แต่ทางด้านอวิ๋นจูผ่านการสืบหาหลักฐานอยู่พักหนึ่ง ก็รีบกลับมายังตำหนักหนิงเหออย่างรวดเร็ว เห็นชุนหลานกำลังรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างกายพระสนมหนิงเฟย สีหน้าแสดงความหน้าไม่พอใจออกมาทันทีชุนหลานคนนี้ ภายนอกดูเหมือนจะเคารพนบนอบอย่างมาก แต่ตั้งแต่ตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหนิงเหอ นางกลับคอยขัดขวางตนเองทั้งลับและแจ้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังร่วมมือกับสาวใช้คนอื่นๆ ต่อต้านตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อหน้าพระสนมหนิงเฟยนางแสดงท่าทีนอบน้อมเสมอ ตนเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลยแม้ว่าตนเองจะถูกส่งมาคอยรับใช้พระสนมหนิงเฟย แต่พระสนมหนิงเฟยก็ยังเป็นนายอยู่ดี ตนเองจึงต้องระมัดระวังให้มากขึ้นจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อยว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ทางนี้ข้าจะรับใช้พระสนมเอง”ถึงแม้ชุนหลานจะไม่เต็มใจ แต่นางก็เก่งในการแสร้งต่อหน้าพระสนมหนิงเฟยอยู่เสมอ จึงลุกขึ้นแล้วคำนับพระสนมหนิงเฟย “บ่าวขอตัวก่อน ต้องขออภัยที่ทำให้พี่อวิ๋นจูต้องเหนื่อยแทนเจ้าค่ะ”เห็นชุนหลานออกจากห้องไป พระสนมหนิงเฟยจึงกล่าวว่า “เจ้าจะไปถือสากับนางทำไมกัน”อวิ๋นจูยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบเรื่องนี้ เพียงแค่เดินไปนั่งข้างเตียงของพระสนมหนิงเฟยแล้ว
“ขอบพระทัยพระสนมเพคะ” ฉยงหัวเห็นพระสนมเฉินเฟยเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งซาบซึ้งใจ “คิดว่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์เช่นพระสนม คงหาผู้ใดในเมืองหลวงมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว”พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางลู่ซิงหว่าน หากนางเป็นหวานหว่านจริง มีท่านแม่เช่นนี้คอยปกป้องในภพนี้ ท่านอาจารย์ของหวานหว่านก็คงวางใจได้“นั่งลงเถิด” พระสนมเฉินเฟยจึงนึกถึงเรื่องสำคัญแล้วมองไปทางจิ่นซิน “จิ่นซิน รีบพูดมาเถอะ!”เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ฉยงหัวก็ยิ่งงงงวย“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในงานฉลองพิธีปักปิ่นของคุณหนูเสิ่น คุณหนูเสิ่นถูกหลินอิน บุตรสาวของรองเสนาบดีกรมขุนนาง ผลักตกลงไปทะเลสาบในสวน”“บุตรสาวของรองเสนาบดีกรมขุนนางอย่างนั้นหรือ? ใช่หญิงสาวที่ชื่อหลินอินใช่หรือไม่?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพอจะจำนางได้บ้าง“พระสนมความจำดีจริง ใช่แล้วเพคะ!”ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะนั่งคิดทบทวนอยู่ข้างๆ[บุตรสาวของรองเสนาบดีกรมขุนนาง หลินอิน ดูเหมือนจะชอบคุณชายใหญ่ตระกูลหาน หานซีสือหรือเปล่านะ? หรือว่าเป็นเพราะ "ฆาตกรรมจากความรัก”?][แต่หลินอินคนนี้ก็ช่างกล้าหาญนัก ท่านพ่อนางเป็นรองเสนาบดีกรมขุนนาง ส่วนท่านพ่อของเสิ่นเป่าเยี่ยนเป็นร
ขณะที่พวกเขากําลังพูดคุยกันอยู่นั้น หลานอิ่งก็เดินเข้ามาจากข้างนอก"คุณหนู" หลังจากที่หลานอิ่งทําความเคารพแล้วหันไปมองฉยงหัวที่อยู่ด้านข้าง "ข้าน้อยมีเรื่องจะมารายงานขอรับ"แน่นอนว่าฉยงหัวย่อมเข้าใจจุดประสงค์ของหลานอิ่ง จึงขอตัวลากลับไปก่อน ส่วนจิ่นซินและจิ่นอวี้เองก็รีบตามออกจากห้องด้านในไป เมื่อก่อนพวกนางสองคนเองก็อยู่ฟังด้วย เพียงแค่บัดนี้จะทำให้แม่นางฉยงหัวรู้สึกได้รับความโดดเดี่ยวไม่ได้ ถึงได้ตามออกมาหลายวันมานี้หลานอิ่งกำลังตรวจสอบเรื่องการลอบสังหารรัชทายาทที่อารามหมิงจิ้งก่อนหน้านี้มาโดยตลอด ทันทีที่หลานอิ่งมา พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เดาได้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"คุณหนู ข้าน้อยได้ติดตามมหาขันทีหลินนั่นในตลอดช่วงหลายวันมานี้ ถึงแม้ว่าจะไม่พบคนอื่น แต่สามารถแน่ใจได้ว่า บัดนี้มหาขันทีหลินผู้นี้จะต้องยังอยู่ในพระราชวังอย่างแน่นอนและยังไม่ได้หลบหนีไป" เมื่อหลานอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เงยหน้าเหลือบมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "เรื่องการลอบสังหารรัชทายาทที่วัดหมิงจิ้ง ข้าน้อยเองยังสืบได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังของเณรน้อยผู้นั้น ก็คือมหาขันทีหลินผู้นี้"เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคําพูดนี้ในใจก็ตก
