จากนั้นก็ถอนหายใจเด็กโตแล้ว ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้แล้วเห็นฮูหยินโหวไม่พูดอะไรสักคํา คิดว่านางไม่ยอมบอกความจริงกับตัวเอง เหออวี่เหยาจึงก้มตัวลงโขกหัวอีกครั้ง “ขอให้ฮูหยินเฒ่าบอกเรื่องนี้กับข้า...”เหออวี่เหยาพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองฮูหยินโหว น้ำตาไหลอาบแก้ม“เรื่องนี้สําคัญมากสําหรับข้า”คําพูดของเหออวี่เหยาจริงจังมาก ในที่สุดฮูหยินโหวก็เปิดปากพูด “เมื่อก่อนท่านยายของเจ้าเคยกําชับข้าไว้ว่า เมื่อเจ้าโตขึ้น จะไม่มีทางบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเด็ดขาด”“แต่ข้ากลับรู้สึกว่า เมื่อลูกโตขึ้น ควรมีสิทธิ์เลือกเองถึงจะถูก”“ในเมื่อวันนี้เจ้าถามข้าถึงที่นี่แล้ว ข้าก็จะบอกเจ้าเอง”“แต่มีเพียงข้อเดียว เจ้าต้องสัญญากับหญิงชราคนนี้ว่า จะทําอะไรโง่ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”“ฮูหยินเฒ่าวางใจเถิด” ได้ยินฮูหยินโหวพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เหออวี่เหยาจะไม่เข้าใจความหมายของมันได้อย่างไร เพียงมองฮูหยินโหวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ต่อให้ตาย ก็ต้องให้พวกนางตาย”เมื่อเห็นเหอยวี่เหยาพูดเช่นนี้ ในใจของฮูหยินโหวก็มีความคิดคร่าว ๆพี่เหยาคงรู้อะไรบางอย่างจึงมาถามตนจึงลุกขึ้น ประคองนางไปที่เก้าอี้ข้างกายตน แล้วค่อยๆ เอ่ยปาก
“แต่แค่นี้ยังไม่นับ นับตั้งแต่นางหลินเข้าประตูมา แม่ของเจ้าก็ล้มป่วยแล้ว”“ต่อมาแม้ได้เจ้ามา ทําให้ชีวิตของแม่เจ้าในเรือนหลังนับว่าสบายใจขึ้นบ้าง แต่สุขภาพของนางขาดทุนแล้ว หลังจากพ่อเจ้าได้เป็นราชเลขากรมแรงงานได้ไม่กี่เดือนก็ป่วยตายเสียแล้ว”“ตอนนั้นท่านตาของเจ้าไม่อยากยุ่งกับพ่อของเจ้า แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกก็อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเหอ บ้านตระกูลเหอดี พวกเจ้าถึงจะดีได้”“ดังนั้นพ่อของเจ้าสามารถเลื่อนตําแหน่งได้ ท่านตาของเจ้าก็ช่วยด้วย”“แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเจ้าจะไม่มีชีวิตแบบนี้”“ต่อมา หลังจากที่แม่ของคุณเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งเดือน พ่อของเจ้าก็ช่วยยกนางหลินขึ้นมา”ฮุหยินโหวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงมองเหออวี่เหยาที่อยู่ข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ กลัวว่านางจะไม่สามารถยอมรับได้แต่ไม่คิดว่าเหออวี่เหยาจะมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับรู้เรื่องนี้มานานแล้วเหออวี่เหยารู้มานานแล้วจริง ๆ แต่ก็ไม่ถูกต้อง จะบอกว่ารู้ตั้งนานแล้วไม่ได้ แต่แค่เดาออกตั้งนานแล้วเท่านั้นหลังจากเงียบไปนาน เหออวี่เหยาก็มองฮูหยินโหวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยินเฒ่า อาการป่วยของแม่ข้า เกี่ยวข้องกับนาง
เมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว กว่างเฉียนจึงกลับไปที่ตําหนักฉางชิว“องค์ชาย” กว่างเฉียนยืนต่อหน้าองค์ชายสามอย่างนอบน้อม รอองค์ชายสามสอบถามในใจขององค์ชายสามรู้สึกพึงพอใจกับขันทีน้อยสองคนนี้มาก เขาคิดไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะยังมีแผนสํารองเช่นนี้ตนเองจะต้องไม่ทําให้ท่านแม่ผิดหวังอย่างแน่นอนคิดถึงตรงนี้ องค์ชายสามก็เงยหน้ามองกว่างเฉียน “เป็นอย่างไรบ้าง?”“ทูลองค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หลินอินคนนั้น เกิดเรื่องขึ้นระหว่างทางกลับตอนไปงานเลี้ยงที่ลูกสาวของราชเลขาเหอเตรียมไว้”“คุณหนูเหอเป็นคนวางแผนใส่ร้าย”“คนที่ลักพาตัวนางไปก็เป็นคนที่คุณหนูเหอหามาให้ล่วงหน้า”“เดิมทีคุณหนูตระกูลเหอคิดจะพุ่งเป้ามาที่คุณหนูตระกูลหรง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินอินคนนั้นถึงยืนกรานที่จะเปลี่ยนรถม้ากับหรงเหวินเมี่ยว จึงได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ”เพราะรู้ว่าองค์ชายสามไม่สนใจรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม กว่างเฉียนจึงเลือกแต่สิ่งสําคัญที่จะเล่าให้องค์ชายสามฟังองค์ชายสามก็จับประเด็นสําคัญได้อย่างรวดเร็ว “ดังนั้นจึงเป็นลูกสาวของราชเลขาเหอ ทําร้ายลูกสาวของรองเสนาบดีหลิน”“ถ้าข้าจําไม่ผิด
