เพียงแต่จิ่นซินกล่าวด้วยความทอดถอนใจอีกครั้งว่า “ได้ยินว่าตอนนี้พระสนมหนิงเฟยไม่ยอมออกมาจากในตำหนัก และร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจอย่างมาก!”จิ่นอวี้กล่าวคล้อยตาม “เป็นลูกคนแรก พระสนมหนิงเฟยย่อมรู้สึกเสียใจอยู่แล้ว แม้อวิ๋นผิงคนนั้นจะไม่รู้ความ แต่พระสนมหนิงเฟยกลับปฏิบัติดีต่อเรามาตลอด”ลู่ซิงหว่านฟังสองคนนี้คุยกันก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ [ท่านแม่คงไม่คิดแบบนี้หรอกมั้ง? แต่ข้ากลับมองว่าพระสนมหนิงเฟยไม่ใช่คนดีอะไร ท่านแม่อย่าไหลไปตามสาวใช้ทั้งสองของท่านเชียวนะ]แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “พวกเจ้าสองคน ยังคงมองอย่างตื้นเขินนัก!”คำพูดที่ออกมาจากปาก ยังเทียบกับหวานหว่านที่มองออกไม่ได้เลย แต่จะว่าไปแล้ว หวานหว่านของเราเป็นถึงเซียนตัวน้อยอายุหลายร้อยปีเชียว!จิ่นซินกับจิ่นอวี้กลับยังสงสัยไม่เข้าใจ ทว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้พูดอะไร แค่สั่งให้จิ่นซินไปเรียกหลานอิ่งมาแล้วสั่งว่า “เจ้าไปจับตาดูทางฝั่งพระสนมหนิงเฟยไว้”เมื่อหลานอิ่งรับคำสั่งเสร็จก็เหาะเหินจากไปแต่จิ่นซินกลับยิ่งไม่เข้าใจ “เหตุใดจู่ๆ พระสนมถึงได้ระวังพระสนมหนิงเฟยขึ้นมาล่ะเพคะ?” “หากอวิ๋นผิงคนนั้นไม่ได้รับก
หมอหลวงหลินมองไปทางพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระสนมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกแล้ว หากพระสนมอยากออกไปเดินข้างนอก ก็สามารถไปได้เลยพะย่ะค่ะ”หมอหลวงหลินสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ออกมาจากใจของคนในห้องนี้ได้ ย่อมดีใจแทนพวกนาง “เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาก่อน บัดนี้พระสนมอาการดีขึ้นแล้ว กระหม่อมจะไปแจ้งฝ่าบาทที่ห้องทรงอักษรเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” “ลำบากหมอหลวงหลินแล้ว” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดแย้มยิ้มขึ้นไม่ได้ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้า แล้วพาลู่ซิงหว่านมุ่งไปยังตำหนักหนิงเหอแม้ฮ่องเต่ต้าฉู่จะรังเกียจพระสนมหนิงเฟยเพราะเรื่องของอวิ๋นผิงเล็กน้อย แต่ทว่าตอนนี้นางสูญเสียลูกคนแรกของตัวเองไป ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็เสียใจอยู่บ้าง จึงมุ่งตรงไปยังตำหนักหนิงเหอ เพื่อปลอบใจนางสักหน่อยแต่กลับเจอเข้ากับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูเข้าพอดีครั้นเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบย่างสามขุมเข้าไป ไม่รอให้นางได้ทำความเคารพก็ดึงมือนางขึ้นมา “ได้ยินหมอหลวงหลินบอกว่าตอนนี้เจ้าดีขึ้นมากแล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน “วันนี้ลุกขึ้นมาตอนเช้าก็รู้สึกว่าร่างกายคล่องแคล่วขึ้นไม่น้อย หม
ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่กล้าเข้าไปปลอบอีก ได้แต่เดินตามหลังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและพูดว่า "ชิงเหยียนพูดถูก เจ้าพักฟื้นให้หายดีก่อนเถิด ลูกน่ะต่อไปยังมีใหม่ได้"แต่พระสนมหนิงเฟยกลับไม่ตอบ ยังคงซบไหล่ของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยน้ำตาไหลโดยไร้เสียงลู่ซิงหว่านมองฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างดูถูกอีกครั้ง[เสด็จพ่อต้องเป็นห่วงนางมากแน่ ๆ เลยใช่ไหม?][น่าเสียดายที่ท่านแม่ของข้าเป็นคนอ่านคนไม่ออกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยดูความรู้สึกสับซ้อนของพวกท่านไม่ออก][ไม่สู้เสด็จพ่อบอกท่านแม่ไปเลยดีกว่า บอกท่านแม่หลบให้หน่อย]คําพูดของลู่ซิงหว่านทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งไม่ติด คิดอยู่ว่าสู้สละที่นั่งให้ฮ่องเต้ต้าฉู่จะดีกว่ากระมัง!แต่นี้ในใจของหวานหว่านตัวเองเป็นคนอ่านคนไม่ออกแบบนี้หรือ?