หลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว ซ่งชิงเหยียนก็เรียกเหมยอิ่งมา และถามเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกในวันนี้อย่างละเอียด“องค์ชายสามไปที่จวนตระกูลกัวอีกแล้วหรือ?” ซ่งชิงเหยียนถามอย่างประหลาดใจหลังจากฟังจบคําพูดก่อนหน้านี้ไม่แตกต่างจากรายงานของเมิ่งเฉวียนเต๋อมากนัก แต่ข้อหลังนี้เป็นสิ่งที่ซ่งชิงเหยียนคาดไม่ถึงจริงๆ“ใช่ องค์ชายสามอยู่ในจวนตระกูลกัวไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็ออกมาแล้ว ข้าน้อยไม่วางใจ จ้องมองอีกครู่หนึ่ง รอจนฟ้ามืดลง ผู้ติดตามข้างกายของกัวผิงในวันธรรมดาก็เข้ามาในวังแล้ว” ส่วนจะทําอะไรนั้น ตั้งแต่เข้าวังฉางชิวมา เหมยอิ่งก็ไม่แน่ใจแล้วซ่งชิงเหยียนเงียบไปนาน ในที่สุดก็โบกมือให้เหมยอิ่งออกไป จากนั้นก็หันไปสั่งจิ่นซินที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “เจ้าไปเรียกฉยงหัวมา”แม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่ฉยงหัวก็มาอยู่ข้างซ่งชิงเหยียนโดยไม่บ่นสักคํา“รบกวนแม่นางฉยงหัวกลางดึกแล้ว” ซ่งชิงเหยียนวางใจไม่ลงจริงๆ “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอให้แม่นางฉยงหัวช่วย”“พระสนมแค่พูดก็พอ” ฉบงหัวตอบสนองคําขอของซ่งชิงเหยียนเสมอได้พบเจ้านายที่ดีเช่นนี้ในเมืองหลวง นับเป็นความโชคดีของนางแล้ว“พรุ่งนี้แม่ของข้าจะไปไว้อาลัยหลินอินที่จวนต
แน่นอนว่าไม่สนใจลู่ซิงหุยแต่ตอนนี้ คนที่อยู่ข้างกายเสด็จแม่มีไม่มากแล้ว แม้แต่ป๋ายจื่อที่เมื่อก่อนนางไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็ยังดูเป็นมิตรเป็นพิเศษป๋ายจื่อกลับปิดปากนางเบา ๆ และส่งเสียงชู่จากนั้นก็ปล่อยมือของตัวเอง “องค์หญิง ตอนนี้บ่าวชื่อไป๋หลิง รับใช้อยู่ข้างกายฮองเฮา”องค์หญิงหกได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองป๋ายจื่ออย่างประหลาดใจ กําลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกคําพูดต่อไปของป๋ายจื่อขัดจังหวะอีกครั้ง“องค์หญิงดูแลแต่เด็กที่เกิดมาให้ดีอยู่ที่ตําหนักจิ่นซิ่ว บ่าวจะทูลกับฮองเฮาให้ดูแลองค์หญิงด้วยตนเอง” ป๋ายจื่อมองลู่ซิงกลับด้วยสายตาที่ราวกับกําลังมองพระสนมเต๋อเฟยผ่านนางเพื่อฮองเฮาของตัวเอง นางก็จะดูแลองค์หญิงหกเป็นอย่างดี“วันหน้าองค์หญิงไม่ต้องลงมือเอง เจ้าแค่เล่นสนุกก็พอ ที่เหลือมอบให้บ่าวจัดการเอง”คําพูดของป๋ายจื่อไม่ชัดเจนนัก องค์หญิงหกเองก็อยู่ในเมฆหมอกเช่นกัน แต่กลับเชื่อใจป๋ายจื่ออย่างประหลาด พยักหน้า ถือว่าตอบรับแล้ว“องค์หญิง บ่าวชื่อไป๋หลิง” เมื่อป๋ายจื่อออกจากตําหนักข้าง ก็หันกลับไปมองลู่ซิงหุยนึกไม่ถึงว่าหลังจากที่ป๋ายจื่อจากไปแล้ว องค์หญิงหกก็สงบลงจริง ๆ แล้ว นางเริ่ม
