างว่าง่าย นั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยก็พูดเข้าเรื่องทันที “ฉันมีเรื่องจะมาปรึกษาคุณ”
“เรื่องอะไรคะ?” ธีราถาม เดินมานั่งลงบนเตียงซึ่งประจันหน้ากับหลิงพอดี
หลิงยิ้มเหมือนเป็นมิตร “ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ เรื่องไปกันเดน ฉันอยากไปด้วยค่ะ”
“จริงหรือคะ? งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้มีล่ามผู้หญิงตั้งสองคน” ธีราพูดอย่างยินดี
หลิงเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้นเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัย “ทำไมถึงมีล่ามสองคนคะ?”
“อ๋อ อีกคนคือรินเซนค่ะ รินเซนเป็นสาวสวยชาวคีรีมันที่พูดไทยได้ดีทีเดียว เธอไปกับพวกเราด้วย ไว้ฉันจะแนะนำให้คุณหลิงรู้จักนะคะ” ธีราอธิบายคร่าวๆ หลิงพยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่ทำไมคุณหลิงถึงได้เปลี่ยนใจละคะ?” ธีราตัดสินใจถาม
คำถามที่ดูไม่สลักสำคัญแต่กลับทำให้หลิงอ้ำอึ้งไปเป็นครู่ นึกสาปแช่งหญิงสาวที่ชื่อรินเซนอยู่ในใจ
นี่ถ้าไม่มีรินเซนเข้ามาแทรกหล่อนก็คงอ้างได้เต็มปากเต็มคำว่าเพราะเป็นห่วงธีราว่าจะไม่มีล่าม แต่เมื่อมีรินเซนหล่อนจึงอ้างได้เพียงแค่ว่า
“ถึงหนทางไปกันเดนจะอันตราย แต่นับเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นมาก ถ้าพลาดโอกาสนี้ คงไม่มีทัวร์คณะไหนไปอีกแล้ว” หลิงตบท้ายอย่างขำขัน
ทว่าธีราทราบดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เพราะตอนสายของวันนี้ หลังจากรินเซนกลับไปแล้ว
พระจามิลก็บอกเธอว่า “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“มีอะไรหรือคะ?” หญิงสาวถาม
“พูดกันที่นี่คงไม่สะดวกนัก อาจมีคนฟังภาษาไทยออก ผมเลยคิดจะชวนคุณชมทิวทัศน์ไปด้วยพูดคุยธุระกันไปด้วย” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ แล้วไม่รอคำตอบเขาลุกจากเก้าอี้เดินมาหน้าโรงแรมที่พักของหญิงสาว
เณรคังวิ่งตามศิษย์พี่ต้อยๆ
ธีราจึงลุกขึ้นเดินตามบ้าง พอถึงหน้าโรงแรมก็เห็นจามิลยืนจูงจามรีตัวหนึ่งอยู่
“คุณคงเดินไม่ไหวแน่ ผมเลยเอาจามรีมาด้วย”
พนักงานโรงแรมหนุ่มรีบยกเก้าอี้ไม่มีพนักมาวางให้หญิงสาวขึ้นเหยียบเพื่อขี่หลังจามรีได้ง่ายๆ ธีราไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด
หญิงสาวขึ้นนั่งหลังจามรีเรียบร้อย จามิลก็จูงจามรีเดิน พระหนุ่มเดินเร็วมาก ผิดจากปกติที่มักทำอะไรช้าๆ เพราะในที่สูงเช่นนี้ สภาพอากาศมีอ๊อกซิเจนน้อย ทำอะไรเร็วๆ จะเหนื่อยง่าย
สิ่งที่ยิ่งน่าแปลกใจก็คือไม่ว่าพระหนุ่มจะเดินเร็วแค่ไหน เณรน้อยกลับเดินตามติดโดยไม่ทิ้งระยะห่าง
คนที่รู้สึกย่ำแย่กลับเป็นธีรา แม้หญิงสาวจะนั่งเฉยๆ อยู่บนหลังจามรี แต่เพราะมันเดินโขยกเขยกเสียจนเธอรู้สึกเหนื่อยและเพลีย
เวลาเกือบชั่วโมง จามิลก็พาทั้งหมดมาถึงสระน้ำแห่งหนึ่ง น้ำในสระใสราวแก้วเจียระไนและเย็นเฉียบ เพราะเป็นน้ำที่ไหลมาจากการละลายของหิมะบนยอดเขา สามารถเห็นร่องลำธารเล็กๆ ได้รอบสระ ฉากหลังของสระคือเทือกเขาสลับซับซ้อน บนยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุมเป็นสีเงินยวง สะท้อนภาพลงบนสระน้ำอย่างสวยงาม
จามิลจูงจามรีมาหยุดยืนริมสระ พระหนุ่มไม่มีทีท่าเหนื่อยหอบแต่อย่างใด แต่เณรน้อยที่ตามมาติดๆ กลับหอบแฮ็กๆ พลางส่งเสียงเอะอะเป็นภาษาคีรีมัน
จามิลโต้ตอบไปสองสามคำแล้วหันมาเอ่ยกับหญิงสาว “ผมบอกคังว่าถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้ก็อย่าคิดไปกันเดนเลย”
หญิงสาวจำต้องรีบกล้ำกลืนคำบ่นที่มาจ่อถึงริมฝีปากแล้วแทบไม่ทัน ปีนลงจากหลังจามรีมายืนข้างๆ พระหนุ่มและเณรน้อย
“ไหนคุณว่ามีเรื่องจะบอกฉันไงคะ?”
“ครับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอู๋และคณะของพวกเราที่กำลังจะไปกันเดนกัน” จามิลเอ่ยเสียงเรียบ
“อู๋ พ่อของรินเซนที่พูดจากันไม่รู้เรื่องนั่นหรือคะ? แล้วมาเกี่ยวกับคณะที่จะไปกันเดนของฉันได้ยังไงกันคะ?” หญิงสาวยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เมื่อเช้าผมไปหาหลงเลยรู้ว่ามีคนมาสมัครเป็นลูกหาบเยอะมากจนผิดปกติ ทุกคนเต็มใจไปถึงขั้นกระตือรือร้นเลยละ ผมสงสัยจึงลอบสืบดูถึงได้รู้ว่าเพราะว่ามีข่าวลือออกมาว่าอู๋ไม่ได้กลับมามือเปล่า แต่เอาเพชรเม็ดใหญ่เท่าผลส้มกลับมาด้วย และท่านเจ้าอาวาสเก็บรักษาไว้เป็นความลับ ข่าวลือยังมีอีกว่าคุณพ่อของคุณส่งจดหมายและแผนที่ไปกันเดนไปให้คุณเมื่อสิบปีก่อนอีกด้วย” พระหนุ่มเล่า
“จดหมายฉันได้อ่านแล้ว แต่ไม่มีแผนที่อะไรนี่คะ” หญิงสาวกล่าวตามความเป็นจริง
“จะมีได้อย่างไรครับ ในเมื่อแผนที่ที่ลือๆ กัน คุณพ่อของคุณเก็บไว้ที่หอคัมภีร์ในวัดกัมโปนี้เอง และท่านอาจารย์ก็มอบให้ผมแล้วด้วย” พระหนุ่มตอบ
“แล้วเรื่องเพชรละคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
“เพชรที่ว่าไม่มีหรอกครับ เพราะคนปล่อยข่าวลือนี้ก็คือเณรคังเอง” พระหนุ่มเฉลย
“อ้าว” หญิงสาวส่งเสียงร้องพลางหันไปมองเณรน้อย
คังยิ้มแหยๆ พร้อมกับยกมือลูบศีรษะอย่างเขินๆ เพราะรู้ดีว่าคนทั้งสองกำลังพูดถึงตน
“ผมกำลังจนปัญญาเรื่องสืบหาต้นตอข่าวลือ ก็พอดีคังมาหาผมและรับสารภาพว่าเขาเองเป็นคนปล่อยข่าว เพราะอยากให้คนมาสมัครเป็นลูกหาบไปกันเดนกันมากๆ นะครับ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ตกลงคุณธีราให้ฉันไปด้วยนะคะ” เสียงหลิงดังขึ้น ปลุกธีราให้ตื่นจากภวังค์ความคิด“ค่ะ” หญิงสาวตอบ อดชื่นชมไม่ได้ว่าแผนการของเณรคังยอดเยี่ยมไม่ใช่น้อย
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
“กันเดน” ภิกษุชราผู้มีคิ้วเคราขาวโพลน ร่างซูบผอม ครองจีวรสีแดง เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนเหลือบสายตาแจ่มใสที่ดูขัดกับวัยมองหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวผู้มาจากดินแดนอื่น หญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามราวพระโพธิสัตว์ ห่อหุ้มเรือนร่างงามไว้ภายใต้เสื้อขนสัตว์ราคาแพง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมที่พื้นตรงหน้า เธอสบตาภิกษุชราแน่วนิ่ง ท่านยิ้มน้อยๆ อย่างเมตตาการุณย์แล้วกล่าวต่อ “กันเดนเป็นเพียงดินแดนในตำนาน เล่าขานสืบต่อๆ กันมาว่า คนที่ไปถึงจะไม่ได้กลับ ส่วนคนที่กลับมาได้ก็คือคนที่ไปไม่ถึง” “ท่านจะบอกดิฉันว่ามันไม่มีอยู่จริงหรือคะ?” หญิงสาวถาม เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “จริงหรือเท็จอาตมาตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่อาตมารู้ก็คือนานนับพันปีแล้วที่มีคนออกค้นหาดินแดนแห่งนี้ ทว่าส่วนใหญ่ไปแล้วไม่มีใครกลับมา” ภิกษุชราเอ่ยช้าๆ “ส่วนใหญ่ไม่กลับมา ก็หมายความว่ามีส่วนน้อยที่ได้กลับมา” หญิงสาวถาม พยายามจับช่องโหว่ในคำพูดของท่าน ท่านยิ้มพลางเอ่ย “ส่วนน้อยที่กลับมามักจะเป็นซากศพ นอกจาก…” อาการอ้ำอึ้งยิ่งเรียกความสนใจของหญิงสาวมากขึ้น
เณรคังเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเลยถูกจามิลดุเอา เณรน้อยทำคอย่น ถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง ทำให้จามิลคล่องตัวขึ้น เขาบอกธีราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเป็นพระก็จริง แต่พระสงฆ์ที่คีรีมันมีกฎวินัยไม่เหมือนกับพระสงฆ์ที่บ้านเมืองของคุณ ที่คีรีมีนนี่พระสงฆ์แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ หากมีเจตนาบริสุทธิ์หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือ” “หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “คล้าย ๆ กับพระสงฆ์ทิเบตบางนิกายเลย” “ผมขอดูข้อเท้าของคุณหน่อย” จามิลเอ่ยพร้อมกับจับข้อเท้าหญิงสาว ธีราไม่ขัดขืน มองดูเขาถอดรองเท้าบูทสั้นของเธอออกอย่างเบามือด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ พอเขาลองขยับข้อเท้าของเธอ หญิงสาวก็ร้องเบา ๆ “อู๊ย เจ็บ” เขาปล่อยมือข้างที่จับเท้าให้ขยับ แต่มือซ้ายที่ประคองข้อเท้าไว้ไม่ได้ปล่อย “คุณลองขยับเท้าเองดูสิครับ” หญิงสาวทำตาม ผลคือเธอขยับเท้าเองได้ “แต่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ๆ อยู่เลยค่ะ” เธอบอกอาการ จามิลจึงใช้นิ้วมือคลึงข้อเท้า “อดทนหน่อยนะคุณธีรา ถ้าไม่รีบนวดตั้งแต่ตอนนี้มันจะอักเสบไปอีกนาน” หญิงสาวพยักหน้า พยายามไ
ธีราพยายามถามอู๋ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ชายชรายังคงนั่งเหม่อลอยไม่แสดงปฏิกิริยาใดใด หญิงสาวถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็หันไปขอร้องจามิลว่า “คุณช่วยถามเป็นภาษาคีรีมันให้หน่อยสิคะ” “ได้ครับ” จามิลตอบ แล้วหันไปส่งภาษาท้องถิ่นกับชายชราผู้ยังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไร้วิญญาณ เขาพูดภาษาคีรีมันอยู่พักหนึ่ง แต่อู๋ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด “พอทีเถอะ!” รินเซนพูดขัดขึ้น หันมาจ้องธีราเขม็งพลางเอ่ย “คุณกลับไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถามพ่อของฉัน คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพ่อตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” ธีราพยักหน้ารับรู้ก่อนถอนหายใจเบาๆ จามิลส่งภาษาคีรีมันกับรินเซน “ผมขอยืมจามรีหน่อยนะ” “คุณจะเอาไปให้ผู้หญิงไทยขี่ใช่ไหม?” รินเซนถามด้วยภาษาเดียวกัน “ใช่” จามิลตอบ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ให้” รินเซนพูดด้วยทีท่าแง่งอน คังมองคนนั้นทีมองคนนี้ทีแล้วพูดแทรก “งั้นศิษย์พี่จามิลก็ต้องแบกผู้หญิงสวยๆ กลับที่พัก” “ทำไมต้องแบกด้วย?” รินเซนถามเสียงห้วน “ขาเธอเจ็บ” จามิลตอบ “ก็ให้เธอค่อยๆ เดินกลับไปเองสิ” รินเซนพ
“คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันขอจ่ายครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เขาพาฉันไปถึงกันเดนและกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ฉันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด” ธีราบอกล่ามสาวชาวจีนอายุราวสามสิบปี รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาล ให้แปลเป็นภาษาคีรีมันบอกกับชายซึ่งรับอาสาเป็นพรานนำทาง ล่ามสาวหันไปเจรจากับพรานนำทางตัวเล็กแกร็น หน้าเสี้ยม ดวงตาหยี ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปากหนา พอรู้ว่าจะได้รับค่าจ้างก่อนเพียงครึ่งเดียว เขาก็เอะอะโวยวายเสียงดังลั่น จนคนที่นั่งรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรมพากันหันมามองมาเป็นตาเดียว