เหมยหยิ่งพูดถึงตรงนี้ หยุดหันมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย จึงไม่ได้พูดต่อ ราวกับว่ารอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยทำใจเรื่องนี้ได้ก่อนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเงียบไปนานพอสมควร จนในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้นว่า "ดังนั้นสนมซูผินจึงวางยาพิษใส่ท่านพี่หรือ?"เหมยหยิ่งพยักหน้า "สนมฟางกุ้ยเหรินเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย""ในตอนนั้นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเพิ่งจะเข้าวังมา ต้องการหาที่พึ่งพาอย่างเร่งด่วน เพราะว่าบ้านเดิมของนางมาจากเมืองหยุนโจว จึงรู้เรื่องวิธีการทำยามาบ้าง ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงพบนางเป็นการส่วนตัวและรับนางเอาไว้ในสังกัดของนางเอง""ดังนั้นยาที่ให้ท่านพี่ สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นคนให้งั้นหรือ?"เหมยหยิ่งพยักหน้าอีกครั้ง "สนมซูผินบอกว่ายาทั้งหมดถูกส่งไปยังพระสนมเต๋อเฟยผ่านนาง สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินไม่เคยติดต่อกับพระสนมเต๋อเฟยโดยตรง แต่ว่าสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินน่าจะพอเดาเรื่องนี้ออก จึงได้แอบลองใจสนมซูผินอยู่หลายครั้งเหมือนกัน""ดังนั้นหลังจากที่คุณหนูใหญ่ตายไป สนมซูผินและสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง"เหมยหยิ่งพูดคำนี้จบ เสียงภายในห้องนั้นเงียบมาก ทุกคนล้วนมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟย แม้แต่อากาศยังมิกล้าส่
แน่นอนว่าราชเลขากรมขุนนางต้องจัดงานปักปิ่นของบุตรสาวตนเองให้ยิ่งใหญ่ เมื่อหลายวันก่อนจึงได้ส่งคำเชิญไปยังตระกูลขุนนางทั้งหลายที่เมืองหลวงเสิ่นเป่าเยี่ยนจึงได้ตื่นนอนขึ้นมาตั้งแต่เช้าโดยมีสาวรับใช้ข้างกายคอยปรนนิบัติเปลี่ยนชุด และหวีผมให้“ และตอนนี้ที่โถงด้านหน้าก็ถูกเตรียมเอาไว้จนเพียบพร้อมแล้ว ในยามนี้ใต้เท้าเสิ่นกำลังพาบุตรชายของตนเองมาต้อนรับแขกอยู่ที่ประตูหน้าจวน และในเวลานี้พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอยู่ที่ข้างกายของใต้เท้าเสิ่นอย่างรีบร้อน “นายท่าน มีคนของพระราชวังมาขอรับ”ผู้คนพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ มีแต่คนเอ่ยว่าคุณหนูตระกูลเสิ่นได้รับความโปรดปรานจากคนในพระราชวัง นึกไม่ถึงว่าแค่งานปักปิ่นธรรมดา ๆ พระราชวังก็ยังส่งคนมาจิ่นซินพากลุ่มนางกำนัลเดินเข้ามาแต่ไกล ๆ ผู้ที่เคยเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็แน่นอนว่าจะต้องจำนางได้จึงเอ่ยออกมาอย่างตกใจ “ถึงกลับเป็นแม่นางจิ่นซินคนข้างกายของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย”และจิ่นซินก็คารวะใต้เท้าเสิ่นด้วยมารยาทเพรียมพร้อมใต้เท้าเสิ่นจึงรีบเอ่ยด้วยความเกรงใจ “กลับทำให้แม่นางลำบากมาที่นี่แล้ว แน่นางรีบเข้าไปด้านในเถิด”ในเมื่อจิ่นซินมาก็แสดงถึงหน้าตาของราชวงศ์ด
และในยามนี้หลินอินบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมขุนนางที่อยู่ในมุม ๆ หนึ่ง แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้มที่ดีอกดีใจประดับอยู่แต่มือทั้งสองข้างกลับกำเข้าหากันแน่น และสายตาทั้งคู่ที่มองไปยังเสิ่นเป่าเยี่ยนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหตุใดตนถึงได้ต่ำกว่านางขั้นหนึ่งเสมอ ?บิดาของนางคือราชเลขากรมขุนนาง แต่บิดาของตนเป็นเพียงแค่รองเสนาบดีกรมขุนนางตนไปมาหาสู่กับนางตั้งแต่เด็กก็อยู่ต่ำกว่านางหนึ่งขั้น บิดาชอบกำชับตนเองเสมอว่าให้อยู่ร่วมกับเสิ่นเป่าเยี่ยนให้ดี ๆ แต่เสิ่นเป่าเยี่ยนมักจะทำตัวราวกลับว่าเป็นคนใจกว้างอยู่เสมอ แต่เสิ่นเป่าซวงแต่ไหนแต่ไรก็ทำตัวอวดดี และไม่เคยมองตนเองอยู่ในสายตา ตนจะไปอยู่กับพี่สาวน้องสาวสองคนนั้นได้อย่างไร ?อีกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตนชอบหานซีสือก่อน เพียงแต่หานซีสือ และเสิ่นเป่าเยี่ยนได้เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งกลับมีความรู้สึกให้กันเสิ่นเป่าเยี่ยนผู้นั้นช่างโชคดีเสียจริง ถึงกลับได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทแล้วตนจะไปแย่งกับนางได้อย่างไร ?คิดได้ถึงตรงนี้ ความคิดชั่วร้ายก็พุ่งขึ้นมาภายในสมองของหลินอิน ถ้าหากว่าเสิ่นเป่าเยี่ยนตายงานสมรสนี้ก็จะเป็นโมฆะในทันที ถึงตอนนั้นตนเองถึงจะแต่งงาน
