เสิ่นหนิงเงียบไปอยู่นาน จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า "บัดนี้ข้าคือฮองเฮา พวกเจ้าอยู่ข้างกายข้าก็ต้องมีมารยาทหน่อย"ชุนหลานและอวิ๋นจูรีบคุกเข่าลงอย่างรีบร้อน "บ่าวรับคำสั่งเพคะ"เสิ่นหนิงโบกมือ "ชุนหลานเปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นหลาน วันหลังก็อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายข้า"ได้จัดการเอาอวิ๋นจูมาเสียบในตำแหน่งคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าเอาอีกคนเข้ามาเสียบอีก เกรงว่าจะทําให้คนสงสัยได้ สู้ดึงชุนหลานมาเป็นพวกโดยตรงเลยดีกว่า เด็กคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความทะเยอทะยานมากไปหน่อยก็เท่านั้น แต่ควบคุมได้ง่ายอวิ๋นหลานรีบคุกเข่าขอบพระมหากรุณาธิคุณ "ขอขอบพระคุณฮองเฮาที่ประทานชื่อเพคะ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาอย่างสุดจิตสุดใจ"แน่นอนเสิ่นหนิงรู้ความไม่ลงรอยกันระหว่างอวิ๋นจูกับอวิ๋นหลานทั้งสองคนดี แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแต่กําชับแค่ประโยคหนึ่งว่า "ต่อไปเรื่องทุกอย่างทำตามคำสั่งของอวิ๋นจูก็พอ พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องสามัคคีร่วมใจกัน ถึงจะรับประกันความเจริญรุ่งเรืองของตำหนักจิ่นซิ่วได้"อวิ๋นจูและอวิ๋นหลานตอบรับอีกครั้งเพียงแค่พวกนางสองคน ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ในสายตาของอวิ๋นหลาน อวิ๋นจูก็แค่คนท
อวิ๋นหลานกำลังมองอยู่นอกวัง แต่ทว่าเกิดความไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย ตอนนี้ฮองเฮากลับคงให้ความสําคัญกับอวิ๋นจูนั่นมากกว่า จากนั้นไล่ตนออกมาเพื่อจะแอบสั่งอวิ๋นจูอย่างเงียบๆเมื่อเห็นอวิ๋นจูออกจากตำหนักจิ่นซิ่วไป ตอนนั้นนางก็สั่งสาวใช้ข้างกายไปปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาให้ดี ส่วนตัวนางจะตามอวิ๋นจูไปเดินตามอวิ๋นจูไปรอบๆ พระราชวังอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมาถึงเรือนแห่งหนึ่งที่อวิ๋นหลานไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นอวิ๋นจูเข้าไปในเรือน อวิ๋นหลานที่เห็นบริเวณรอบข้างถูกทิ้งร้าง ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็กัดฟันและตามไปแต่หลังจากเดินไปได้หนึ่งก้าว ก็ถูกคนตบที่คอด้านหลังและสลบลงกับพื้นทันทีคนที่ลงมือ เป็นแค่เพียงขันทีหนุ่มในชุดวังหลวง ส่วนคนที่อยู่ข้างกายเขา คนที่ยืนด้วยความประหลาดใจก็คืออวิ๋นจูนั่นเองเมื่อเห็นขันทีหนุ่มนั้นกำลังจะลงมือหักคออวิ๋นหลาน แต่กลับถูกอวิ๋นจูขวางเอาไว้ว่า "นายท่านเจ้าคะ บัดนี้ฮองเฮาได้รับตำแหน่งเป็นฮองเฮา อวิ๋นหลานเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายนาง ถ้าหากนางหายตัวไป มันจะไม่สร้างปัญหาให้กับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?"เมื่อขันทีหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงเก็บมือลงและเอ่ยอย่า
ตอนที่พระสนมของตนเองยังมีชีวิตอยู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างมากขนาดนั้นกว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ภายในห้าปีหลังจากที่อดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ก็ไม่ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาทว่ากลับคิดไม่ถึง กลับถูกตระกูลเสิ่นที่เข้าวังในภายหลังมาคว้าพุงปลาไปกิน ตระกูลเสิ่นนั่น ก็แค่เข้าวังได้ไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น คนที่เคยต้องคุกเข่าโขกหัวต่อหน้าพระสนมของตัวเอง เหตุใดนางจะทําได้ไร้คุณธรรมเช่นนี้?ส่วนซ่งชิงเหยียนที่ไม่เคยสู้รบตบมือกับพระสนมของตน บัดนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระสนมของตนเองไม่เคยได้รับ แล้วพระสนมของตนเองล่ะ? ในวันแรกของการแต่งตั้งเป็นพระสนมกุ้ยเฟย ก็ถูกแย่งชิงพระนามภายหลังก็ถูกฝ่าบาทลดตําแหน่งเข้ามาในวังเย็น ถูกคนฆ่าตายในวังเย็นนี้ที่หนาวเหน็บเช่นนี้ แล้วนางจะไม่เกลียดได้อย่างไร!เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ นางจ้องมองอย่างตั้งใจ คนที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายตระกูลเสิ่นชุนหลานเป็นคนโอ้อวดมาโดยตลอด บัดนี้ในวังหลังที่โออ่าขนาดนี้ ใครบ้างที่จะไม่รู้จักชุนหลานผู้นี้ล่ะ!ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของไป๋จื่ออย่างรวดเร็ว