ล่ามสาวรีบแปลเป็นภาษาไทย “หลงบอกว่าถ้าคุณจ่ายไม่ครบ เขาจะไม่นำทางให้” คำเตือนของจามิลดูท่าจะเป็นจริง ธีราเม้มริมฝีปากก่อนยื่นคำขาด “ถ้าเขาไม่ตกลง ก็ให้คืนเงินมัดจำล่วงหน้ามา” ล่ามสาวหันไปเจรจากับหลงอีกรอบก่อนหันมาบอกธีราว่า “เงินนั่นหลงบอกว่าถือเป็นค่าเสียเวลาของเขา” “หมายความว่าเขาไม่ยอมคืนเงินหรือ?” ธีราเอ่ยถาม “ค่ะ” ล่ามสาวรับคำ “สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายจากปากทางเข้าห้องอาหารของโรงแรม ธีราหันไปมอ
“เจ้าจะไปกันเดนรึ?” ภิกษุชราซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมบนตั่งเตี้ยถามจามิลที่คุกเข่าตรงหน้า “ครับ” พระหนุ่มรับคำสั้นๆ “เพราะเหตุไร?” ภิกษุชราเอ่ยถามช้าๆ จามิลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างไตร่ตรองแล้วว่า “ผมเป็นพระสงฆ์ย่อมใฝ่ฝันถึงกันเดน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงครับท่านอาจารย์” ท่านอาจารย์หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนลืมตา “ในชีวิตของอาจารย์มีคนจากไปเพื่อค้นหากันเดนสองรุ่นแล้ว รุ่นแรกคืออาจารย์อากับพระสงฆ์หนุ่มๆ ในยุคนั้นรวมสิบรูป ออกเดินทางจากวัดนี้ไป ตอนนั้นอาจารย์อายุแค่แปดขวบ ยังออกไปโบกไม้โบกมือส่งอาจารย์อาถึงประตูวัด นับจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้เห็นพระทั้งสิบรูปนั้นอีกเลย” ท่านหยุดพูดครู่หนึ่งเหมือนระลึกเหตุการณ์ในอดีต “ส่วนรุ่นที่สองก็คือดอกเตอร์ธีระและคณะ พวกเขาไปกันเกือบสามสิบชีวิต ไปแล้วก็ไม่กลับ จนกระทั่งปีต่อมาจึงมีคนไปพบอู๋นอนสลบอยู่ริมลำธาร อู๋เป็นคนเดียวที่กลับมาได้ แต่กลับมาเหมือนคนไร้วิญญาณ” สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเล่าไม่ได้ทำให้จามิลหวั่นไหว พระหนุ่มยังคงยืนกรานหนักแน่น “ผมอยากไปกันเดนครับ ขอให้ท่าน
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องอาหารของโรงแรมที่หญิงสาวพัก โดยมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคน คือ หลิง ล่ามสาวชาวจีน และหลง นายพรานนำทาง เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงเศษ ผู้คนในห้องอาหารจึงมีไม่มากนัก นอกจากโต๊ะที่กลุ่มของธีรานั่งแล้วก็มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อค้านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปเท่านั้น “ภรรยาของหลงเอาเงินค่าจ้างของคุณไปใช้มากกว่าครึ่ง หลงเลยเอาเงินส่วนที่เหลือมาคืนคุณก่อน” ล่ามสาวเอ่ยกับธีราเป็นภาษาไทย หลงยิ้มแหยๆ พลางยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งคืนให้ธีรา จามิลเปรยว่า “ดูท่าคุณจะได้เงินส่วนที่เหลือกลับคืนยาก” ธีรายิ้มอย่างเซ็งๆ ก่อนพูด “จะทำยังไงได้ล่ะคะ” “ผมมีวิธีที่ดีกว่าการรอให้เขาคืนเงิน” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “วิธีอะไรคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ “พวกเราจะเดินทางไปกันเดนแต่ยังไม่มีลูกหาบ ก็ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าลูกหาบแล้วคอยหาลูกหาบให้พวกเรา” พระหนุ่มเสนอแนะ “เป็นความคิดที่ดีค่ะ” หญิงสาวเห็นด้วย จามิลจึงพูดภาษาคีรีมันกับหลง “เงินที่เจ้าใช้ไปแล้วพวกเราจะนับเป็นค่าจ้างของเจ้า”
