เมื่อหมอหลวงจ้าวและหมอหลวงหลินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น จิ่นอวี้ก็เดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักจิ่นซินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “จิ่นอวี้นี่เป็นอะไรไปหรือ ออกไปแต่เช้ากลับมาถึงได้สภาพมอมแมมเช่นนี้”จิ่นอวี้กลับยิ้มอย่างฝืนใจและพูดว่า “พระสนม เกิดเรื่องแล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของจิ่นอวี้ ในขณะนั้นเองลู่ซิงหว่านก็ตื่นขึ้นมาพอดี นางพลิกตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่จิ่นอวี้ด้วยสายตาที่คมกริบจิ่นอวี้ดูเหม่อลอยเล็กน้อย “เมื่อคืนนี้หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว มหาขันทีเมิ่งก็ได้รับคำสั่งให้ไปตำหนักหนิงเหอ เช้านี้มีข่าวมาว่า เมื่อคืนอวิ๋นผิงถูกโบยจนตายแล้ว”“อะไรนะ!” จิ่นซินอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ได้ยินมาว่าเป็นเพราะนางแอบอ้างพระราชโองการของฮ่องเต้ ให้พระสนมของเราไปที่ตำหนักหนิงเหอ ถึงได้เป็นเช่นนี้...” จิ่นอวี้พูดไปก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาจากปลายเท้า “ฮ่องเต้ยังตรัสอีกว่า ในวังนี้ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้”“ข้าควรจะดีใจ แต่ทว่า...”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงจับมือของจิ่นอวี้แ
ดวงตาของพระสนมหนิงเฟยนั้นงดงามมาก แต่ตอนนี้กลับปรากฏเผยความเย็นชาออกมา "เจ้าพูดต่อไป"ตอนนี้ชุนหลานถึงได้ยืดตัวตรงขึ้น "พระสนมเพคะ เนื่องจากบัดนี้เรื่องที่อวิ๋นผิงส่งพระราชโองการปลอม ฝ่าบาทจะต้องโมโหท่านเป็นแน่ บ่าวคิดว่า พระสนมน่าจะเดินไปที่ห้องทรงอักษรดีกว่า หากไม่พบฝ่าบาท ก็ถือว่าเป็นการแสดงพระประสงค์ของท่านต่อฝ่าบาทด้วย"พระสนมหนิงเฟยได้ยินดังนั้น กลับนิ่งเงียบเป็นเวลานานไม่นานก็พาชุนหลานไปที่ห้องทรงอักษรชุนหลานอยู่ด้านหลังพระสนมหนิงเฟยอดที่จะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ โชคดีวันนี้ที่ตนเองฉลาด ออกตัวต่อหน้าพระสนมหนิงเฟยได้ทันเวลา วันหลังตนเองจะต้องมีตำแหน่งที่ควรจะเป็นในตำหนักหนิงเหออย่างแน่นอนตอนที่พระสนมหลานเฟยออกมาจากห้องทรงอักษร กลับเห็นพระสนมหนิงเฟยคุกเข่าอยู่นอกประตูเข้าอย่างจัง จึงตกใจมากจึงรีบเข้าไปพยุงนางขึ้นมา จากนั้นก็จําคําพูดที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งใจให้จิ่นอวี้ฝากมาบอกในวันนี้ได้ จึงเก็บมือกลับมาและเอ่ยปลอบใจเบา ๆ ว่า "น้องสาวเหตุใดถึงจะต้องทรมานเช่นนี้เล่า จะต้องคำนึงถึงทารกในครรภ์ให้มากถึงจะถูกหนา"พระสนมหนิงเฟยเงยหน้าขึ้น แต่นัยน์ตาของนางเต็มกลับมีน้ำตาคลอเบ้า "ท