"บ่าวชื่อว่าไป๋หลิงเจ้าค่ะ กูกูอวิ๋นหลานจะต้องระวังคำพูดแทนบ่าวด้วย" ไป๋จื่อจงใจปิดบังชื่อของตัวเอง "ถ้าหากถูกกูกูที่ดูจัดการในตำหนักฉางชิวรู้ว่าบ่าวออกมาหาทางออกเอง ก็จะเฆี่ยนบ่าวจนตายมิใช่หรือ"อวิ๋นหลานที่เห็นอย่างนั้นก็สงสารนางเช่นกัน จากนั้นก็ยัดเงินถุงนั้นเข้าไปในอกและตบมือของไป๋จื่อ "น้องสาววางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าออกมาโดยเร็วที่สุดแน่นอน""ขอบคุณกูกูอวิ๋นหลานเจ้าค่ะ "ไป๋จื่อย่อคำนับตัวด้วยความสุข จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ อีกครั้ง "ที่นี่มันอึมครึมเกินไป บ่าวส่งกูกูกลับตำหนักดีกว่า"ตอนนี้ทั้งสองจึงเดินไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วด้วยกัน ไป๋จื่อมีรูปร่างสูงมาก ยืนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นหลานก็ตัวสูงกว่านางครึ่งหัว ในเวลานี้มองนางด้วยสายตาเย็นชาและในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังชั่วขณะหนึ่งก็แยกไม่ออกว่า เคียดแค้นหวงกุ้ยเฟยหรือว่าฮองเฮามากกว่ากันแน่พอมาถึงใกล้บริเวณตำหนักจิ่นซิ่ว ทั้งสองจึงแยกทางกันส่วนไป๋จื่อก็ดึงมือของอวิ๋นหลานไปกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้หมุนตัวหันหลังวิ่งเหยาะๆ ออกไป ท่าทางเต็มไปด้วยความยับยั้งชั่งใจ กลับสอดคล้องกับท่าทางของเด็กเก็บกวาดมากอวิ๋นหลานมองชั่วขณะหนึ่ง ก็หันห
อาหารเที่ยงของวันนี้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ไปเสวยอาหารที่ตำหนักชิงอวิ๋นเสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปที่ตำหนักหลงเซิงดังนั้นหลังจากพักเที่ยงแล้ว องค์รัชทายาทถึงทรงมีเวลามาที่ตำหนักชิงอวิ๋น "เดิมทีคิดว่าหลังเลิกจากราชสำนักตอนเช้าแล้วก็มา ได้ยินคนข้างกายเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อเสด็จมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว หลังจากช่วงบ่ายถึงจะมา"ในคำพูดขององค์รัชทายาท ไม่ได้กล่าวถึงคําแสดงความยินดีสองคำเลย แน่นอนว่าซ่งชิงเหยียนย่อมรู้ดีว่าหลานชายของตัวเองคนนี้ รู้สึกผิดเล็กน้อยต่อนางเพราะเรื่องหลังการแต่งตั้งฮองเฮาจิ่นอวี้เป็นคนอ่านสีหน้าคนออกมาโดยตลอด จึงรีบอธิบายว่า "บัดนี้ทางตำหนักทั้งหมดยังบอกว่าฝ่าบาทสงสารพระสนม"องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่นอวี้ด้วยความประหลาดใจ"เนื่องจากพระสนมไม่อยากดูแลเรื่องวังหลังทั้งหก จึงแต่งตั้งให้พระสนมหนิงเฟยเป็นฮองเฮา ให้นางดูแลจัดการเรื่องวังหลังทั้งหก""อีกทั้งกลัวว่าจะไม่เป็นธรรมต่อพระสนมของเรา จึงแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า เป็นตำแหน่งเหมือนรองฮองเฮา ตำแหน่งเท่าเทียมกับฮองเฮา"องค์รัชทายาททรงเหม่อลอยตลอดเวลา กลับไม่ได้ฟังพระราชโองการนี้อย
แล้วหันไปทางองค์รัชทายาท “เสร็ดจพี่มีเวลาว่างหรือไม่? วันนี้เสด็จป้าก็พ้นจากงานที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นแล้ว สมควรที่จะเฉลิมฉลองเสียหน่อยนะเพคะ!”องค์รัชทายาทก็ยิ้มเล็กน้อย “นั่นย่อมดีแน่นอน”ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ จิ่นซินก็เข้ามากราบทูลว่า พระสนมหลานเฟยกับองค์ชายรอง และพระสนมเหวินเฟยพร้อมด้วยองค์ชายสี่ ได้เสด็จมาแล้วเพคะองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นและเดินออกไป “พระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยเสด็จมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ เราเพิ่งพูดกันว่าคืนนี้จะเสวยพระกระยาหารค่ำที่ตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ!”