วิษณุยืนคอยอย่างกระวนกระวายใจในตรอกแคบๆ และสกปรกซึ่งอยู่หลังโรงแรมที่พักที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ครู่หนึ่งก็ปรากฏเงาร่างเพรียวของหญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะมาหาด้วยความระมัดระวังเหมือนกลัวใครจะเห็นเข้า หญิงผู้ใช้หมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของปกเสื้อคลุมศีรษะและบดบังใบหน้าจนเกือบมิดเดินเข้ามาใกล้ “หลิง ทำไมช้านักล่ะ?” วิษณุเอ่ยถามทันที หลิงดึงหมวกคลุมศีรษะลง เปิดเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวและดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งพลางตอบ “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการเปิดเผยการพบปะของพวกเรา?” “นั่นก็ใช่ แต่ผมรักคุณจริงๆ นะ” พร้อมกับคำพูดวิษณุรวบร่างเพรียวมาไว้ในอ้อดกอดแล้วระดมจูบดวงหน้าเรียวถี่ยิบ ล่ามสาวชาวจีนต้องยกมือดันดวงหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนเอ่ยปาก “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณธีราออกจะสวยขนาดนั้น” วิษณุแบะปาก “หึ! สวย สวยเหมือนประติมากรรมหินอ่อนที่จิตรกรเอกของโลกบรรจงแกะสลัก เย็นชืด แข็งทื่อ แตะต้องไม่ได้ อยู่ใกล้แล้วอัดอั้นใจแทบจะระเบิด ไม่เหมือนคุณ คุณมีเลือดมีเนื้อ นุ่มนวลและอบอุ่น เป็นสุดปรารถนาของผม” “แหม ปากหวาน แต่ตอนนี้คุณปล่อยฉันก่อนเถอ
ธีรายืนมองหลงและเหล่าลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถบรรทุกหกล้อ โดยมีจามิลพระหนุ่มคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าโรงแรมที่พัก รินเซนและคังหอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพลางเดินอย่างเร่งรีบตรงมาเบื้องหน้าของหญิงสาว เณรน้อยพูดภาษาคีรีมันยืดยาวซึ่งธีราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงหันไปถามรินเซน “เณรคังพูดว่าอะไรหรือ?” รินเซนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เณรคังบอกว่าจามิลแกล้งไม่ปลุกเณรและแอบหนีมาก่อน แต่โชคยังดีที่เณรตามมาทัน” “อ้อ” ธีราพยักหน้ารับรู้พลางว่า “นี่ยังไม่ทันรุ่งเช้า คุณจามิลเพิ่งจะคุมลูกหาบช่วยกันขนสัมภาระขึ้นรถเสร็จ กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันจริงๆ ก็คงหลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ราวๆ เจ็ดโมงเช้า” เพิ่งตอบรินเซน วิษณุก็ส่งเสียงร้องเรียก “ธีรา ธีราอยู่ไหน?” “อยู่นี่ค่ะ” หญิงสาวส่งเสียงตอบ ชักสีหน้าเอือมระอา วิษณุเดินแกมวิ่งมาหาแล้วหอบแฮ็กๆ ต่อว่าต่อขานเสียงดังระคนหอบ “อยู่ตรงนี้เอง ทำไมน้องธีราไม่ปลุกพี่ล่ะ? งานคุมคนงานอย่างนี้ต้องพี่เอง” แล้วทำทีจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการขนสัมภาระของลูกหาบ ธีรา
หลังจากหลงออกปากรับต้าเข้าร่วมคณะเดินทาง ต้าก็ขอลากลับไปเตรียมตัวเดินทาง หลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิด นึกจินตนาการไปว่าเมื่อไปถึงกันเดนเขาคงพบเพชรนิลจินดากองมหึมาเทียมภูเขา กำลังคิดเพลินๆ “หลง!” เสียงหลิงดังลั่นอยู่ข้างหูพร้อมกับมือของหล่อนตบไหล่ของเขาเต็มแรง เรียกสติที่กำลังเพ้อฝันให้กลับคืนมา “อ๊ะ! คุณหลิง” ผู้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าลูกหาบอุทานลั่น หลิงยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มเอาเรื่อง “ใช่แล้ว ฉันเอง แล้วไม่เพียงฉันเท่านั้นแต่ยังมีอีกคนอยากพบแก” ล่ามสาวพูดพลางบุ้ยใบ้ไปด้านข้าง วิษณุเดินออกมาจากหลืบกำแพง หลงเบิกตาเหลือกลานพลางอุทานลั่น “นะ…นาย!” “แกรับเงินไปแล้วทำไมไม่ทำตามสัญญา” วิษณุส่งเสียงตะคอกถามพร้อมกับกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย หลิงรีบแปลภาษาไทยเป็นภาษาคีรีมัน หลงมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอี้ยวคอมองซ้ายมองขวาก่อนพูดเสียงแผ่ว “คุณหลิง ช่วยบอกนายที พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” หลิงรีบแปลภาษาคีรีมันเป็นภาษาไทย วิษณุตัดสินใจเพียงอึดใจเดียวก็ปล่อยมือที่กำคอเสื้อ
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะมุมในห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นสถานที่นัดพบพูดคุยเรื่องงานของคนทั้งสองไปโดยปริยาย พระหนุ่มยกถ้วยชาที่ส่งควันฉุยขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “รินเซนว่าคุณอนุญาตให้เธอไปด้วย” “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายต่อ “ฉันมีเหตุผลที่ให้รินเซนไปด้วยนะคะ คือ...หนึ่งฉันจะได้มีเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะไปด้วย สองเธอเป็นล่ามให้ฉันแทนคุณหลิงได้ และข้อสุดท้ายเธออาจค้นพบวิธีรักษาพ่อของเธอให้หายจากอาการป่วยได้” จามิลหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่ผมไม่ให้รินเซนไปด้วยแต่แรกก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ การไปค้นหากันเดนของพวกเราไม่ได้มีผลสุดท้ายที่แน่นอน อาจจะพบ อาจจะไม่พบ อาจจะไปถึง อาจจะไปไม่ถึง อาจจะได้กลับ และอาจจะไม่ได้กลับ” คำท้ายของเขาทอดหางเสียงเบาลงจนธีรารู้สึกใจหายไปด้วย จริงสิ...ทุกคนที่ไปกันเดนอาจจะไม่มีใครได้กลับมาอีก เหมือนอย่างคณะก่อนๆ ที่ไปกัน “ฉันลืมคิดถึงข้อนี้ไป ฉันจะพูดกับเธอใหม่แล้วกันนะคะ” พูดถึงตรงนี้รินเซนก็เดินเข้ามาพร้อมกับคั
วิษณุยืนคอยอย่างกระวนกระวายใจในตรอกแคบๆ และสกปรกซึ่งอยู่หลังโรงแรมที่พักที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ครู่หนึ่งก็ปรากฏเงาร่างเพรียวของหญิงคนหนึ่งเดินลัดเลาะมาหาด้วยความระมัดระวังเหมือนกลัวใครจะเห็นเข้า หญิงผู้ใช้หมวกที่เป็นส่วนหนึ่งของปกเสื้อคลุมศีรษะและบดบังใบหน้าจนเกือบมิดเดินเข้ามาใกล้ “หลิง ทำไมช้านักล่ะ?” วิษณุเอ่ยถามทันที หลิงดึงหมวกคลุมศีรษะลง เปิดเผยให้เห็นดวงหน้าเรียวและดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งพลางตอบ “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการเปิดเผยการพบปะของพวกเรา?” “นั่นก็ใช่ แต่ผมรักคุณจริงๆ นะ” พร้อมกับคำพูดวิษณุรวบร่างเพรียวมาไว้ในอ้อดกอดแล้วระดมจูบดวงหน้าเรียวถี่ยิบ ล่ามสาวชาวจีนต้องยกมือดันดวงหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างก่อนเอ่ยปาก “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก คุณธีราออกจะสวยขนาดนั้น” วิษณุแบะปาก “หึ! สวย สวยเหมือนประติมากรรมหินอ่อนที่จิตรกรเอกของโลกบรรจงแกะสลัก เย็นชืด แข็งทื่อ แตะต้องไม่ได้ อยู่ใกล้แล้วอัดอั้นใจแทบจะระเบิด ไม่เหมือนคุณ คุณมีเลือดมีเนื้อ นุ่มนวลและอบอุ่น เป็นสุดปรารถนาของผม” “แหม ปากหวาน แต่ตอนนี้คุณปล่อยฉันก่อนเถอ
