องค์รัชทายาทมองตามทิศทางที่องค์ชายสี่จากไป ยืนเหม่ออยู่นานโดยไม่ได้ออกเดินเมื่อเห็นองค์ชายสี่กลับมาอีกครั้ง อวิ๋นจูกำลังจะก้าวออกไปห้าม แต่พอดีสวนทางกับเมิ่งฉวนเต๋อที่กลับมาเมิ่งฉวนเต๋อเห็นองค์ชายสี่ก็รีบเข้าไปคำนับ “องค์ชายสี่เสด็จมาแล้ว กระหม่อมเพิ่งไปหาพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางมา แต่กลับไม่พบ”องค์ชายสี่ขมวดคิ้วถาม “ไม่ทราบว่ามหาขันทีเมิ่งมีธุระอะไรกับเสด็จแม่ของข้าหรือ?”“ฝ่าบาททรงให้กระหม่อมไปเชิญพระสนมเหวินเฟยที่ตำหนักหานหวางพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากทูตจากแคว้นต้าลี่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมิ่งฉวนเต๋อก้าวเข้าไปกล่าวองค์ชายสี่ได้ยินดังนั้น สีหน้าแสดงความไม่อยากเชื่อ มองไปทางอวิ๋นจูที่อยู่ข้างๆ ส่วนอวิ๋นจูเมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งฉวนเต๋อ ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนก รีบก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีกองค์ชายสี่นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาและคำกำชับของเสด็จพี่เมื่อครู่ ตอนนี้มีทูตจากแคว้นต้าลี่อยู่ แม้จะเป็นอาแท้ๆ ของตน แต่ก็ไม่อาจทำให้เสด็จพ่อและแคว้นต้าฉู่เสียหน้าในเวลานี้ได้ จึงต้องกลืนความขุ่นเคืองไว้ก่อนเขายิ้มพูดกับเมิ่งฉวนเต๋อว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ เสด็จแม่ของข้าไปที่ตำหนักของพระสนมเฉิ
หลังจากจิ่นรุ่ยออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปแล้ว พระสนมเหวินเฟยก็ทักทายกับซ่งชิงเหยียนไม่กี่คำแล้วกลับไปยังตำหนักหานกวางของตนองค์ชายสี่เดินทางไปยังตำหนักหานกวางพร้อมกับอี้ซวนอ๋องและพระชายา เนื่องจากนึกถึงคำกำชับของเสด็จพี่ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรตลอดทางทำให้อี้ซวนอ๋องและพระชายาที่เดินตามหลังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เมื่อครู่ดูเหมือนองค์ชายสี่จะเป็นเด็กที่รู้กาลเทศะ แต่ตอนนี้เหตุใดถึงเย็นชาเช่นนี้ หรือว่าเมื่อครู่แสดงออกเพียงเพื่อเอาใจฮ่องเต้ต้าฉู่เท่านั้น?ขณะที่ทั้งสองกำลังครุ่นคิด ก็เข้ามาถึงตำหนักหลักของตำหนักหานกวางแล้วพระสนมเหวินเฟยไล่ทุกคนออกไปแต่แรก เหลือเพียงนางกำนัลคนสนิทที่ติดตามมาจากแคว้นต้าลี่เท่านั้นหลังจากปิดประตูห้องโถง พระสนมเหวินเฟยรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นเต้นจนก้าวเดินสะดุดเล็กน้อยแม้แต่นางกำนัลเองก็ยังมีน้ำตาคลอนางเป็นนางกำนัลที่รับใช้ราชวงศ์ต้าลี่ ตามองค์หญิงมาแต่งงานที่แคว้นต้าฉู่ และใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนต่างถิ่นมากว่าสิบปีแล้วนึกถึงความทุกข์ทรมานที่พระสนมของตนได้ประสบมาตลอดหลายปีนี้ จึงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้พระชายาอี้ซวนอ๋องรีบเดินเข้
พระสนมเหวินเฟยมองออกว่านางเสียดาย จึงปลอบเบา ๆ ว่า "อาเหยาไม่ต้องเศร้าไป บัดนี้นางเป็นหวงกุ้ยเฟยของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ให้นางมีฐานะเท่าเทียมกับฮองเฮา และไม่ต้องดูแลเรื่องจุกจิกต่าง ๆ อีก ชีวิตเป็นอิสระมาก"ทว่าฟู่เหยากลับคร่ำครวญเบา ๆ "นางกลับยังนั่งนิ่งได้"พระสนมเหวินเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า "จะว่าไป ข้ากลับรู้สึกว่าคนอย่างหวงกุ้ยเฟย ไม่มีใครคู่ควรกลับนาง แม้แต่คนรักเก่าของนางผู้นั้นก็ยังห่างชั้นจากนางมาก ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว มีอำนาจปกป้อง นางจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ"เมื่อรู้ความคิดของเสี่ยวหร่าน ฟู่เหยาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก "งานเลี้ยงพระราชวังตอนกลางคืนข้าจะต้องดูนางให้ดี ๆ เพื่อดูว่ายังมีฝีมือเหมือนเดิมหรือไม่"หลีซื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของพระชายาตัวเอง ก็จับแขนของนางเบา ๆ "อาเหยา!"แม้ว่าจะเป็นการตำหนิ แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนพระสนมเหวินเฟยดูชีวิตปัจจุบันของพี่ชายกับอาเหยา ในใจมีความสุขกับพวกเขาถ้าหากบอกว่าอิจฉาก็เปล่า บัดนี้ตนมีสถานะเช่นนี้อยู่แล้ว จิ่นรุ่ยเองก็โตแล้ว กลับตัดความคิดเรื่องความรักเหล่านั้นอ