แล้วยังหันไปทางพระสนมเหวินเฟยอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ “กระหม่อมไม่ได้พบพระสนมเหวินเฟยเสียนานแล้ว พระสนมเหวินเฟยยังคงงดงามเช่นเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนเลยเพคะ!”“ซิงรั่วเด็กคนนี้มักจะช่างพูดช่างจาเสมอ” พระสนมเหวินเฟยพูดพร้อมกับจูงมือนางเดินเข้าไปด้านใน แล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “บัดนี้พระครรภ์ในท้องของเจ้าว่านอนสอนง่ายดีหรือไม่?”เมื่อกล่าวถึงพระครรภ์ องค์หญิงใหญ่ก็ทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน “พระสนมเหวินเฟย บัดนี้พระครรภ์ของกระหม่อมเพิ่งจะได้ไม่ถึงห้าเดือนเองเพคะ!”“จริงด้วยๆ” พระสนมเหวินเฟย ทรงแสร้งทำเป็นตบศีรษะข
ในค่ำคืนที่ตำหนักชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความคึกคัก ตำหนักจิ่นซิ่วกลับเงียบสงัดจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาช่วงบ่ายฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ส่งช่างมาเปลี่ยนชื่อพระตำหนัก แต่ตลอดทั้งวันกลับมิได้เสด็จมาปรากฏตัวที่ตำหนักจิ่นซิ่วเลยอวิ๋นจูขณะที่กำลังรับใช้เสิ่นหนิงล้างหน้าไปด้วย ก็พึมพำไปด้วยว่า “ฮ่องเต้ทรงลำเอียงเกินไปแล้ว ถึงแม้จะทรงแต่งตั้งพระสนมเป็นฮองเฮา แต่เหตุใดจึงไม่แม้แต่จะปรากฏตัวเลยเช่นนี้ จะไม่กลายเป็นการทำให้พระสนมถูกหัวเราะเยาะอย่างไร้เหตุผลหรือเพคะ?”เสิ่นหนิงฟังเสียงบ่นพึมพำของนาง โดยไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงครุ่นคิดถึงคำพูดของหยุนหลานในช่วงกลางวัน แล้วจึงถามขึ้นอย่างลองเชิงว่า “เรื่องที่ให้เจ้าจัดการเมื่อกลางวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”อวิ๋นจูกลับไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของฮองเฮา “พระสนมไม่ต้องกังวลเพคะ ข้าน้อยได้บอกกับท่านอ๋องอี้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองวันคงจะมีข่าวมาถึงเพคะ”เมื่อเห็นอวิ๋นจูพูดถึงบุคคลนั้นแล้วมีสีหน้าแดงระเรื่อ เสิ่นหนิงก็ทรงแสดงแววตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมขึ้นมาเพียงชั่วครู“อวิ๋นจู เจ้าไปรู้จักกับท่านอ๋องอี้ได้อย่างไร?”เมื่อเห็นว่า
ซ่งชิงเหยียนได้ยินเช่นนี้ ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หวานหว่านเด็กดี แม้เสด็จแม่เจ้าจะเป็นคนธรรมดา ก็สามารถได้ยินเสียงในใจของเจ้าได้ และเสียงในใจของเจ้า ได้ช่วยเสด็จแม่เจ้าและเสด็จพ่อเจ้า รวมถึงพี่ชายใหญ่หลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้จิ่นอวี้เริ่มเก็บกวาด “ความยุ่งเหยิง”ที่ลู่ซิงหว่านก่อไว้ซ่งชิงเหยียนยิ้มอย่างเก้อเขิน “เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ไทเฮาอย่าได้ถือสาเลย”ทว่าไทเฮากลับทำเพียงโบกมือ “ข้าดูแล้วหย่งอันเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่เหมือนองค์หญิงน้อยที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเหล่านั้น ”ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ นางข้าหลวงที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามา “ทูลไทเฮา ฮูหยินเสิ่น พระมารดาของฮองเฮามาทักทายพระองค์พะย่ะค่ะ”ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมา พรุ่งนี้เป็นวันพิธีแต่งตั้งครั้งใหญ่ มารดาของฮองเฮาเข้าวังมาวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร ซ่งชิงเหยียนเห็นเช่นนี้จึงหยัดกายลุกขึ้นจะทูลลา แต่กลับถูกไทเฮาพูดสะกัดไว้ “เจ้านั่งอยู่ที่นี่แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้เสียหน่อย”ก่อนสั่งนางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างให้เชิญฮูหยินเสิ่นคนนั้นเข้ามา ส่วนตนก็ไปห้องโถงด้านข้างโดยมีแม่นมข้างกายคอยป