พอเหวินฮุ่ยได้ยินคําพูดของพระสนมหลานเฟยถึงตระหนักได้ทันทีว่า "มิน่าล่ะเมื่อครู่พระสนมถึงไม่ไปประคองพระสนมหนิงเฟย"ในใจยิ่งชื่นชมพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมากขึ้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นที่รักในวังเสมอมา บัดนี้มีนางปกป้องพระสนมของตัวเอง พระสนมจะสามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัยแน่นอน เรื่องถูกวางยาพิษครั้งที่แล้ว ควรไม่เกิดขึ้นอีกนอกห้องทรงอักษรในเวลานี้ แน่นอนว่าเมิ่งฉวนเต๋อย่อมฟังคำสั่งของพระสนมหลานเฟย หมุนตัวเข้าไปในห้องทรงอักษร กลังเห็นฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ อยากจะพูดแต่ก็เงียบไว้แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นความลังเลของเขาออก "มีเรื่องอะไรก็พูดว่า อึก ๆ อัก ๆ ทําอะไร!""ฝ่าบาท บัดนี้พระสนมหนิงเฟยคุกเข่าอยู่ด้านนอก บอกว่าคนเองสอนนางในไม่ดี จึงตั้งใจมาขอรับโทษ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่ได้ยินดังนั้นปากกาที่อยู่ในมือก็หยุดลงเมื่อก่อนเขาแอบฟังเสียงพูดในใจของหวานหว่าน หลายวันมานี้ก็รู้สึกว่าพระสนมหนิงเฟยมั่นคงปลอดภัยมากที่สุด ถึงได้แต่งตั้งให้นางเป็นฮองเฮา แต่ในเวลานี้นางกลับทำให้ตนเองผิดหวังมาก บัดนี้ไม่รู้ควรจะทำหน้าเช่นไรดี เรื่องแต่งตั้งฮองเฮานี้จะต้องพิจารณาอีกครั้งดังนั้นน้ำเสียงที่พูดกับเมิ่งฉวนเต๋อ
กลับเป็นจิ่นซินที่อุทานอยู่ข้าง ๆ ว่า "พระสนมจะให้ของขวัญล้ำค่าแบบนี้เชียวหรือเพคะ?"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มออกมา รอยยิ้มที่งดงามทําให้คนรู้สึกสบายขึ้น "ข้าชอบสองพี่น้องเสิ่นเป่าเยี่ยนกับเสิ่นเป่าซวงคู่นี้มาก บอกไปแล้วว่าจะให้ของขวัญ ก็จะไม่ตระหนี่อย่างแน่นอน"ขณะที่พูด จิ่นอวี้ก็ไปเอาของนำออกมา ปิ่นระย้าคู่นั้นเก็บอยู่ในกล่องไม้จันทน์ที่มีรูปลักษณ์ธรรมดามาก แต่ยิ่งดูสง่าล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด จนลู่ซิงหว่านเองก็อดที่จะอุทานไม่ได้[เป็นปิ่นระย้าที่สวยงามมาก ท่านแม่มีของที่ดีขนาดนี้กลับไม่เก็บไว้ให้หวานหว่าน แต่กลับมอบให้คนอื่น][ทองคำงดงามมากจริง ๆ ส่องแสงกะพริบระยิบระยับ!]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบปลายจมูกน้อย ๆ ของลู่ซิงหว่าน "ดูตาของหวานหว่านพวกเราสิจะถลนออกมาอยู่แล้ว หวานหว่านวางใจได้ แม่มีของดี ๆ เก็บเอาไว้มากมาย วันหลังจะเก็บไว้ให้เจ้าดีไหม"ลู่ซิงหว่านกลับทำปากจู๋ [ท่านแม่โกหก ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านพูดว่าต่อไปอะไร ล้วนเป็นคำโกหกทั้งเพ เมื่อก่อนเสด็จพ่อยังพูดว่าจะให้ท่านแม่พาข้าไปที่ห้องทรงอักษรทุกวัน บัดนี้ก็ทำตามสิ่งที่พูดไว้ไม่ได้ไม
