การคุกเข่าของนางหลินทําเอาเหอหย่งงงงวยไม่น้อยเขารีบประคองนางลุกขึ้น “เจ้ามีอะไรก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องทําแบบนี้หรอก เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานแล้ว ทําไมต้องเกรงใจขนาดนี้ด้วย”นางหลินได้ยินคําพูดนี้ของเหอหย่ง ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที เหอหย่งประคองนางนั่งลง“นายท่าน พี่สะใภ้ไปฟ้องใต้เท้าศาลาว่าการแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าองค์ชายสามก็อยู่ด้วย จึงรับปากพี่สะใภ้ว่าจะล้างมลทินให้นาง”“นั่นเป็นเรื่องดี” เหอหย่งไม่รู้เหตุผลและพูดถึงเรื่องนี้จากมุมมองของเหยื่อทันใดนั้นเสียงของนางหลินก็ลดเบาลง "นายท่าน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นเหยาหรือ"“เกี่ยวข้องกับอวิ๋นเหยา? มันหมายความว่าอะไร?”นางหลินเล่าเรื่องนี้ให้เหอหย่งฟังอย่างละเอียด พอเหอหย่งได้ยินก็นิ่งงันอยู่ที่เดิมทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรได้และกวาดถ้วยบนโต๊ะน้ำชาทั้งหมดลงบนพื้นไม่พูดไม่จา สีหน้าบึ้งตึงนางหลินก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน ไม่กล้าพูดอะไรที่จวนตระกูลหลินกับจวนตระกูลเหอก็ยุ่งเหยิงไปหมดเช่นกันภายในวังตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายเฉกเช่นกันในตำหนักจิ่นซิ่ว ไม่ง่ายเลยที่องค์หญิงหกจะสงบลงได้ เสิ่นหนิงถึงได้มีกะจิตกะใจที่จะสนใจ
เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นนางกํานัลที่ดูแลตําหนักจิ่นซิ่วแห่งนี้ แต่หลังจากเยว่หรานมาถึง คิดไม่ถึงว่าจะมาแทนที่ตนแล้วแต่เพียงแค่เยว่หราน ก็ช่างมันเถอะไป๋หลิงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าอาศัยความสัมพันธ์ของตนเองเข้าไปรับใช้ในตําหนักจิ่นซิ่ว แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากพระมเหสี ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นนางกํานัลขั้นหนึ่งแล้ว ถึงขนาดได้รับความโปรดปรานจากพระมเหสีมากกว่าตนเองเสียอีกเสิ่นหนิงจัดการทุกอย่างเรียบร้อย สั่งให้พวกนางถอยออกไป ส่วนตัวเองก็พักผ่อนอย่างสบายใจไป๋หลิงกลับแอบเข้าไปใกล้อวิ๋นหลาน ดึงแขนเสื้อนางเบาๆ “พี่หญิงอวิ๋นหลาน”อวิ๋นหลานหันไปมองไป๋หลิง แต่ดวงตาของนางกลับไม่มีความปิติยินดีเหมือนก่อนหน้านี้“พี่หญิงอวิ๋นหลานวางใจเถิด ไม่ว่าพระมเหสีจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่ข้ามหน้าข้ามตาพี่หญิงเด็ดขาด” ไป๋หลิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมากลับเป็นอวิ๋นหลานที่แปลกใจเล็กน้อย รีบอธิบายเพื่อปกปิดความอึดอัดใจของตัวเอง “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”ไป๋หลิงกลับยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หญิงหวังดีกับข้า มิฉะนั้นพี่หญิงคงไม่พาข้าเข้าตำหนักจิ่นซิ่ว”“ตอนนี้ข้ามีชีวิตที่สบายกว่าตอนอยู่ในตำหนักฉางชิวมาก”“ใน