"เพียงแค่..." รัชทายาทเอ่ยคำพูดนี้จบกลับลังเลขึ้นตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้พบความผิดปกติของเขา จึงรีบเอ่ยถามว่า "จิ่นเหยามีเรื่องอะไรหรือ?""จิ่นหยูบอกในจดหมายว่า ขณะที่พวกเขาเดินทางกลับมาจากการสร้างเมือง เดินทางได้ไม่ถึงครึ่งทาง ก็พบกับนักฆ่าลอบสังหารอีกครั้ง"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นอย่างแรง มีนักฆ่าอีกแล้วหรือ?"ได้รับบาดเจ็บไหม?""เสด็จป้าอย่าตกใจไปเลยขอพ่ะย่ะค่ะ" รัชทายาทรู้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมีประสบการณ์ผ่านการลอบสังหารมาหลายครั้ง บัดนี้จึงกังวลเป็นอย่างมากขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรนั้น กลับเห็นพระสนมหลานเฟยเดินกะโผลกกะเผลกมายังตำหนักซิงหยางจากนั้นก็จับมือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "ได้ยินว่าจิ่นหยูเจอนักฆ่าลอบสังหารหรือ?"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับหันกลับมามองพระสนมหลานเฟยด้วยความสงสัย ตอนนี้พระสนมหลานเฟยถึงได้สงบสติอารมณ์ได้ "เมื่อครู่ที่ข้าได้ยินข่าวนี้ก็ไปที่ห้องทรงอักษร ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทมีสุขภาพไม่ดีนัก จึงไปที่ตำหนักชิงอวิ๋นก็ได้ยินว่าเจ้ามาที่ตำหนักซิงหยาง..."รัชทายาทรีบไปด้านหน้าเพื่อประคอง "พระสนมหลานเฟยวางใจเถิด จิ่นหยูสบายดี"บัดนี้พระสนมหลา
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้บอกความสงสัยของตัวเองออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตัวเองก็ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งสำหรับพระสนมหนิงเฟยแล้ว ก็เป็นแค่ความไม่สบายใจของตัวเองมากกว่าจึงหันหน้ากลับไปมององค์รัชทายาท "จิ่นเหยา เรื่องที่จิ่นหยูถูกลอบสังหารสรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"รัชทายาทเหลือบมองพระสนมหลานเฟยที่กระสับกระส่ายและยิ้มเบา ๆ ว่า "พระสนมทั้งสองท่านโปรดวางใจได้ บัดนี้ทั้งจิ่นหยูและฉู่เยี่ยนล้วนสบายดี อีกสามถึงห้าวันก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว จะกลับมาทันงานพระราชสมภพเสด็จย่า!"เมื่อเห็นสภาพของพวกนางทั้งสองคนผ่อนคลายลง องค์รัชทายาทจึงเอ่ยต่อไปว่า"ตอนที่พวกจิ่นหยูสร้างเมืองออกมาได้สามสี่วัน พวกเขาได้พบกับนักฆ่าลอบสังหารกลุ่มหนึ่งระหว่างทาง นักฆ่ากลุ่มนี้เป็นนักรบที่ปลอมตัวมา วิ่งไปลอบสังหารจิ่นหยูจริง ๆ"พอได้ยินองค์รัชทายาทกล่าวถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าพระสนมหลานเฟยจะไม่ได้พูด แต่กลับจับมือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแน่น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตบมือของนางเพื่อปลอบใจ"ฉู่เยี่ยนขวางดาบนี้แทนจิ่นหยู" รัชทายาทเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง"เมื่อนักรบเหล่านั้นเห็นว่าภารกิจล้มเหลว จึงฆ่าตัวตายในเหตุการณ์ทันที หาร่องรอยไม่เจอ กลั