และประโยคนี้ของลู่ซิงหว่านก็ทำลายท่าทีที่อ่อนโยนของฮ่องเต้ต้าฉู่หมดสิ้นเช่นกัน ในห้องเงียบสงักไปชั่วขณะเหลือเพียงเสียงร้องไห้ของพระสนมหนิงเฟยพระสนมหนิงเฟยไม่คิดว่าสองคนนี้จะมาเยี่ยมตัวเองพร้อมกัน บอกว่าจะมาปลอบใจตัวเอง แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับมายืนนิ่งกันอยู่ สวรรค์คิดอะไรกันแน่ถึงได้จับสองคนนี้มาอยู่ด้วยกัน!และในตอนนี้บังเอิญเมิ่งฉวนเต๋อก็มา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้คิ้วของพระสนมหนิงเฟยก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นอีก นางจึงสั่งให้อวิ๋นจูไปตรวจสอบเรื่องที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยป่วย ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญจริงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงตัวเองจริง ๆ ก็เกรงว่านางจะสงสัยตัวเองแล้ว เช่นนั้นคนคนนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาดแต่พอพระสนมหนิงเฟยเพิ่งใช้ให้อวิ๋นจูออกไป ชุนหลานก็เดินเข้ามาว่าบอกว่า “พระสนม สนมเล่อกุ้ยเหรินมาเพคะ”สนมเล่อกุ้ยเหรินหรือ? พระสนมหนิงเฟยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกขึ้นมาอีก นางมาทำอะไรนอกจากจากที่ได้คุยกันอยู่บ้างตอนเพิ่งเข้าวัง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลยนางเพียงแต่เอ่ยปากบอกอย่างอ่อนแรงว่า “เชิญสนมเล่อกุ้ยเหรินเข้ามาเถอะ”ชุนหลานเป็นคนที่ช่างสังเกตคําพูดและสีหน้าของคนเสมอมา เมื่อเห็นว่าพระสนมหนิงเฟยดูเหมือนจะไม่พอใจ จึงเอ่ยปากถามว่า "ถ้าพระสนมรู้สึกเหนื่อยล้า ให้บ่าวไปไล่เล่อกุยเหรินออกไปก่อนดีไหมเพคะ"พระสนมหนิงเฟยกลับส่ายหัว "ไม่ต้องหรอก"สนมเล่อกุ้ยเหรินเป็นคนตรงไปตรงมามาตลอด นิสัยแบบนี้ถ้าอยู่ที่บ้านตัวเองต้องเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใหญ่อย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นางแต่งงานแล้ว แล้วยิ่งแต่งเ
ทางด้านในห้องทรงอักษรตอนนี้ รัชทายาทและเสนาบดีหลินกําลังรอการกลับมาของฮ่องเต้ต้าฉู่ทางด้านฮ่องเต้ต้าฉู่ ในที่สุดก็หนีออกจากตำหนักหนิงเหอได้สักที และกำลังเดินทางไปที่ห้องทรงอักษรระหว่างที่เดินก็ถามเมิ่งฉวนเต๋อไปพลางว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด?""ได้ยินองค์รัชทายาทบอกว่าเป็นข่าวจากติ๋งกั๋วโหว แต่ไม่ได้บอกรายละเอียด บอกเพียงว่าให้รายงานฝ่าบาท" เมิ่งฉวนเต๋อรีบอธิบายว่า "ฝั่งเสนาบดีหลินเห็นบอกว่าเป็นจดหมายจากแคว้นต้าลี่"ในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จะรู้แล้วว่าเรื่องอะไรจึงก้าวเท้าเร็วขึ้น"เสด็จพ่อพะย่ะค่ะ วันนี้หลังออกจากท้องพระโรงหม่อมฉันได้รับจดหมายลับจากติงกั๋วโหวว่าเหอเหลียนเหรินซินได้ติดต่อเขามา ติ้งกั๋วโหวจึงส่งจดหมายมาถามว่า จะร่วมมือกับเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" องค์รัชทายาททราบว่าฮ่องเต้งานราชยุ่ง แถมตอนนี้ในวังหลังก็มีเรื่องมากมาย เลยไม่ทำให้เสียเวลา มาถึงก็เข้าเรื่องทันทีฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า "เรื่องนี้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบโดยมีอำนาจเต็มมาแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าจัดการเองได้เลย"ตอนนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้มอบงานหลายอย่างในมือให้องค์รัชทายาทเป็นคนจัดการ การจัดการงานขององค์รัชทายาทสอดคล