นี่เป็นครั้งแรกที่อ๋องอี้คํานับเสิ่นหนิง“หลายวันมานี้ คิดว่าทางองค์ชายสามคงเริ่มลงมือแล้ว เจ้าอยู่ในวังดูให้มากๆ หน่อย”พูดจบก็เดินออกไปทางหน้าต่างนานๆ ทีเสิ่นหนิงจะได้นอนหลับอย่างสงบสุขตอนนี้คนที่นอนหลับยากที่สุดในวัง เกรงว่าจะเป็นองค์หญิงสามแล้วตั้งแต่สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินถูกประหารชีวิต นางก็ถูกเสด็จย่าตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักเหยียนเหอของพระสนมหลานเฟยองค์หญิงสามไม่เต็มใจ เพราะพระสนมหลานเฟยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระสนมหวงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในวังต่างก็รู้กันดีพระสนมหวงกุ้ยเฟยซ่งชิงเหยียนคนนั้นเป็นศัตรูที่ฆ่ามารดาของนาง นางจะไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาดตอนนั้นองค์หญิงสามก็คิดเพียงว่า ไม่ว่าพระสนมหลานเฟยจะเอาใจตนอย่างไร ตนก็จะไม่สนใจนางเด็ดขาดแต่ไม่คิดว่าพระสนมหลานเฟยจะไม่มีความกระตือรือร้นต่อนางเลยเมื่อนางมาถึง ก็ได้พบกับนางครั้งหนึ่ง และได้กําชับสาวใช้ข้างกายนางอีกสองสามประโยคตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยริเริ่มที่จะพบตัวเองอีกเลยองค์หญิงสามกลับตื่นตระหนกเล็กน้อยก็เลยเกิดความคิดแบบนั้นขึ้นมา ต้องสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองบ้างแต่นางไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รู้จักก
ทันใดนั้นมีเรื่องหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของซ่งชิงเหยียน นางพูดกับฉยงหัวไม่กี่คํา แล้วกําชับให้นางกลับไปพักผ่อนก่อนลู่ซิงหว่านง่วงนอนแล้ว แต่ซ่งชิงเหยียนกลับรู้สึกผิดในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าตัวเองหลอกใช้เด็กคนหนึ่ง ไม่ควรเลยจริงๆแต่ตอนนี้นางมีเรื่องสําคัญต้องหยั่งเชิงลู่ซิงหว่าน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ อยากฟังลู่ซิงหว่านพูดว่าอย่างไรแต่นางค่อนข้างกลัวฉยงหัวหลังจากการหยั่งเชิงกับลู่ซิงหว่านหลายครั้งก่อนหน้านี้ ลู่ซิงหว่านก็ยืนยันในใจแล้วว่าฉยงหัวคนนี้คือพี่หญิงฉยงหัวที่อยู่ในโลกบําเพ็ญเซียนของนางดูจากท่าทางของฉยงหัวแล้ว คงเป็นเพราะสูญเสียพลังวิญญาณจึงตกต่ำลงเช่นนี้ซ่งชิงเหยียนก็กลัวเช่นกัน ถ้าฉยงหัวก็ฟื้นคืนพลังได้บ้างแล้ว ได้ยินเสียงในใจของหวานหว่าน จะไม่รู้สึกว่านางเป็นสัตว์ประหลาดหรอกหรือนางกลับลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า สิ่งที่ลู่ซิงหว่านต้องการก็คือได้รื้อฟื้นกับพี่หญิงฉยงหัวของนางไม่ใช่หรือไงกัน?หลังจากส่งฉยงหัวไปแล้ว จิ่นซินก็กลับมารับใช้พระสนมและเข้านอนซ่งชิงเหยียนอุ้มลู่ซิงหว่านยืนอยู่หน้าเตียง ตั้งใจพึมพํากับจิ่นซินและจิ่นอวี้ว่า “พรุ่งนี้ต้องไปที่ตําหนักซิงหยาง”“พรุ่งนี้บ่า