พระสนมหนิงเฟยกลับไม่สนใจ "ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นนางแล้วขัดหูขัดตาก็เท่านั้น ท่านสบายใจได้ว่า คนในพระราชวังนี้ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นอย่างที่ท่านคิด แค่นี้ก็สามารถเดาตัวตนของข้าได้"ชายผู้นั้นกลับจ้องมองพระสนมหนิงเฟยอย่างดุร้าย "เสิ่นหนิง บัดนี้เจ้าบังอาจใหญ่แล้วหนา"เมื่อเห็นว่าเขากรุ่นโกรธ พระสนมหนิงเฟยรีบลุกขึ้นมาข้าง ๆ เขา "ท่านสบายใจได้ วันหลังข้าจะควบคุมและยับยั้งคำพูด"เมื่อพบว่าผู้ชายผู้นั้นสลัดความโกรธทิ้งไป พระสนมหนิงเฟยก็ค่อย ๆ เลื่อนมือที่วางบนไหล่ของเขาไปยังหน้าอกของเขาอย่างช้า ๆชายคนนั้นกลับลุกขึ้นมาอย่างแรง "เจ้าจัดการให้เรียบร้อย"ทิ้งไว้แค่เพียงสี่คำจากนั้นก็บินลอยออกไปจากตำหนักหนิงเหอ โดยไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย วินาทีนั้นพระสนมหนิงเฟยนั่งแน่นิ่งในตําแหน่งที่เขาเพิ่งนั่งเมื่อครู่ทันที เขาสนใจตัวนางจริงใช่ไหม?สองวันมานี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังยุ่งอยู่กับงานใหญ่อีกอย่างหนึ่งกับพระสนมหลานเฟย ซึ่งก็คืองานพระราชสมภพของไทเฮาเนื่องจากรัชทายาทจัดการอย่างเหมาะสม องค์ชายรองจึงร่วมมือกับรัฐทายาทอันกั๋วกงอย่างต่อเนื่อง ยับยั้งความอดอยากที่กําลังจะเกิดขึ้นในประเทศ บัดนี้ยุ
ฮ่องเต้ต้าฉู่ตรัสจบก็อุ้มลู่ซิงหว่านที่ยืนอยู่ข้างๆขึ้นมา “ข้าไม่ได้เจอหวานหว่านมาหลายวัน หวานหว่านยืนได้เสียแล้ว” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นก็รีบยิ้มพลางกล่าว “หวานหว่านเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว ร่างกายก็แข็งแรงกว่าปกติ ตอนที่เริ่มยืนได้ครั้งแรกหม่อมฉันเองก็ตกใจเหมือนกันเพคะ คิดว่าอีกเดือนกว่าๆ ก็คงเดินได้แล้วล่ะเพคะ”ลู่ซิงหว่านได้ยินเสด็จพ่อกับท่านแม่ชมตนเองก็ดีใจจนออกนอกหน้านอกตา[ก็แน่ละสิ องค์หญิงอย่างข้าไม่ใช่เด็กธรรมดา ข้าเป็นถึงเซียนมาจุติเชียวนะ][อาการปวดศีรษะของเสด็จพ่อดีขึ้นบ้างแล้วหรือ? หลายวันมานี้ท่านแม่กับหวานหว่านเป็นห่วงมากเลยนะ][แต่ช่วงนี้ท่านแม่ต้องอยู่แต่ในตำหนักชิงอวิ๋นออกไปไหนไม่ได้ พวกท่านช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ ล้มป่วยพร้อมกันเสียเลย][หวานหว่านชอบวันเวลาเช่นนี้ ชอบที่เสด็จพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ยังมีเสด็จย่าอยู่ด้วย ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ พระสนมหลานเฟยเองก็ดีมาก เพียงแต่...]ยังไม่ทันที่ลู่ซิงหว่านจะคิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจความหมายของนางแล้วไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่พาพระสนมหนิงเฟยมาปรากฏตัวต่อหน้าหวานหว่าน ตนมักจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ ราว
“เรื่องที่สาวใช้ของเจ้าแอบอ้างพระราชโองการนั้น เจ้าก็อย่าเก็บมาคิดมากเลย ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ไม่ได้ตำหนิเจ้า”ไทเฮาพูดจบก็หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าก็อย่าไปโทษพระสนมหนิงเฟยเลย”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบตอบ “ไทเฮารับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ ก็แค่สาวใช้ไม่รู้เรื่องรู้ราว หม่อมฉันจะไปโทษพระสนมหนิงเฟยได้อย่างไรเพคะ!”พระสนมหนิงเฟยจึงมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยความสงสาร “ขอบคุณพี่หญิงที่ไม่ถือสา หลายวันมานี้หม่อมฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ทั้งกลัวว่าฝ่าบาทจะรังเกียจหม่อมฉัน ทั้งกลัวว่าพี่เฉินจะเกลียดชัง ตอนนี้หม่อมฉันได้เปลี่ยนสาวใช้ในตำหนักทั้งหมดแล้ว...”พูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะเช็ดน้ำตาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเข้าไปจับมือนาง ปลอบว่า “น้องอย่าได้คิดมากเลย วันก่อนข้าเองก็ป่วย เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อเจ้าตั้งครรภ์ ข้าจะต้องไปเป็นคนแรกอย่างแน่นอน”“ดูข้าสิ เพิ่งกล้าออกมาพบคนสองสามวันนี้เอง ช่างน่าเสียดายลูกของเจ้าจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นพวกนางสองคนอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวก็รู้สึกดีใจในตอนนั้นเอง ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็ขยับตัว ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้สึกไม