เหมยหยิ่งพูดถึงตรงนี้ หยุดหันมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย จึงไม่ได้พูดต่อ ราวกับว่ารอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยทำใจเรื่องนี้ได้ก่อนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเงียบไปนานพอสมควร จนในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้นว่า "ดังนั้นสนมซูผินจึงวางยาพิษใส่ท่านพี่หรือ?"เหมยหยิ่งพยักหน้า "สนมฟางกุ้ยเหรินเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย""ในตอนนั้นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเพิ่งจะเข้าวังมา ต้องการหาที่พึ่งพาอย่างเร่งด่วน เพราะว่าบ้านเดิมของนางมาจากเมืองหยุนโจว จึงรู้เรื่องวิธีการทำยามาบ้าง ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงพบนางเป็นการส่วนตัวและรับนางเอาไว้ในสังกัดของนางเอง""ดังนั้นยาที่ให้ท่านพี่ สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นคนให้งั้นหรือ?"เหมยหยิ่งพยักหน้าอีกครั้ง "สนมซูผินบอกว่ายาทั้งหมดถูกส่งไปยังพระสนมเต๋อเฟยผ่านนาง สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินไม่เคยติดต่อกับพระสนมเต๋อเฟยโดยตรง แต่ว่าสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินน่าจะพอเดาเรื่องนี้ออก จึงได้แอบลองใจสนมซูผินอยู่หลายครั้งเหมือนกัน""ดังนั้นหลังจากที่คุณหนูใหญ่ตายไป สนมซูผินและสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง"เหมยหยิ่งพูดคำนี้จบ เสียงภายในห้องนั้นเงียบมาก ทุกคนล้วนมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย แม้แต่อากาศยังมิกล้าส่
แน่นอนว่าราชเลขากรมขุนนางต้องจัดงานปักปิ่นของบุตรสาวตนเองให้ยิ่งใหญ่ เมื่อหลายวันก่อนจึงได้ส่งคำเชิญไปยังตระกูลขุนนางทั้งหลายที่เมืองหลวงเสิ่นเป่าเยี่ยนจึงได้ตื่นนอนขึ้นมาตั้งแต่เช้าโดยมีสาวรับใช้ข้างกายคอยปรนนิบัติเปลี่ยนชุด และหวีผมให้“ และตอนนี้ที่โถงด้านหน้าก็ถูกเตรียมเอาไว้จนเพียบพร้อมแล้ว ในยามนี้ใต้เท้าเสิ่นกำลังพาบุตรชายของตนเองมาต้อนรับแขกอยู่ที่ประตูหน้าจวน และในเวลานี้พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอยู่ที่ข้างกายของใต้เท้าเสิ่นอย่างรีบร้อน “นายท่าน มีคนของพระราชวังมาขอรับ”ผู้คนพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ มีแต่คนเอ่ยว่าคุณหนูตระกูลเสิ่นได้รับความโปรดปรานจากคนในพระราชวัง นึกไม่ถึงว่าแค่งานปักปิ่นธรรมดา ๆ พระราชวังก็ยังส่งคนมาจิ่นซินพากลุ่มนางกำนัลเดินเข้ามาแต่ไกล ๆ ผู้ที่เคยเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็แน่นอนว่าจะต้องจำนางได้จึงเอ่ยออกมาอย่างตกใจ “ถึงกลับเป็นแม่นางจิ่นซินคนข้างกายของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย”และจิ่นซินก็คารวะใต้เท้าเสิ่นด้วยมารยาทเพรียมพร้อมใต้เท้าเสิ่นจึงรีบเอ่ยด้วยความเกรงใจ “กลับทำให้แม่นางลำบากมาที่นี่แล้ว แน่นางรีบเข้าไปด้านในเถิด”ในเมื่อจิ่นซินมาก็แสดงถึงหน้าตาของราชวงศ์ด