ภายในตำหนักชิงอวิ๋น หลังจากที่พระสนมเหวินเฟยจากตำหนักชิงอวิ๋นไปได้ไม่นาน เหมยอิ่งและจวี๋อิ่งก็มาถึง"คุณหนูเจ้าค่ะ หลายวันมานี้จวี๋อิ่งได้ตรวจสอบเรื่องที่พระสนมหลานเฟยถูกวางยาพิษมาตลอดช่วงนี้ เมื่อหลายวันก่อนนางได้พบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าน้อยจึงไปไปตรวจสอบอีกครั้งและพบบางอย่าง"ซ่งชิงเหยียนรู้ดีว่า หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหมยอิ่งคงไม่มาพร้อมกับจวี๋อิ่ง จึงตั้งตัวให้ตรงพร้อมกับมองไปที่เหมยอิ่ง โดยไม่พูดอะไร เพียงรอคำพูดต่อไปของนางเหมยอิ่งมองไปที่จวี๋อิ่ง จวี๋อิ่งจึงรับหน้าที่พูดต่อ "ข้าน้อยคิดว่าการถูกวางยาพิษของพระสนมหลานเฟยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม่นางอูผู้นั้นเองก็พูดว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้พิษอย่างเร่งรีบจนพลาดท่า ข้าน้อยคิดว่าพิษนี้น่าจะมาจากอาหาร จึงไปตรวจสอบบันทึกในตำหนักเหยียนเหอในช่วงเวลานั้น ในที่สุดก็พบเบาะแสเจ้าค่ะ หลายวันก่อนหน้าที่พระสนมหลานเฟยจะถูกพิษ ในช่วงนั้นมีของหวานเพิ่มขึ้นมา""ข้าน้อยจึงไปไปตรวจสอบห้องเครื่องอีกครั้ง บันทึกของห้องเครื่องไม่ได้มีของหวานชนิดนี้" เมื่อจวี๋อิ่งพูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังซ่งชิงเหยียน "คุณหนูเดาว่าของหวานนี้มาจากไหน?"นิสัยของจวี๋อิ่งไม
ในใจก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ นางได้ฝึกวรยุทธ์กับคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่สามารถฝึกจนเก่งมากอะไร แต่ร่างกายของนางก็แข็งแรงกว่าสาวใช้คนอื่น ๆ พวกนั้นมาโดยตลอด วันนี้กลับวิ่งตามแม่นางฉยงหัวไม่ทันซ่งชิงเหยียนเห็นจิ่นอวี้เดินหอบเข้ามา จากนั้นก็เห็นท่าทางของฉยงหัวที่หายใจอย่างปกติ ก็ประหลาดใจมากว่า "แม่นางฉยงหัวร่างกายแข็งแรงจริง ๆ จิ่นอวี้เป็นคนที่แข็งแรงมาโดยตลอด"ทว่าฉยงหัวกลับเกาหัวด้วยความเขินอายเล็กน้อย "ข้าลืมไปว่าแม่นางจิ่นอวี้ยังอยู่ข้างหลัง"พูดจบก็ย่อคำนับจิ่นอวี้ เพื่อแสดงการขอโทษ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่หวงกุ้ยเฟย "ข้าติดตามท่านไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาตั้งแต่เด็ก จึงได้ฝึกมา"ซ่งชิงเหยียนก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามอะไรมาก จึงชี้ไปที่สองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ "ขอให้แม่นางฉยงหัวช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่า นี่เป็นยาชนิดเดียวกันหรือไม่"ขณะพูดก็กำชับอีกว่า "นี่เป็นยาพิษ แม่นางฉยงหัวต้องระวังด้วย"ฉยงหัวพยักหน้า พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าเปิดยานั้นเบา ๆ แต่กลับหัวเราะออกมา "พระสนมสบายใจได้ นี่ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรงอะไร""ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง?" ซ่งชิงเหยียนขมวดคิ้ว ตอนนั้นภาพของหว่านหว่านที่มีผื่นและมีไข