"ก็มีแต่ท่านเสนาบดีที่พึ่งพาได้ ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากท่าน เราสองพี่น้องก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยในแคว้นเยว่เฟิง""ตอนนี้ข้ากับพี่ชายไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใด แค่หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขมั่นคงและมั่งคั่ง"เหอเหลียนจูลี่พูดแค่ไม่กี่คํา เฮ่อปาขุยก็ใจอ่อน เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนและพูดอย่างใจกว้างว่า "เจ้าวางใจได้ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ตอนนี้มีแค่ฮ่องเต้ที่อยู่เหนือข้าเท่านั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องลำบากแน่นอน"เหอเหลียนจูลี่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ดวงตาของนางฉายแววคิดร้ายดังนั้นเมื่อตอบคําถามเกี่ยวกับเหอเหลียนเหิงซิน คําตอบของเฮ่อปาขุยก็มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น "ฝ่าบาท แม้ว่าตอนนี้เหอเหลียนเหรินซินจะไม่มีที่พึ่งแล้ว แต่ตอนนี้แผ่นดินสงบสุขดี เราจะใช้กำลังหรือฆ่าฟันเขาไม่ได้แล้ว สู้เอาเขามาทำงานให้ตัวเองดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินอย่างนั้นเหอเหลียนเหิงซินก็ขมวดคิ้ว คําพูดนี้ไม่สอดคล้องกับนิสัยที่มุทะลุของลุงเขา จึงเกิดความสงสัยในใจจากนั้นจึงลองใจเขาต่อว่า "แล้วท่านลุงเห็นว่าควรทำอย่างไร?""กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทน่าจะพระราชทานจวนอ๋องเหรินให้แก่เหอเหลีย
แต่ทางด้านเหอเหลียนเหรินซิน เหล่าขุนนางหลายคนยิ่งรู้สึกว่าเหรินอ๋องทรงมีจิตใจเมตตาและยุติธรรมเช่นนี้จึงเป็นกษัตริย์ที่ดี ส่วนฮ่องเต้ในปัจจุบันทรงได้ขึ้นครองราชย์โดยมิชอบ โทษนี้สมควรถึงประหารชีวิตแต่ในเมื่อขณะนี้ฮ่องเต้เหรินอ๋องไม่มีความประสงค์เช่นนั้น พวกเขาจึงได้แต่จงรักภักดีและติดตามอย่างซื่อสัตย์ต่อไปได้รับการสนับสนุนจากคนเหล่านี้ เขาก็สามารถตั้งหลักในท้องพระโรงได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มแต่งตั้งคนของตนเอง คนที่ตนไว้วางใจไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน เขาก็มีแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า เขาต้องการอำนาจทางทหารเรื่องนี้ย่อมต้องการความช่วยเหลือจากติ้งกั๋วโหวแคว้นต้าฉู่ ระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ติ้งกั๋วโหวเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ จึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังติ้งกั๋วโหวทันทีสิ่งที่เขาต้องการคือ หวังว่าติ้งกั๋วโหวสามารถก่อสงครามที่เขตชายแดน เพื่อบั่นทอนความฮึกล้าหาญกเหิมของทหารแค้วนเยว่เฟิง และตนเองอาสานำทัพไปเอง เหอเหลียนเหิงซินก็ย่อมหวังให้ตนเองสามารถออกห่างท้องพระโรงอยู่แล้ว จึงจะต้องตอบรับอย่างแน่นอนแถมยังเขาถือโอกาสนี้อยู่ในค่ายทหาร เริ่มสร้างอำนาจของตนเองขณะที่องค์รัชทายาทเขีย
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก หวานหว่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิดเลย การอยู่ร่วมกับผู้หญิงเหล่านี้ในวังเหนื่อยล้าอย่างยิ่งไม่เพียงแต่ต้องพูดจาอ้อมค้อม ยังต้องระวังคนอื่นลอบทำร้ายตนเองอีกแต่ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นท่านพี่หลานเฟยผู้หญิงแสนอ่อนโยนเช่นนี้ ในค่ายทหารไม่มีทางหาเจอได้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เสียเปรียบอะไรชีวิตคนเรานั้น ย่อมมีได้มีเสียเป็นธรรมดาสนมเล่อกุ้ยเหรินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยเตือนข้าว่า หลังจากตั้งครรภ์แล้ว สิ่งของใกล้ตัวต้องตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนใช้ เป็นเพราะเหตุใดหรือเพคะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางมาเพราะเรื่องนี้ ก็โล่งอก “ข้าคิดว่าเป็นเรื่องอะไรเสียอีก! สนมเล่อกุ้ยเหรินไม่ต้องกังวลไป ข้าเพียงเห็นว่าเจ้าตั้งครรภ์ครั้งแรก จึงกำชับให้เจ้าระมัดระวังหน่อยเท่านั้นเอง”สนมเล่อกุ้ยเหรินได้ยินนางพูดเช่นนั้น เรื่องที่กังวลในใจก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย จึงพึมพำเบา ๆ ว่า “แต่ลูกของพระสนมหนิงเฟยก็แท้งไปจริง ๆ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “สนมเล่อกุ้ยเหรินไปที่ตำหนั