และในยามนี้หลินอินบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมขุนนางที่อยู่ในมุม ๆ หนึ่ง แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้มที่ดีอกดีใจประดับอยู่แต่มือทั้งสองข้างกลับกำเข้าหากันแน่น และสายตาทั้งคู่ที่มองไปยังเสิ่นเป่าเยี่ยนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหตุใดตนถึงได้ต่ำกว่านางขั้นหนึ่งเสมอ ?บิดาของนางคือราชเลขากรมขุนนาง แต่บิดาของตนเป็นเพียงแค่รองเสนาบดีกรมขุนนางตนไปมาหาสู่กับนางตั้งแต่เด็กก็อยู่ต่ำกว่านางหนึ่งขั้น บิดาชอบกำชับตนเองเสมอว่าให้อยู่ร่วมกับเสิ่นเป่าเยี่ยนให้ดี ๆ แต่เสิ่นเป่าเยี่ยนมักจะทำตัวราวกลับว่าเป็นคนใจกว้างอยู่เสมอ แต่เสิ่นเป่าซวงแต่ไหนแต่ไรก็ทำตัวอวดดี และไม่เคยมองตนเองอยู่ในสายตา ตนจะไปอยู่กับพี่สาวน้องสาวสองคนนั้นได้อย่างไร ?อีกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตนชอบหานซีสือก่อน เพียงแต่หานซีสือ และเสิ่นเป่าเยี่ยนได้เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งกลับมีความรู้สึกให้กันเสิ่นเป่าเยี่ยนผู้นั้นช่างโชคดีเสียจริง ถึงกลับได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทแล้วตนจะไปแย่งกับนางได้อย่างไร ?คิดได้ถึงตรงนี้ ความคิดชั่วร้ายก็พุ่งขึ้นมาภายในสมองของหลินอิน ถ้าหากว่าเสิ่นเป่าเยี่ยนตายงานสมรสนี้ก็จะเป็นโมฆะในทันที ถึงตอนนั้นตนเองถึงจะแต่งงาน
เพียงแต่เขายังพูดไม่ทันจบ กลับถูกพระสนมหนิงเฟยขัดขึ้นกะทันหัน “ไม่ ข้าไม่ได้ลืม”ในขณะที่พระสนมหนิงเฟยกล่าววาจานี้ นางรู้สึกประหม่าจริงๆ หลายวันมานี้นางดื่มด่ำอยู่กับความอ่อนโยนของฮ่องเต้ต้าฉู่ จึงเกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อเขาไปชั่วขณะ นางถึงขั้นคิดว่า มิสู้ให้กำเนิดทายาทและใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในวังหลังแบบนี้ต่อไปทว่าชายชุดดำที่ปรากฏตัวออกมาในวันนี้ได้เตือนนางขึ้นมาอีกครั้งว่า นางไม่สามารถมีชีวิตอย่างสงบสุขได้นับตั้งแต่ที่นางเลือกเข้าวังมาในวันนั้น ชีวิตของนางก็ไม่มีทางสงบสุขอีกแล้วฉับพลันในน้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นไปหลายส่วน “เจ้าไม่ต้องห่วง เด็กคนนี้ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”เพียงแต่ความเย็นชาของพระสนมหนิงเฟยกลับมิอาจกล่อมชายชุดดำคนนั้นได้ ตรงข้ามยิ่งกระตุ้นทำให้เขาโมโหมากขึ้น ในขณะที่พระสนมหนิงเฟยยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกเขาบีบกรามแน่น ความเจ็บถาโถมเข้าใส่ตัวพระสนมหนิงเฟยทันที ทำให้นางยื่นมือออกไปดึงแขนของผู้ชายคนนั้น ทว่าการกระทำนี้ กลับยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมากขึ้น “เสิ่นหนิง!”เขาขานชื่อของพระสนมหนิงเฟยเสียงต่ำ พลางเชยคางพระสนมหนิงเฟยให้สูงขึ้น ก่อนฉีกผ้าคลุมหน้าสีดำของตั