จามิลนั่งตรงกันข้ามกับธีราที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องอาหารของโรงแรมที่หญิงสาวพัก โดยมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคน คือ หลิง ล่ามสาวชาวจีน และหลง นายพรานนำทาง เวลานี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงเศษ ผู้คนในห้องอาหารจึงมีไม่มากนัก นอกจากโต๊ะที่กลุ่มของธีรานั่งแล้วก็มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อค้านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปเท่านั้น “ภรรยาของหลงเอาเงินค่าจ้างของคุณไปใช้มากกว่าครึ่ง หลงเลยเอาเงินส่วนที่เหลือมาคืนคุณก่อน” ล่ามสาวเอ่ยกับธีราเป็นภาษาไทย หลงยิ้มแหยๆ พลางยื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งคืนให้ธีรา จามิลเปรยว่า “ดูท่าคุณจะได้เงินส่วนที่เหลือกลับคืนยาก” ธีรายิ้มอย่างเซ็งๆ ก่อนพูด “จะทำยังไงได้ล่ะคะ” “ผมมีวิธีที่ดีกว่าการรอให้เขาคืนเงิน” พระหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “วิธีอะไรคะ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ “พวกเราจะเดินทางไปกันเดนแต่ยังไม่มีลูกหาบ ก็ตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าลูกหาบแล้วคอยหาลูกหาบให้พวกเรา” พระหนุ่มเสนอแนะ “เป็นความคิดที่ดีค่ะ” หญิงสาวเห็นด้วย จามิลจึงพูดภาษาคีรีมันกับหลง “เงินที่เจ้าใช้ไปแล้วพวกเราจะนับเป็นค่าจ้างของเจ้า”
“เจ้าจะไปกันเดนรึ?” ภิกษุชราซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมบนตั่งเตี้ยถามจามิลที่คุกเข่าตรงหน้า “ครับ” พระหนุ่มรับคำสั้นๆ “เพราะเหตุไร?” ภิกษุชราเอ่ยถามช้าๆ จามิลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างไตร่ตรองแล้วว่า “ผมเป็นพระสงฆ์ย่อมใฝ่ฝันถึงกันเดน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงครับท่านอาจารย์” ท่านอาจารย์หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนลืมตา “ในชีวิตของอาจารย์มีคนจากไปเพื่อค้นหากันเดนสองรุ่นแล้ว รุ่นแรกคืออาจารย์อากับพระสงฆ์หนุ่มๆ ในยุคนั้นรวมสิบรูป ออกเดินทางจากวัดนี้ไป ตอนนั้นอาจารย์อายุแค่แปดขวบ ยังออกไปโบกไม้โบกมือส่งอาจารย์อาถึงประตูวัด นับจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้เห็นพระทั้งสิบรูปนั้นอีกเลย” ท่านหยุดพูดครู่หนึ่งเหมือนระลึกเหตุการณ์ในอดีต “ส่วนรุ่นที่สองก็คือดอกเตอร์ธีระและคณะ พวกเขาไปกันเกือบสามสิบชีวิต ไปแล้วก็ไม่กลับ จนกระทั่งปีต่อมาจึงมีคนไปพบอู๋นอนสลบอยู่ริมลำธาร อู๋เป็นคนเดียวที่กลับมาได้ แต่กลับมาเหมือนคนไร้วิญญาณ” สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเล่าไม่ได้ทำให้จามิลหวั่นไหว พระหนุ่มยังคงยืนกรานหนักแน่น “ผมอยากไปกันเดนครับ ขอให้ท่าน
“คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันขอจ่ายครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เขาพาฉันไปถึงกันเดนและกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ฉันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด” ธีราบอกล่ามสาวชาวจีนอายุราวสามสิบปี รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาล ให้แปลเป็นภาษาคีรีมันบอกกับชายซึ่งรับอาสาเป็นพรานนำทาง ล่ามสาวหันไปเจรจากับพรานนำทางตัวเล็กแกร็น หน้าเสี้ยม ดวงตาหยี ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปากหนา พอรู้ว่าจะได้รับค่าจ้างก่อนเพียงครึ่งเดียว