เพียงแต่เขายังพูดไม่ทันจบ กลับถูกพระสนมหนิงเฟยขัดขึ้นกะทันหัน “ไม่ ข้าไม่ได้ลืม”ในขณะที่พระสนมหนิงเฟยกล่าววาจานี้ นางรู้สึกประหม่าจริงๆ หลายวันมานี้นางดื่มด่ำอยู่กับความอ่อนโยนของฮ่องเต้ต้าฉู่ จึงเกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อเขาไปชั่วขณะ นางถึงขั้นคิดว่า มิสู้ให้กำเนิดทายาทและใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในวังหลังแบบนี้ต่อไปทว่าชายชุดดำที่ปรากฏตัวออกมาในวันนี้ได้เตือนนางขึ้นมาอีกครั้งว่า นางไม่สามารถมีชีวิตอย่างสงบสุขได้นับตั้งแต่ที่นางเลือกเข้าวังมาในวันนั้น ชีวิตของนางก็ไม่มีทางสงบสุขอีกแล้วฉับพลันในน้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นไปหลายส่วน “เจ้าไม่ต้องห่วง เด็กคนนี้ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”เพียงแต่ความเย็นชาของพระสนมหนิงเฟยกลับมิอาจกล่อมชายชุดดำคนนั้นได้ ตรงข้ามยิ่งกระตุ้นทำให้เขาโมโหมากขึ้น ในขณะที่พระสนมหนิงเฟยยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกเขาบีบกรามแน่น ความเจ็บถาโถมเข้าใส่ตัวพระสนมหนิงเฟยทันที ทำให้นางยื่นมือออกไปดึงแขนของผู้ชายคนนั้น ทว่าการกระทำนี้ กลับยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมากขึ้น “เสิ่นหนิง!”เขาขานชื่อของพระสนมหนิงเฟยเสียงต่ำ พลางเชยคางพระสนมหนิงเฟยให้สูงขึ้น ก่อนฉีกผ้าคลุมหน้าสีดำของตั
เพียงแต่จิ่นซินกล่าวด้วยความทอดถอนใจอีกครั้งว่า “ได้ยินว่าตอนนี้พระสนมหนิงเฟยไม่ยอมออกมาจากในตำหนัก และร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจอย่างมาก!”จิ่นอวี้กล่าวคล้อยตาม “เป็นลูกคนแรก พระสนมหนิงเฟยย่อมรู้สึกเสียใจอยู่แล้ว แม้อวิ๋นผิงคนนั้นจะไม่รู้ความ แต่พระสนมหนิงเฟยกลับปฏิบัติดีต่อเรามาตลอด”ลู่ซิงหว่านฟังสองคนนี้คุยกันก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ [ท่านแม่คงไม่คิดแบบนี้หรอกมั้ง? แต่ข้ากลับมองว่าพระสนมหนิงเฟยไม่ใช่คนดีอะไร ท่านแม่อย่าไหลไปตามสาวใช้ทั้งสองของท่านเชียวนะ]แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “พวกเจ้าสองคน ยังคงมองอย่างตื้นเขินนัก!”คำพูดที่ออกมาจากปาก ยังเทียบกับหวานหว่านที่มองออกไม่ได้เลย แต่จะว่าไปแล้ว หวานหว่านของเราเป็นถึงเซียนตัวน้อยอายุหลายร้อยปีเชียว!จิ่นซินกับจิ่นอวี้กลับยังสงสัยไม่เข้าใจ ทว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้พูดอะไร แค่สั่งให้จิ่นซินไปเรียกหลานอิ่งมาแล้วสั่งว่า “เจ้าไปจับตาดูทางฝั่งพระสนมหนิงเฟยไว้”เมื่อหลานอิ่งรับคำสั่งเสร็จก็เหาะเหินจากไปแต่จิ่นซินกลับยิ่งไม่เข้าใจ “เหตุใดจู่ๆ พระสนมถึงได้ระวังพระสนมหนิงเฟยขึ้นมาล่ะเพคะ?” “หากอวิ๋นผิงคนนั้นไม่ได้รับก
หมอหลวงหลินมองไปทางพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระสนมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกแล้ว หากพระสนมอยากออกไปเดินข้างนอก ก็สามารถไปได้เลยพะย่ะค่ะ”หมอหลวงหลินสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ออกมาจากใจของคนในห้องนี้ได้ ย่อมดีใจแทนพวกนาง “เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาก่อน บัดนี้พระสนมอาการดีขึ้นแล้ว กระหม่อมจะไปแจ้งฝ่าบาทที่ห้องทรงอักษรเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” “ลำบากหมอหลวงหลินแล้ว” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดแย้มยิ้มขึ้นไม่ได้ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้า