ในเมื่อจ้าวไซ่ยวนตัดสินใจเช่นนี้แล้ว วันหลังเมื่อตนเองเผชิญหน้ากับเขาอีก ก็ไม่จําเป็นต้องใจอ่อนแล้ว“พระสนม ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเพคะ” ครั้งนี้คนที่เอ่ยปากคือเหมยอิ่งลู่ซิงหว่านยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่อยู่กับท่านแม่มานานขนาดนี้ ลู่ซิงหว่านก็ได้รู้ว่าปกติเหมยอิ่งจะควบคุมสถานการณ์โดยรวมเท่านั้นและตราบใดที่เหมยอิ่งมาถึงตรงหน้าท่านแม่ของนาง มันจะต้องมีข่าวสําคัญอย่างแน่นอนซ่งชิงเหยียนก็มองใบหน้าของเหมยอิ่งอย่างใจจดใจจ่อ“หลายวันมานี้ตอนที่ตรวจสอบตำหนักฮองเฮา ไม่พบว่าพวกนางไปมาหาสู่กับคนนอกแต่อย่างใด”“แต่ข้าน้อยกลับพบเรื่องหนึ่ง ฮองเฮา เกรงว่ากําลังใช้แกงเลี่ยงบุตรอยู่”แกงเลี่ยงบุตรเหรอ ซ่งชิงเหยียนตกตะลึงจริงๆเดิมนึกว่าเสิ่นหนิงวางแผนทีละขั้นทีละตอนเช่นนี้ เพื่อยึดอํานาจแต่ขั้นตอนแรกในการยึดอํานาจ ก็ควรมีทายาทของตัวเองไม่ใช่หรือ? มีทายาทแล้วถึงจะสู้กับองค์รัชทายาทได้แต่ทําไมนางถึงดื่มแกงเลี่ยงบุตร?นางไม่ต้องการลูกของตัวเอง แล้วนางวางแผนอะไรไว้สมองของซ่งชิงเหยียนสับสนวุ่นวายไปหมดจากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเหมยอิ่ง พยายามหาคําตอบจากนาง แต่เหมยอิ่งกลับยักไหล่ “คุณหนู หลายวันมา
พูดถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็มองไปที่ฉยงหัวอย่างกระอักกระอ่วนจะว่าไปแล้ว ถึงยังไงแม่นางฉยงหัวก็เป็นสตรีแต่นางกลับลืมไปว่าหมอไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ฉยงหัวจึงพูดตัดบทนางว่า “พระสนมอยากให้ข้าไปลองใจหรือ?”“อืม” ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า “ข้าคิดถึงวิชาแพทย์ของแม่นางฉยงหัว ถ้านางกินยาเลี่ยงบุตรเมื่อเช้านี้ ตอนนี้ยังสามารถสืบได้หรือไม่?”ได้ยินถึงตรงนี้ฉยงหัวก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “หากเพิ่งกินเมื่อเช้านี้ เช่นนั้นพระสนมแค่พาข้าไปที่ข้างกายฮองเฮาก็ได้แล้ว ข้าสามารถดมกลิ่นออก”“ได้” พูดถึงตรงนี้ซ่งชิงเหยียนก็ลุกขึ้น พอดีเมื่อวานฮ่องเต้ต้าฉู่เพิ่งพักอยู่ในตำหนักฮองเฮา“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะปล่อยฮองเฮาไปสักครั้ง”แม้ว่าฉยงหัวจะสงสัยในความหมายที่ซ่งชิงเหยียนพูด แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่ยืนขึ้นและเดินตามซ่งชิงเหยียนออกไปรู้ว่าเสิ่นหนิงเป็นคนขี้สงสัย ซ่งชิงเหยียนก็ไม่ได้ไปที่ตําหนักจิ่นซิ่วโดยตรงแต่พาฉยงหัวไปยังตําหนักของไทเฮาก่อนด้วยความเคารพต่อฉยงหัว ซ่งชิงเหยียนไม่ได้นั่งเกี้ยว เพียงแต่เดินไปยังตําหนักหรงเล่อพร้อมกับฉยงหัวระหว่างทางทั้งสองก็พูดคุยและหัวเราะกัน ฉากนั้นกลมกลืนกันมากเ