กลับทําให้องค์ชายสามที่อยู่ข้างหลังตะลึงงันอยู่กับที่นึกไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะเก็บคนไว้ให้ตัวเอง หรืออยู่ในมือของไป๋จื้อ?เมื่อก่อนเห็นเสด็จแม่ควรให้ความสําคัญกับไป๋เวยมากกว่าวันรุ่งขึ้น องค์ชายสามก็ส่งคนไปขอคนจากวังหลังของฮ่องเต้ ตามที่คาดไว้ ฝ่ายกิจการภายในได้ส่งขันทีสองคนชื่อหยวนฝูและอีกคนชื่อกว่างเฉียนมาจริง ๆพอสองคนนั้นเห็นองค์ชายสาม ก็ทําความเคารพอย่างนอบน้อมต่อเจ้านายกลับทําให้องค์ชายสามเชื่อคําพูดของป๋ายจื่อมากขึ้นแต่ไม่กี่วันต่อมา องค์ชายสามก็พบว่า ขันทีน้อยสองคนนี้สะดวกกว่าขันทีคนนั้นอีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้ถึงการดํารงอยู่ของซิ่นเทียนคนนี้“พวกเจ้ารู้จักซิ่นเทียนด้วยหรือ?” องค์ชายสามอดทนอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากถามออกมาหยวนฝูจัดโต๊ะหนังสือให้องค์ชายสามไปพลาง ตอบคําพูดขององค์ชายสามไปพลาง “คนที่เคยปรนนิบัติอยู่ข้างกายองค์ชายขันทีเจิ้งจงเคยพูดกับพวกเรา”“พวกเราทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของขันทีเจิ้งจงและแม่นางป๋ายจื่อ เพียงแต่วันหน้าพวกเราก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์เท่านั้น”คําพูดของหยวนฝูนั้นแยบยลมาก องค์ชายสามอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาไม่นานขั
ถ้าท่านพี่รู้เรื่องนี้ เขาคงจะตีอวิ๋นเหยาจนตายต่อให้ไม่ลงมือ วันหลังเขาก็จะไม่รักอวิ๋นเหยาเหมือนเมื่อก่อนแล้วเขาวางแผนอย่างยากลําบากมาครึ่งค่อนชีวิตถึงได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นราชเลขากรมแรงงาน จะปล่อยให้ลูกสาวของตัวเองกลายเป็นจุดด่างพร้อยของตัวเองได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความกลัวในใจของนางหลินก็ยิ่งมากขึ้นแต่กลับไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินไปเดินมาอยู่ในจวน รอให้พี่ชายพาพี่สะใภ้กลับมาโดยไม่คาดคิดเข็มขัดถูกนํากลับมา แต่ก็นํา"ข่าวดี" กลับมาด้วยพอนางโจวเห็นนางหลินก็ก้าวยาวๆ เข้ามา “วันนี้ขอบคุณน้องสาวที่ชี้แนะ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ใต้เท้าจ้าวใต้เท้าศาลาว่าการบอกว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด แม้แต่องค์ชายสามยังบอกว่าจะให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย”นางหลินตกตะลึงนางอ้าปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคํา แล้วหันไปมองพี่ชายตัวเอง เห็นพี่ชายกําลังมองมาที่ตนอย่างโกรธเคือง"ไม่ใช่... “ข้าไม่ใช่...” นางหลินอ้าปากพูดอีกสองสามคํา แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร“เจ้าไปยุ่งก่อนเถิด” นางโจวปล่อยมือนางหลิน “ข้ากลับห้องไปเตรียมตัวก่อน”เมื่อมีความคิดที่จะแก้แค้นแทนลูกสาว นางโจวก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาและ
“แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและกตัญญูมาก” แม่เฒ่าเหอพูดและตัวเองก็ตกอยู่ในความทรงจํา “ภรรยาของข้าสามารถมีลูกสะใภ้อย่างนางได้ในชีวิตนี้ ก็ไม่เสียใจแล้ว”เมื่อเทียบกับนางหลินคนนี้ในภายหลัง แข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่พันเท่าร้อยเท่า“น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าดวงไม่ดี ร่างกายก็ไม่แข็งแรง คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่พ่อของเจ้าได้เลื่อนตําแหน่งก็เสียชีวิตไปแล้ว”“ถ้าไม่อย่างนั้น ตอนนี้ก็เป็นภรรยาของเสนาบดีที่สง่าผ่าเผย ทั้งครอบครัวก็ปรองดองกัน” แม่เฒ่าเหอพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วทันที ไม่เหมือนกับนางหลินในตอนนี้ที่ทําหน้าล้างตาหลังจากนั้นแม่เฒ่าเหอไม่ยอมเบียดเบียนคนนั้นต่อหน้าเหออวี่เหยาอีก นางเป็นฮูหยินของบ้านสกุลเหออย่างไรก็ต้องไว้หน้าให้นางบ้างดังนั้นประโยคครึ่งประโยคสุดท้าย แม่เฒ่าเหอจึงไม่ได้พูดออกมา"ท่านยาย หลิน... แม่รู้จักพ่อข้าได้ยังไง?”พอเหออวี่เหยาพูดแบบนี้ออกมา แม่เฒ่าเหอก็รู้ว่าคนที่นางถามคือนางหลิน ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของตนเองถ้านางถามเกี่ยวกับความคุ้นเคยระหว่างแม่ผู้ให้กําเนิดและพ่อของนางจริง ๆ นางไม่สามารถพูดได้เผยเสียนเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านอันกั๋วกง ตั้งแต่เด็กก็เป็นเด็กท
เดิมทีเหออวี่เหยาไม่ได้คิดว่าจะเค้นคําพูดจากปากของฮูหยินเฒ่าเหอได้ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องในอดีตของท่านพ่อ ไม่อาจเล่าให้คนรุ่นหลังอย่างตนฟังได้แต่ท่าทีของท่านย่ากลับทําให้เหออวี่เหยามั่นใจได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแปลก ๆ ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น“ในเมื่อท่านย่าไม่อยากพูดถึงอีก หลานสาวก็จะไม่ถามอีกเจ้าค่ะ” เห้ออวี่เหยาซบหน้าลงบนตักของฮูหยินเฒ่าด้วยรอยยิ้ม ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแต่ในใจกลับมีความคิดอื่นวันนี้ จวนกว่างฉินโหวต้อนรับแขกที่หายากคนหนึ่ง คนผู้นี้ก็คือเหออวี่เหยาฮูหยินของกว่างฉินโหวซึ่งเป็นมารดาของกว่างหลางสือเป็นเพื่อนสนิทของฮูหยินอดีตอัวกว๋อโกงตอนท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางมักจะพาเหออวี่เหยาไปเยี่ยมจวนกว่างฉินโหวเหออวี่เหยาคิดไปคิดมา เรื่องของท่านแม่ เพื่อนสนิทของท่านย่าน่าจะรู้อยู่แล้ว จึงส่งเทียบเชิญไปยังจวนกว่างฉินโหวเหอซ่างซูเป็นคนเก็งกําไรอยู่แล้วเนื่องจากจวนกว่างฉินโหวค่อยๆ เสื่อมถอยลง หลายปีมานี้จึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกเขาแต่ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลของกงโหว ลูกชายของกว่างฉินโหวยังเป็นคนที่ค่อนข้างก้าวหน้า ได้ยินว่าฮูหยินของเขายังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นฮูหยินพร