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็หันมามองเหมยอิ่งอีกครั้ง "ยานี้เจ้าเอามาหมดแล้วใช่ไหม?"เหมยอิ่งส่ายหัว "คุณหนูส่ายหัว ข้าน้อยหยิบมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตำหนักของนางยังมีอยู่อีกมาก" ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหมยอิ่งอีกครั้ง "ไปตรวจดูอาการปวดศีรษะของฝ่าบาท ว่าเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่"พูดจบก็กำชับอีกว่า "ต้องระมัดระวัง อย่าให้ฝ่าบาททรงจับได้"เหมยอิ่งและจวี๋อิ่งรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป ฉยงหัวกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ตั้งเองครั้นจะไปก็ไม่ใช่ ครั้นจะอยู่ก็ไม่ดีโชคดีที่หวงกุ้ยเฟยยังไม่ลืมตัวเอง "เรื่องวันนี้...""พระสนมวางใจได้" ฉยงหัวเป็นคนรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี ในเมื่อหวงกุ้ยเฟยเชื่อใจตนเอง ตนเองก็จะไม่ทำให้นางไม่สบายใจ "วันนี้ข้ามาเพื่อจับชีพจรให้พระสนมเพียงเท่านั้น"พูดจบก็ย่อคำนับและขอตัวจากไป "คนเราไม่ควรมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกจริง ๆ" จิ่นซินอดบ่นพึมพำไม่ได้ "ฮองเฮามองดูท่าทางเป็นมิตรเช่นนั้น ครอบครัวเดิมของนางก็มีมารยาทแบบนั้น มองดูแล้วก็ไม่เหมือนคนโลภมาก แต่ฮองเฮากลับทำเรื่องเช่นนี้ได้""ถ้าหากฝ่าบาทรู้ จะต้องกริ้วเ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสิ่นหนิงก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง "ช่วงหลายวันมานี้ หม่อมฉันได้รับผิดชอบเรื่องในวังหลัง กลับมีความรู้สึกหลายอย่างเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ช่วงนี้ลืมถามเจ้าไปเลย ว่าจัดการเรื่องในวังหลังเป็นอย่างไรบ้าง? ปรับตัวได้หรือยัง?"ในใจของเสิ่นหนิงแอบบ่นอย่างเงียบ ๆ ท่านไม่ได้ลืมถามข้าหรอก ท่านนี่คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นฮองเฮาอยู่กระมัง! มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่แต่งตั้งฮองเฮาแล้วไม่เคยโผล่หน้าไปที่ตำหนักของฮองเฮาสักครั้งเลยแต่ภายนอกเสิ่นหนิงกลับไม่แสดงออก เพียงยิ้มและประจบว่า "ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงเพคะ หวงกุ้ยเฟยจัดการเรื่องในวังหลังได้ดีมาก หม่อมฉันแค่รับช่วงต่อเท่านั้น ไม่มีอะไรยากลำบากเลยเพคะ"ตอนนี้อำนาจในการจัดการวังหลังทั้งหกอยู่ในมือของนางแล้ว นางจะยอมแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร"เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันคิดไปคิดมา รู้สึกว่าอย่างไรก็ควรกราบทูลฝ่าบาท" หลังจากพูดคุยไปสักพัก ก็พาเข้าสู่ประเด็นหลักเสิ่นหนิงรู้สึกชัดเจนว่า พอพูดถึงพระสนมเต๋อเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตัวแข็งทื่อทันที แต่แสร้งทําเป็นใจเย็นว่า "เกิดอะไรขึ้น?
ไม่นานนัก อวิ๋นจูก็วิ่งกลับมาด้วยความตกใจหลังจากค้นหาอยู่นาน “พระสนม ตู้ใบนั้นวางเปล่าเพคะ”ว่างเปล่าหรือ?” เสิ่นหนิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าตนเองจะถูกจับตามองจริงเสียแล้ว ตู้ใบนั้นใส่ยาถอนพิษของตนเองไว้ ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำยาถอนพิษไปหมด ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตนเองเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของวันนี้ตอนนี้ก็ถึงยามเย็นแล้ว อีกไม่นานงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้นแวลายามระกา หากตอนนี้จะไปปรุงยา แล้วแช่ยาสมุนไพร แถมยังแต่งตัวอีก คงไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ อวิ๋นหลาน เจ้าไปกราบทูลฮ่องเต้ บอกว่าข้าเพิ่งกลับมาจากตำหนักหลงเซิง แล้วพักผ่อนไปเพียงครู่เดียว ก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ ขอให้หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รับหน้าที่แทน”“อย่าได้ทูลว่าข้ามีไข้เด็ดขาด”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้สมอง ตรงกันข้าม เขาทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากบังเอิญทรงตระหนักได้ว่าอาการของตัวเองคล้ายคลึงกับอาการของลู่ซิงหว่านในตอนนั้น...หากพบว่าอาการป่วยเหมือนกันทุกประการ แล้วตนเองจะทำเช่นไรดีอวิ๋นหลานถูกสายตาที่ดุดันของฮองเฮาทำให้ตกใจจนไม่ก