ซ่งชิงเหยียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเล็กๆ ของลู่ซิงหว่าน “หวานหว่านตื่นแล้ว!”จากนั้นนางก็ชะโงกหน้าออกไปและตะโกนไปยังทิศทางนอกประตู "จิ่นซิน"จิ่นซินกับจิ่นอวี้รออยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว เตรียมของทุกอย่างไว้หมดแล้ว รอแค่ให้ทั้งสองคนตื่นมาล้างหน้าล้างตาเท่านั้นจิ่นซินรีบบิดผ้าเช็ดหน้าจิ่นอวี้รีบไปเก็บผ้าม่าน เก็บไปพลางบ่นพึมพําไปพลาง “พระสนมก็ตื่นสายเกินไปแล้ว โชคดีที่ฝ่าบาททรงห่วงใยพระสนม จึงไม่ให้พระสนมไปถวายพระพรที่ตําหนักจิ่นซิ่ว”“แต่ทําเช่นนี้ก็ไม่ดี หากพระสนมคนอื่นในวังมาหาท่าน แล้วพบว่าท่านยังหลับอยู่ จะไม่เป็นการเสียมารยาทหรือเพคะ”ซ่งชิงเหยียนกําลังจะอธิบายบางอย่าง แต่ถูกขัดจังหวะโดยเสียงของจิ่นซิน“คําพูดของจิ่นอวี้ไม่ถูกต้อง เจ้าจําไม่ได้หรือว่าตอนนั้นพระสนมปฏิเสธถูกแต่งตั้งเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยมากแค่ไหน?”“ยังคงเป็นข้นทีเมิ่งที่พูดประโยคหนึ่ง พระสนมสามารถนั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับฮองเฮาได้ และไม่จําเป็นต้องตื่นเช้าไปถวายพระพรทุกวัน”“พระสนมถึงได้รับปาก!”เมื่อทั้งสองคนคุยกันถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็แทรกเข้าไปอย่างรู้งาน “พวกนางสองคนอย่าล้อข้าเล่นที่นี่นะ เพราะหวานหว่าน
ซ่งชิงเหยียนก็ยิ้มพลางพูดว่า “พระสนมเหวินเฟยของเจ้าจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”“พ่ะย่ะค่ะ เช้าวันนี้พระสนมเหวินเฟยพระสนมได้เตรียมของขวัญเป็นพิเศษ ให้จิ่นรุ่ยนํามาให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” พูดถึงตรงนี้ องค์รัชทายาทกลับเกาศีรษะอย่างเขินอาย “เดิมทีกระหม่อมไม่อยากรับ แต่พระสนมเหวินเตรียมแท่นฝนหมึกที่มีเฉพาะในแคว้นต้าหลี่เท่านั้น กระหม่อมไม่อาจหักห้ามใจได้จริงๆ...”เมื่อเห็นท่าทางของเด็กน้อยที่หายากขององค์รัชทายาท ลู่ซิงหว่านก็ยิ้มตามซ่งชิงเหยียน[แต่หายากนะที่จะได้เห็นนิสัยของเด็กน้อยอย่างพี่ชายรัชทายาท][แต่ไหนแต่ไรมาพี่ชายรัชทายาทมักจะแสดงออกว่าไม่มีความปรารถนาใดๆ เป็นคนมั่นคงมาก][แต่ข้ากลับเห็นว่า พี่ชายขององค์รัชทายาทในตอนนี้ มีความชอบของตัวเอง และมีความรังเกียจของตัวเอง นี่ถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ!]ซ่งชิงเหยียนได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็อดสงสารองค์รัชทายาทไม่ได้ “หายากนะที่จะได้เห็นเจ้ามีอะไรที่ชอบ”“ในเมื่อชอบก็อยู่ต่อเถอะ ไม่ว่าเจ้าค่าจะเป็นเช่นไร ล้วนเป็นน้ำใจของเจ้าพระสนมเหวิน”ซ่งชิงเหยียนไม่คุ้นเคยกับแท่นฝนหมึกและพู่กันมากนัก แต่แท่นฝนหมึกที่สืบทอดกันมาแต่ไหนแต่ไรมา รัชท