แล้วพาลู่ซิงหว่านมุ่งไปยังตำหนักหนิงเหอแม้ฮ่องเต่ต้าฉู่จะรังเกียจพระสนมหนิงเฟยเพราะเรื่องของอวิ๋นผิงเล็กน้อย แต่ทว่าตอนนี้นางสูญเสียลูกคนแรกของตัวเองไป ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็เสียใจอยู่บ้าง จึงมุ่งตรงไปยังตำหนักหนิงเหอ เพื่อปลอบใจนางสักหน่อยแต่กลับเจอเข้ากับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูเข้าพอดีครั้นเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบย่างสามขุมเข้าไป ไม่รอให้นางได้ทำความเคารพก็ดึงมือนางขึ้นมา “ได้ยินหมอหลวงหลินบอกว่าตอนนี้เจ้าดีขึ้นมากแล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน “วันนี้ลุกขึ้นมาตอนเช้าก็รู้สึกว่าร่างกายคล่องแคล่วขึ้นไม่น้อย หม
ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่กล้าเข้าไปปลอบอีก ได้แต่เดินตามหลังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและพูดว่า "ชิงเหยียนพูดถูก เจ้าพักฟื้นให้หายดีก่อนเถิด ลูกน่ะต่อไปยังมีใหม่ได้"แต่พระสนมหนิงเฟยกลับไม่ตอบ ยังคงซบไหล่ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยน้ำตาไหลโดยไร้เสียงลู่ซิงหว่านมองฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างดูถูกอีกครั้ง[เสด็จพ่อต้องเป็นห่วงนางมากแน่ ๆ เลยใช่ไหม?][น่าเสียดายที่ท่านแม่ของข้าเป็นคนอ่านคนไม่ออกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยดูความรู้สึกสับซ้อนของพวกท่านไม่ออก][ไม่สู้เสด็จพ่อบอกท่านแม่ไปเลยดีกว่า บอกท่านแม่หลบให้หน่อย]คําพูดของลู่ซิงหว่านทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งไม่ติด คิดอยู่ว่าสู้สละที่นั่งให้ฮ่องเต้ต้าฉู่จะดีกว่ากระมัง!แต่นี้ในใจของหวานหว่านตัวเองเป็นคนอ่านคนไม่ออกแบบนี้หรือ?และประโยคนี้ของลู่ซิงหว่านก็ทำลายท่าทีที่อ่อนโยนของฮ่องเต้ต้าฉู่หมดสิ้นเช่นกัน ในห้องเงียบสงักไปชั่วขณะเหลือเพียงเสียงร้องไห้ของพระสนมหนิงเฟยพระสนมหนิงเฟยไม่คิดว่าสองคนนี้จะมาเยี่ยมตัวเองพร้อมกัน บอกว่าจะมาปลอบใจตัวเอง แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับมายืนนิ่งกันอยู่ สวรรค์คิดอะไรกันแน่ถึงได้จับสองคนนี้มาอยู่ด้วยกัน!และในตอนนี้บังเอิญเมิ่งฉวนเต๋อก็มา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้คิ้วของพระสนมหนิงเฟยก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นอีก นางจึงสั่งให้อวิ๋นจูไปตรวจสอบเรื่องที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยป่วย ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญจริงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงตัวเองจริง ๆ ก็เกรงว่านางจะสงสัยตัวเองแล้ว เช่นนั้นคนคนนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาดแต่พอพระสนมหนิงเฟยเพิ่งใช้ให้อวิ๋นจูออกไป ชุนหลานก็เดินเข้ามาว่าบอกว่า “พระสนม สนมเล่อกุ้ยเหรินมาเพคะ”สนมเล่อกุ้ยเหรินหรือ? พระสนมหนิงเฟยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกขึ้นมาอีก นางมาทำอะไรนอกจากจากที่ได้คุยกันอยู่บ้างตอนเพิ่งเข้าวัง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลยนางเพียงแต่เอ่ยปากบอกอย่างอ่อนแรงว่า “เชิญสนมเล่อกุ้ยเหรินเข้ามาเถอะ”ชุนหลานเป็นคนที่ช่างสังเกตคําพูดและสีหน้าของคนเสมอมา เมื่อเห็นว่าพระสนมหนิงเฟยดูเหมือนจะไม่พอใจ จึงเอ่ยปากถามว่า "ถ้าพระสนมรู้สึกเหนื่อยล้า ให้บ่าวไปไล่เล่อกุยเหรินออกไปก่อนดีไหมเพคะ"พระสนมหนิงเฟยกลับส่ายหัว "ไม่ต้องหรอก"สนมเล่อกุ้ยเหรินเป็นคนตรงไปตรงมามาตลอด นิสัยแบบนี้ถ้าอยู่ที่บ้านตัวเองต้องเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่อย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นางแต่งงานแล้ว แล้วยิ่งแต่งเ