หญิงรับใช้คนนั้นเห็นนางหลินเป็นเช่นนี้ ในใจก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยคนรับใช้เช่นนางหลินรู้วิธีการของนางหลินดี กลัวว่าจะถูกนางตีจนตายแค่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เมื่อครู่คุณหนูใหญ่มาแล้ว คุณหนู คุณหนูนางเห็นคุณหนูใหญ่เป็นคุณหนู พูดจาเหลวไหล”เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาของนางหลินที่จ้องมองมาที่นางราวกับมีด และอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน“บ่าว บ่าวอุดปากคุณหนูรองไว้ทันเวลา ดังนั้นคุณหนูรองจึงไม่ได้พูดอะไรมาก”เมื่อได้ยินคําพูดของสาวใช้ นางหลินก็หวนนึกถึงพฤติกรรมของเหออวี่เหยาเมื่อสักครู่ กลับไม่มีอะไรผิดปกติ คิดดูแล้วคงไม่สังเกตเห็นนางก้มลงมองเหออวิ๋นเหยาที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองอีกครั้งและถอนหายใจในใจหันไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเหออวิ๋นเหยา “ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี หากเรื่องนี้ถูกคนอื่นรู้เข้า เจ้าและครอบครัวของเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยไว้แน่”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเมื่อได้ยินนางหลินพูดเช่นนี้ สาวใช้ก็รีบคุกเข่าลง “ฮูหยินโปรดวางใจ บ่าวจะไม่บอกใครเด็ดขาด”นางหลินมองนางอีกครั้ง แล้วจึงออกจากเรือนของเหออวิ๋นเหยาไปอย่างวางใจนางหลินกลับไปที่ห้องหลักและน
การคุกเข่าของนางหลินทําเอาเหอหย่งงงงวยไม่น้อยเขารีบประคองนางลุกขึ้น “เจ้ามีอะไรก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องทําแบบนี้หรอก เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานแล้ว ทําไมต้องเกรงใจขนาดนี้ด้วย”นางหลินได้ยินคําพูดนี้ของเหอหย่ง ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที เหอหย่งประคองนางนั่งลง“นายท่าน พี่สะใภ้ไปฟ้องใต้เท้าศาลาว่าการแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าองค์ชายสามก็อยู่ด้วย จึงรับปากพี่สะใภ้ว่าจะล้างมลทินให้นาง”“นั่นเป็นเรื่องดี” เหอหย่งไม่รู้เหตุผลและพูดถึงเรื่องนี้จากมุมมองของเหยื่อทันใดนั้นเสียงของนางหลินก็ลดเบาลง "นายท่าน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นเหยาหรือ"“เกี่ยวข้องกับอวิ๋นเหยา? มันหมายความว่าอะไร?”นางหลินเล่าเรื่องนี้ให้เหอหย่งฟังอย่างละเอียด พอเหอหย่งได้ยินก็นิ่งงันอยู่ที่เดิมทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรได้และกวาดถ้วยบนโต๊ะน้ำชาทั้งหมดลงบนพื้นไม่พูดไม่จา สีหน้าบึ้งตึงนางหลินก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน ไม่กล้าพูดอะไรที่จวนตระกูลหลินกับจวนตระกูลเหอก็ยุ่งเหยิงไปหมดเช่นกันภายในวังตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายเฉกเช่นกันในตำหนักจิ่นซิ่ว ไม่ง่ายเลยที่องค์หญิงหกจะสงบลงได้ เสิ่นหนิงถึงได้มีกะจิตกะใจที่จะสนใจ
เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นนางกํานัลที่ดูแลตําหนักจิ่นซิ่วแห่งนี้ แต่หลังจากเยว่หรานมาถึง คิดไม่ถึงว่าจะมาแทนที่ตนแล้วแต่เพียงแค่เยว่หราน ก็ช่างมันเถอะไป๋หลิงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าอาศัยความสัมพันธ์ของตนเองเข้าไปรับใช้ในตําหนักจิ่นซิ่ว แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากพระมเหสี ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นนางกํานัลขั้นหนึ่งแล้ว ถึงขนาดได้รับความโปรดปรานจากพระมเหสีมากกว่าตนเองเสียอีกเสิ่นหนิงจัดการทุกอย่างเรียบร้อย สั่งให้พวกนางถอยออกไป ส่วนตัวเองก็พักผ่อนอย่างสบายใจไป๋หลิงกลับแอบเข้าไปใกล้อวิ๋นหลาน ดึงแขนเสื้อนางเบาๆ “พี่หญิงอวิ๋นหลาน”อวิ๋นหลานหันไปมองไป๋หลิง แต่ดวงตาของนางกลับไม่มีความปิติยินดีเหมือนก่อนหน้านี้“พี่หญิงอวิ๋นหลานวางใจเถิด ไม่ว่าพระมเหสีจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่ข้ามหน้าข้ามตาพี่หญิงเด็ดขาด” ไป๋หลิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมากลับเป็นอวิ๋นหลานที่แปลกใจเล็กน้อย รีบอธิบายเพื่อปกปิดความอึดอัดใจของตัวเอง “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”ไป๋หลิงกลับยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หญิงหวังดีกับข้า มิฉะนั้นพี่หญิงคงไม่พาข้าเข้าตำหนักจิ่นซิ่ว”“ตอนนี้ข้ามีชีวิตที่สบายกว่าตอนอยู่ในตำหนักฉางชิวมาก”“ใน
นี่เป็นครั้งแรกที่อ๋องอี้คํานับเสิ่นหนิง“หลายวันมานี้ คิดว่าทางองค์ชายสามคงเริ่มลงมือแล้ว เจ้าอยู่ในวังดูให้มากๆ หน่อย”พูดจบก็เดินออกไปทางหน้าต่างนานๆ ทีเสิ่นหนิงจะได้นอนหลับอย่างสงบสุขตอนนี้คนที่นอนหลับยากที่สุดในวัง เกรงว่าจะเป็นองค์หญิงสามแล้วตั้งแต่สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินถูกประหารชีวิต นางก็ถูกเสด็จย่าตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักเหยียนเหอของพระสนมหลานเฟยองค์หญิงสามไม่เต็มใจ เพราะพระสนมหลานเฟยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระสนมหวงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในวังต่างก็รู้กันดีพระสนมหวงกุ้ยเฟยซ่งชิงเหยียนคนนั้นเป็นศัตรูที่ฆ่ามารดาของนาง นางจะไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาดตอนนั้นองค์หญิงสามก็คิดเพียงว่า ไม่ว่าพระสนมหลานเฟยจะเอาใจตนอย่างไร ตนก็จะไม่สนใจนางเด็ดขาดแต่ไม่คิดว่าพระสนมหลานเฟยจะไม่มีความกระตือรือร้นต่อนางเลยเมื่อนางมาถึง ก็ได้พบกับนางครั้งหนึ่ง และได้กําชับสาวใช้ข้างกายนางอีกสองสามประโยคตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยริเริ่มที่จะพบตัวเองอีกเลยองค์หญิงสามกลับตื่นตระหนกเล็กน้อยก็เลยเกิดความคิดแบบนั้นขึ้นมา ต้องสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองบ้างแต่นางไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รู้จักก
ทันใดนั้นมีเรื่องหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของซ่งชิงเหยียน นางพูดกับฉยงหัวไม่กี่คํา แล้วกําชับให้นางกลับไปพักผ่อนก่อนลู่ซิงหว่านง่วงนอนแล้ว แต่ซ่งชิงเหยียนกลับรู้สึกผิดในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าตัวเองหลอกใช้เด็กคนหนึ่ง ไม่ควรเลยจริงๆแต่ตอนนี้นางมีเรื่องสําคัญต้องหยั่งเชิงลู่ซิงหว่าน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ อยากฟังลู่ซิงหว่านพูดว่าอย่างไรแต่นางค่อนข้างกลัวฉยงหัวหลังจากการหยั่งเชิงกับลู่ซิงหว่านหลายครั้งก่อนหน้านี้ ลู่ซิงหว่านก็ยืนยันในใจแล้วว่าฉยงหัวคนนี้คือพี่หญิงฉยงหัวที่อยู่ในโลกบําเพ็ญเซียนของนางดูจากท่าทางของฉยงหัวแล้ว คงเป็นเพราะสูญเสียพลังวิญญาณจึงตกต่ำลงเช่นนี้ซ่งชิงเหยียนก็กลัวเช่นกัน ถ้าฉยงหัวก็ฟื้นคืนพลังได้บ้างแล้ว ได้ยินเสียงในใจของหวานหว่าน จะไม่รู้สึกว่านางเป็นสัตว์ประหลาดหรอกหรือนางกลับลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า สิ่งที่ลู่ซิงหว่านต้องการก็คือได้รื้อฟื้นกับพี่หญิงฉยงหัวของนางไม่ใช่หรือไงกัน?หลังจากส่งฉยงหัวไปแล้ว จิ่นซินก็กลับมารับใช้พระสนมและเข้านอนซ่งชิงเหยียนอุ้มลู่ซิงหว่านยืนอยู่หน้าเตียง ตั้งใจพึมพํากับจิ่นซินและจิ่นอวี้ว่า “พรุ่งนี้ต้องไปที่ตําหนักซิงหยาง”“พรุ่งนี้บ่า