บางครั้งนางกลับรู้สึกว่า เด็กสาวเหล่านี้ก่อเรื่องวุ่นวายในวัง ก็ครึกครื้นมากเช่นกันขอเพียงไม่แตะเส้นตายของตัวเอง จะกําเริบเสิบสานหรือใช้อํานาจบาตรใหญ่สักหน่อย นางก็ไม่ค่อยสนใจสนมเหยาผินเพิ่งเห็นว่าคนที่อยู่ตรงข้ามคือซ่งชิงเหยียน นึกถึงฝ่ามือที่ถูกตบที่ตําหนักจิ่นซิ่วก่อนหน้านี้ ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อรีบสั่งขันทีน้อยที่ยกเกี้ยวว่า “เร็ว เร็ว รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้”พูดจบก็เดินไปทําความเคารพต่อหน้าซ่งชิงเหยียนอย่างรีบร้อน “หม่อมฉันสายตาไม่ดี มองไม่ออกว่าเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟย ขอพระสนมโปรดอภัยด้วยเพคะ”ซ่งชิงเหยียนเห็นนางรู้ความขนาดนี้ ก็ไม่ลําบากใจ แค่ยิ้ม “ลุกขึ้นเถอะ”จากนั้นเอนกายไปด้านข้าง “ในเมื่อสนมเหยาผินนั่งเกี้ยวอยู่ ก็ไปก่อนเถอะ ข้าจะหลีกทางให้เจ้าก็แล้วกัน”พูดถึงตรงนี้ก็จูงมือของฉยงหัวเดินไปทางด้านข้าง เพื่อหลีกเลี่ยงเกี้ยวของสนมเหยาผินแต่การกระทําของซ่งชิงเหยียนนี้ กลับทําให้ความกล้าหาญของสนมเหยาผินหายไปครึ่งหนึ่ง รีบคุกเข่าลง “พระสนมโปรดอภัย หม่อมฉันไม่กล้า”ซ่งชิงเหยียนเพิ่งตระหนักว่าสนมเหยาผินเข้าใจผิดแล้วมองจิ่นอวี้ที่อุ้มหวานหว่านอยู่ด้านข้าง มองสนมเหยาผินนายบ่
ตอนนี้ภายใต้การสั่งสอนของเยว่หราน อวิ๋นหลานรู้ความมากแล้ว จึงยิ้มพลางค้อมกายให้ซ่งชิงเหยียนและเสิ่นหนิง “บ่าวบอกว่าจะไปแจ้ง แต่พระสนมหวงกุ้ยเฟยบอกว่าฮองเฮาไม่ว่าง ขอไม่รบกวนเพคะ”เสิ่นหนิงกับซ่งชิงเหยียนไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แค่เดินผ่านอวิ๋นหลานเข้าไปข้างในในชั่วพริบตาที่เสิ่นหนิงนั่งลง ก็เห็นฉยงหัวที่อยู่ข้างกายซ่งชิงเหยียนเสียงเตือนดังขึ้นในใจทันทีคิดดูแล้วยาของตัวเองและครั้งที่แล้วที่ถูกซ่งชิงเหยียนวางยาพิษ ล้วนเกี่ยวข้องกับหมอหญิงคนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทันใดนั้นก็เค้นรอยยิ้มออกมา มองไปทางฉยงหัว “นี่คือหมอหญิงในตำหนักของพระสนมหวงกุ้ยเฟยสินะ หน้าตางดงามจริงๆ”ฉยงหัวเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลง แต่ไม่ได้พูดอะไรซ่งชิงเหยียนย่อมแสดงละครได้เต็มที่ นางหันกลับไปมองฉยงหัวแวบหนึ่ง ท่าทางพอใจมาก “ทางพระพันปีได้รับยาของฉยงหัวแล้ว ดูเหมือนจะมีประโยชน์มาก ดังนั้นวันนี้พอมีเวลาว่าง จึงพาฉยงหัวไปที่ตําหนักหรงเล่อรอบหนึ่ง”“ตอนกลับตําหนักไปทางนี้ พอมาถึงตําหนักจิ่นซิ่ว ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคิดจะมาบอกฮองเฮาสักหน่อย”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเพียงแค่พูดก็พอ ไม่ต้องเกรงใจ”ซ