เขาก็เอะอะโวยวายเสียงดังลั่น จนคนที่นั่งรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรมพากันหันมามองมาเป็นตาเดียว ล่ามสาวรีบแปลเป็นภาษาไทย “หลงบอกว่าถ้าคุณจ่ายไม่ครบ เขาจะไม่นำทางให้” คำเตือนของจามิลดูท่าจะเป็นจริง ธีราเม้มริมฝีปากก่อนยื่นคำขาด “ถ้าเขาไม่ตกลง ก็ให้คืนเงินมัดจำล่วงหน้ามา” ล่ามสาวหันไปเจรจากับหลงอีกรอบก่อนหันมาบอกธีราว่า “เงินนั่นหลงบอกว่าถือเป็นค่าเสียเวลาของเขา” “หมายความว่าเขาไม่ยอมคืนเงินหรือ?” ธีราเอ่ยถาม “ค่ะ” ล่ามสาวรับคำ “สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายจากปากทางเข้าห้องอาหารของโรงแรม ธีราหันไปมอ
ธีราพยายามถามอู๋ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ชายชรายังคงนั่งเหม่อลอยไม่แสดงปฏิกิริยาใดใด หญิงสาวถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็หันไปขอร้องจามิลว่า “คุณช่วยถามเป็นภาษาคีรีมันให้หน่อยสิคะ” “ได้ครับ” จามิลตอบ แล้วหันไปส่งภาษาท้องถิ่นกับชายชราผู้ยังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไร้วิญญาณ เขาพูดภาษาคีรีมันอยู่พักหนึ่ง แต่อู๋ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด “พอทีเถอะ!” รินเซนพูดขัดขึ้น หันมาจ้องธีราเขม็งพลางเอ่ย “คุณกลับไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถามพ่อของฉัน คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าพ่อตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” ธีราพยักหน้ารับรู้ก่อนถอนหายใจเบาๆ จามิลส่งภาษาคีรีมันกับรินเซน “ผมขอยืมจามรีหน่อยนะ” “คุณจะเอาไปให้ผู้หญิงไทยขี่ใช่ไหม?” รินเซนถามด้วยภาษาเดียวกัน “ใช่” จามิลตอบ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ให้” รินเซนพูดด้วยทีท่าแง่งอน คังมองคนนั้นทีมองคนนี้ทีแล้วพูดแทรก “งั้นศิษย์พี่จามิลก็ต้องแบกผู้หญิงสวยๆ กลับที่พัก” “ทำไมต้องแบกด้วย?” รินเซนถามเสียงห้วน “ขาเธอเจ็บ” จามิลตอบ “ก็ให้เธอค่อยๆ เดินกลับไปเองสิ” รินเซนพ
เณรคังเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเลยถูกจามิลดุเอา เณรน้อยทำคอย่น ถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง ทำให้จามิลคล่องตัวขึ้น เขาบอกธีราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเป็นพระก็จริง แต่พระสงฆ์ที่คีรีมันมีกฎวินัยไม่เหมือนกับพระสงฆ์ที่บ้านเมืองของคุณ ที่คีรีมีนนี่พระสงฆ์แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ หากมีเจตนาบริสุทธิ์หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือ” “หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “คล้าย ๆ กับพระสงฆ์ทิเบตบางนิกายเลย” “ผมขอดูข้อเท้าของคุณหน่อย” จามิลเอ่ยพร้อมกับจับข้อเท้าหญิงสาว ธีราไม่ขัดขืน มองดูเขาถอดรองเท้าบูทสั้นของเธอออกอย่างเบามือด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ พอเขาลองขยับข้อเท้าของเธอ หญิงสาวก็ร้องเบา ๆ “อู๊ย เจ็บ” เขาปล่อยมือข้างที่จับเท้าให้ขยับ แต่มือซ้ายที่ประคองข้อเท้าไว้ไม่ได้ปล่อย “คุณลองขยับเท้าเองดูสิครับ” หญิงสาวทำตาม ผลคือเธอขยับเท้าเองได้ “แต่ยังรู้สึกเสียวแปลบ ๆ อยู่เลยค่ะ” เธอบอกอาการ จามิลจึงใช้นิ้วมือคลึงข้อเท้า “อดทนหน่อยนะคุณธีรา ถ้าไม่รีบนวดตั้งแต่ตอนนี้มันจะอักเสบไปอีกนาน” หญิงสาวพยักหน้า พยายามไ