[ทําไมเสด็จพ่อถึงดื้อรั้นขนาดนี้!][องค์ชายสามเป็นเจ้านายที่โหดเหี้ยมที่สุดในบรรดาลูกๆ ของเขา เขายังกล้าใช้เขาให้เป็นประโยชน์อีก!][ข้าคิดว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากองค์ชายสามถึงจะยอมวางเขาลง][จะว่าไป เสด็จพ่อก็ทรงให้ความจริงใจกับพระสนมเต๋อเฟยคนนี้ ดังนั้นจึงทรงอดทนต่อลูกๆ ของนางทุกวิถีทางเช่นนี้][องค์หญิงหกวางยาพิษสองครั้ง และเกือบจะทําร้ายลูกของพี่หญิงใหญ่จนรักษาไว้ไม่ได้ ทั้งยังใส่ร้ายป้ายสีท่านแม่ เสด็จพ่อก็ปล่อยนางไปแบบนี้][องค์ชายสามก็ทําผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งโปรดปรานนางกํานัล ทั้งยังจัดมือสังหาร เสด็จพ่อกลับให้ความสําคัญกับเขาอีกครั้ง]พูดถึงเรื่องมือสังหาร ซ่งชิงเหยียนพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ หันไปถามองค์รัชทายาทว่า “เรื่องมือสังหารก่อนหน้านี้ สืบได้หรือยัง?”รัชทายาทส่ายหน้า “เสด็จพ่อได้มอบหมายเรื่องทั้งหมดให้องครักษ์เงามังกรไปตรวจสอบแล้ว ก็ดี หากตรวจสอบได้ว่าเกี่ยวข้องกับจิ่นเฉินจริงๆ ก็ช่วยให้ข้าจัดการได้ยาก”ซ่งชิงเหยียนกลับรู้สึกว่าไม่เลว จึงพยักหน้าในห้องเงียบไปนาน ในที่สุดซ่งชิงเหยียนก็เอ่ยปาก “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าราชเลขากรมคลังสนับสนุนจิ่นเฉินหรือ?
คิดแล้วคงเพราะเรื่องที่องค์ชายสี่เข้าศึกษาในห้องทรงอักษรครั้งนี้ซ่งชิงเหยียนเดาไม่ถูกทั้งหมดเมื่อเห็นซ่งชิงเหยียนมา พระสนมเหวินเฟยก็รีบเข้าไปจับมือซ่งชิงเหยียน ปากก็พูดว่า “น้องหญิงได้ยินหรือยัง?” จิ่นรุ่ยเข้าไปเรียนนิทานในห้องทรงอักษรแล้วซ่งชิงเหยียนยิ้ม “ข้ารู้ จิ่นรุ่ยเป็นเด็กที่ขยันขันแข็งจริงๆ เพียงไม่กี่วันก็ได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาทแล้ว”พระสนมเหวินเฟยพยายามทําให้จิตใจของตนมั่นคง ยิ้มต่อไปพลางพูดว่า “ต้องขอบคุณน้องหญิงและองค์รัชทายาทที่ช่วยเหลือ”“จิ่นรุ่ยอยู่ในวังหลังแห่งนี้ ไม่ได้มีความคิดอื่นใด เพียงแค่ชอบอ่านนิทานเท่านั้น เมื่อได้รับโอกาสเช่นนี้ เขาอยู่ในวังก็มีความสุขมากแล้ว”พูดถึงตรงนี้ พระสนมเหวินเฟยรู้สึกว่าลมหายใจที่อุดอยู่ในอกนั้นดูเหมือนจะออกไปบ้างแล้ว[มังกรให้กําเนิดลูกเก้าคนแตกต่างกันจริงๆ!] นึกไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะเป็นคนที่ชอบอ่านตำรา[แต่ในวังหลังนี้ ไม่สามารถเข้าร่วมการเมืองได้ มีที่พึ่งก็ดีเหมือนกัน]ในขณะที่ลู่ซิงหว่านกําลังครุ่นคิดอยู่นั้น พระสนมเหวินเฟยก็รับจานใบหนึ่งมาจากสาวใช้ที่อยู่ข้างหลัง แล้ววางลงบนโต๊ะเขาเปิดผ้าคลุมหน้าบางๆ ที่คลุมอยู