ทางฝั่งซ่งชิงเหยียนมาถึงที่หมายแล้ว ไม่ขออยู่นอบน้อมคล้อยตามกับเสิ่นหนิงอีกลุกขึ้นบอกลาซ่งชิงเหยียนระแวดระวังอย่างหาได้ยากยิ่ง จนกระทั่งกลับตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว ถึงหันหน้าไปมองทางฉยงหัวรอคำตอบจากฉยงหัว“พระสนม ฮองเฮาใช้น้ำแกงลืมบุตรจริงเพคะ” ฉยงหัวพูดด้วยสีหน้ามั่นใจแท้จริงแล้วซ่งชิงเหยียนยอมรับคำตอบนี้ได้ตั้งนานแล้ว หลังได้ยินคำยืนยันจากฉยงหัว ทันใดนั้นสับสนขึ้นมาอันที่จริงนางไม่เข้าใจ ผลลัพธ์เช่นนี้ ตกลงดีหรือไม่อิงตามหลักการแล้ว ฮองเฮาไม่ยอมทิ้งบุตรสายตรงไว้ นั่นเป็นผลดีที่สุดต่อองค์รัชทายาทไม่มีแรงกดดันและความรับผิดชอบอะไรทว่าคนผู้นี้คือเสิ่นหนิง ยอมทำทุกวิธีเพื่อให้ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮานางไฉนเลยจะไม่ชอบอำนาจเล่า?ซ่งชิงเหยียนคิดว่าสมองกำลังจะระเบิด‘เสิ่นหนิงคงไม่ใช่ว่านึกถึงอาการบาดเจ็บคราวก่อน จึงคิดบำรุงร่างกายแล้วค่อยคลอดบุตรหรอกกระมัง’ทันใดนั้นลู่ซิงหว่านเกิดความคิดแปลกประหลาดนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันช่างเถอะ คิดไปคิดมาก็ไม่ได้อะไร‘ท่านแม่ ข้าอยากออกไปเที่ยวเหลือเกิน อยู่ในวังไม่มีอะไรน่าสนใจเลย’‘ข้ามาถึงแคว้นต้าฉู่ได้อย่างยากลำบาก ก็ติดอยู่ในวังหลวง
แต่กลับเก้อกระดากอยู่บ้าง จึงหาข้ออ้างไม่หยุดเอ่ยถึงซ่งชิงฉี่ ซ่งชิงเหยียนถึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย “หม่อมฉันคิดว่าอายุของพี่ชายนี้ รับตำแหน่งแม่ทัพอยู่ที่ค่ายทหารทิศบูรพาก็ออกจะ...อ่อนเยาว์อยู่บ้าง”ได้ยินถ้อยคำนี้ของซ่งชิงเหยียน ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหัวเราะออกมา “หากพี่ชายเจ้ารู้ว่าเจ้าพูดเช่นนี้ น่ากลัวว่าต้องรีบกลับมาตีเจ้าเป็นแน่”นึกถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็นึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมาในระยะนี้ขึ้นได้ ถามหยั่งเชิง “หลานชายซ่งจั๋วคนนั้นของเจ้า เพราะเหตุใดต้องอยากไปชายแดนอย่างกะทันหันด้วยเล่า?”พูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ถึงขั้นถอดรองเท้าออกอย่างเรียบร้อย อุ้มลู่ซิงหว่านเอนกายบนเบาะที่ตั่งนุ่ม ท่าทางคล้ายต้องการเล่านิทานลู่ซิงหว่านกลับได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นครั้งแรก‘ตกลงเป็นข้าเลือกเสด็จพ่อเอง แม้แต่ท่าทางเกียจคร้านยังหล่อเหลาเพียงนี้’‘สมเป็นฮ่องเต้หล่อเหลายิ่งใหญ่ที่สุดในนิยาย คาดว่าพี่ชายองค์รัชทายาทหล่อเหลาเพียงนี้ จะต้องเป็นเพราะเสด็จพ่อหล่อมากกระมัง!’‘แต่ท่านป้าเองก็ต้องงดงามมากอย่างแน่นอน งามคล้ายท่านแม่’‘ไม่ถูก ในหนังสือเล่าว่า ท่านป้างามกว่าท่านแม่