จากนั้นก็ถอนหายใจเด็กโตแล้ว ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้แล้วเห็นฮูหยินโหวไม่พูดอะไรสักคํา คิดว่านางไม่ยอมบอกความจริงกับตัวเอง เหออวี่เหยาจึงก้มตัวลงโขกหัวอีกครั้ง “ขอให้ฮูหยินเฒ่าบอกเรื่องนี้กับข้า...”เหออวี่เหยาพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองฮูหยินโหว น้ำตาไหลอาบแก้ม“เรื่องนี้สําคัญมากสําหรับข้า”คําพูดของเหออวี่เหยาจริงจังมาก ในที่สุดฮูหยินโหวก็เปิดปากพูด “เมื่อก่อนท่านยายของเจ้าเคยกําชับข้าไว้ว่า เมื่อเจ้าโตขึ้น จะไม่มีทางบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเด็ดขาด”“แต่ข้ากลับรู้สึกว่า เมื่อลูกโตขึ้น ควรมีสิทธิ์เลือกเองถึงจะถูก”“ในเมื่อวันนี้เจ้าถามข้าถึงที่นี่แล้ว ข้าก็จะบอกเจ้าเอง”“แต่มีเพียงข้อเดียว เจ้าต้องสัญญากับหญิงชราคนนี้ว่า จะทําอะไรโง่ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”“ฮูหยินเฒ่าวางใจเถิด” ได้ยินฮูหยินโหวพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เหออวี่เหยาจะไม่เข้าใจความหมายของมันได้อย่างไร เพียงมองฮูหยินโหวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ต่อให้ตาย ก็ต้องให้พวกนางตาย”เมื่อเห็นเหอยวี่เหยาพูดเช่นนี้ ในใจของฮูหยินโหวก็มีความคิดคร่าว ๆพี่เหยาคงรู้อะไรบางอย่างจึงมาถามตนจึงลุกขึ้น ประคองนางไปที่เก้าอี้ข้างกายตน แล้วค่อยๆ เอ่ยปาก
“แต่แค่นี้ยังไม่นับ นับตั้งแต่นางหลินเข้าประตูมา แม่ของเจ้าก็ล้มป่วยแล้ว”“ต่อมาแม้ได้เจ้ามา ทําให้ชีวิตของแม่เจ้าในเรือนหลังนับว่าสบายใจขึ้นบ้าง แต่สุขภาพของนางขาดทุนแล้ว หลังจากพ่อเจ้าได้เป็นราชเลขากรมแรงงานได้ไม่กี่เดือนก็ป่วยตายเสียแล้ว”“ตอนนั้นท่านตาของเจ้าไม่อยากยุ่งกับพ่อของเจ้า แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกก็อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเหอ บ้านตระกูลเหอดี พวกเจ้าถึงจะดีได้”“ดังนั้นพ่อของเจ้าสามารถเลื่อนตําแหน่งได้ ท่านตาของเจ้าก็ช่วยด้วย”“แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเจ้าจะไม่มีชีวิตแบบนี้”“ต่อมา หลังจากที่แม่ของคุณเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งเดือน พ่อของเจ้าก็ช่วยยกนางหลินขึ้นมา”ฮุหยินโหวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงมองเหออวี่เหยาที่อยู่ข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ กลัวว่านางจะไม่สามารถยอมรับได้แต่ไม่คิดว่าเหออวี่เหยาจะมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับรู้เรื่องนี้มานานแล้วเหออวี่เหยารู้มานานแล้วจริง ๆ แต่ก็ไม่ถูกต้อง จะบอกว่ารู้ตั้งนานแล้วไม่ได้ แต่แค่เดาออกตั้งนานแล้วเท่านั้นหลังจากเงียบไปนาน เหออวี่เหยาก็มองฮูหยินโหวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยินเฒ่า อาการป่วยของแม่ข้า เกี่ยวข้องกับนาง