“เหตุใดฝ่าบาททรงดีพระทัยเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ?”เหอเหลียนเหิงซินกลับไม่พูด เพียงยื่นจดหมายตรงหน้าใส่มือเฮ่อปาขุยอ่านจดหมายจบ เฮ่อปาขุยเงยหน้าช้อนตามองเหอเหลียนเหิงซินตรงหน้า “ฝ่าบาทหมายความว่า?”“ส่งจดหมายให้ติ้งกั๋วโหวคนใหม่หนึ่งฉบับ” เหอเหลียนเหิงซินมองเฮ่อปาขุยอย่างไว้ใจเต็มเปี่ยม “เราจะไปพบเขา”เหอเหลียนเหิงซินไว้ใจเจิงอี๋เหนียงคนนี้มากนางเป็นคนสอดแนมที่ตนส่งเข้าไปอยู่ในแคว้นต้าฉู่ราวเจ็ดถึงแปดปีเห็นจะได้ ระยะนี้เพิ่งกลับมาติดต่อกันอีกครั้ง ในเมื่อนางส่งจดหมายมาพูดแล้ว เรื่องเหล่านั้นต้องเป็นจริงอย่างแน่นอนแม้เฮ่อปาขุยยังสงสัยอยู่บ้าง แต่เห็นฝ่าบาทไว้ใจเพียงนี้ กลับไม่เปิดปากพูดอะไรอย่างไรเสียตอนนี้เพราะเรื่องเหรินอ๋องและเหอเหลียนจูลี่ ตำแหน่งของตนยามอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทก็ไม่เหมือนก่อนแล้ว พูดน้อยลงสักหน่อยย่อมเป็นการดีซ่งชิงฉี่ได้รับจดหมายจากเหอเหลียนเหิงซินอย่างว่องไว ทำให้ซ่งชิงฉี่ประหลาดใจก็คือ เหอเหลียนเหิงซินถึงขั้นเขียนจดหมายนี้ด้วยตนเองหลังอ่านจดหมายจบ ซ่งชิงฉี่ส่งจดหมายฉบับนั้นให้รองแม่ทัพข้างกายตน “เห็นที เพราะเรื่องเหอเหลียนเหรินซินถืออำนาจทางทหารไว้ในมือ เหอเหลี
“ได้ยินว่าแม่ทัพซ่งได้รับบรรดาศักดิ์แล้ว ยินดีด้วยอย่างยิ่ง” เหอเหลียนเหิงซินพูดถ้อยคำนี้อย่างจริงใจ “แต่กลับได้รู้ความลับบางอย่างด้วย”“ได้ยินมาว่าก่อนนี้ท่านโหวและฮ่องเต้ต้าฉู่บาดหมางกัน”“ยิ่งไปกว่านั้นเพราะท่านโหวผู้เฒ่าผลักดันให้ท่านเขารับตำแหน่งค่ายทหารทิศบูรพา บัดนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็กำลังสงสัยในตัวท่าน”พูดถึงตรงนี้เหอเหลียนเหิงซินก็มองซ่งชิงฉี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อบัดนี้ฝ่าบาทสงสัยครอบครัวของท่าน เชื่อว่าท่านโหวเองก็รู้ชัด หากไม่วางแผนล่วงหน้า น่ากลัวว่าจวนติ้งกั๋วโหวของท่านจะต้องหายไปจากแผ่นดินแคว้นต้าฉู่แล้ว”จากนั้นเสนอเงื่อนไขเย้ายวนใจ “หากท่านโหวพิจารณามาที่แคว้นเยว่เฟิงของเรา เรายินดีมอบบรรดาศักดิ์กงให้ท่านโหว”ได้ยินถ้อยคำนี้ของเหอเหลียนเหิงซิน ซ่งชิงฉี่กลับชะงักการกระทำเพียงชั่วขณะนี้ของซ่งชิงฉี่ กลับทำให้เหอเหลียนเหิงซินคิดว่าเขาหวั่นไหวแล้วตอนนี้คนยืนอยู่ข้างหลังซ่งชิงฉี่อย่างซ่งจั๋วกำหมัดแน่นอย่างโกรธขึ้งฮ่องเต้ของแคว้นเยว่เฟิง เป็นคนถ่อยเพียงนี้ ถึงขั้นยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทและท่านพ่อ ช่างทำให้คนหมิ่นแคลนโดยแท้“เชิญกลับไปเถอะ!” ซ่งชิงฉี่กล
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต