พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้บอกความสงสัยของตัวเองออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตัวเองก็ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งสำหรับพระสนมหนิงเฟยแล้ว ก็เป็นแค่ความไม่สบายใจของตัวเองมากกว่าจึงหันหน้ากลับไปมององค์รัชทายาท "จิ่นเหยา เรื่องที่จิ่นหยูถูกลอบสังหารสรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"รัชทายาทเหลือบมองพระสนมหลานเฟยที่กระสับกระส่ายและยิ้มเบา ๆ ว่า "พระสนมทั้งสองท่านโปรดวางใจได้ บัดนี้ทั้งจิ่นหยูและฉู่เยี่ยนล้วนสบายดี อีกสามถึงห้าวันก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว จะกลับมาทันงานพระราชสมภพเสด็จย่า!"เมื่อเห็นสภาพของพวกนางทั้งสองคนผ่อนคลายลง องค์รัชทายาทจึงเอ่ยต่อไปว่า"ตอนที่พวกจิ่นหยูสร้างเมืองออกมาได้สามสี่วัน พวกเขาได้พบกับนักฆ่าลอบสังหารกลุ่มหนึ่งระหว่างทาง นักฆ่ากลุ่มนี้เป็นนักรบที่ปลอมตัวมา วิ่งไปลอบสังหารจิ่นหยูจริง ๆ"พอได้ยินองค์รัชทายาทกล่าวถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าพระสนมหลานเฟยจะไม่ได้พูด แต่กลับจับมือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแน่น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตบมือของนางเพื่อปลอบใจ"ฉู่เยี่ยนขวางดาบนี้แทนจิ่นหยู" รัชทายาทเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง"เมื่อนักรบเหล่านั้นเห็นว่าภารกิจล้มเหลว จึงฆ่าตัวตายในเหตุการณ์ทันที หาร่องรอยไม่เจอ กลั
พระสนมหนิงเฟยกลับไม่สนใจ "ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นนางแล้วขัดหูขัดตาก็เท่านั้น ท่านสบายใจได้ว่า คนในพระราชวังนี้ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นอย่างที่ท่านคิด แค่นี้ก็สามารถเดาตัวตนของข้าได้"ชายผู้นั้นกลับจ้องมองพระสนมหนิงเฟยอย่างดุร้าย "เสิ่นหนิง บัดนี้เจ้าบังอาจใหญ่แล้วหนา"เมื่อเห็นว่าเขากรุ่นโกรธ พระสนมหนิงเฟยรีบลุกขึ้นมาข้าง ๆ เขา "ท่านสบายใจได้ วันหลังข้าจะควบคุมและยับยั้งคำพูด"เมื่อพบว่าผู้ชายผู้นั้นสลัดความโกรธทิ้งไป พระสนมหนิงเฟยก็ค่อย ๆ เลื่อนมือที่วางบนไหล่ของเขาไปยังหน้าอกของเขาอย่างช้า ๆชายคนนั้นกลับลุกขึ้นมาอย่างแรง "เจ้าจัดการให้เรียบร้อย"ทิ้งไว้แค่เพียงสี่คำจากนั้นก็บินลอยออกไปจากตำหนักหนิงเหอ โดยไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย วินาทีนั้นพระสนมหนิงเฟยนั่งแน่นิ่งในตําแหน่งที่เขาเพิ่งนั่งเมื่อครู่ทันที เขาสนใจตัวนางจริงใช่ไหม?สองวันมานี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังยุ่งอยู่กับงานใหญ่อีกอย่างหนึ่งกับพระสนมหลานเฟย ซึ่งก็คืองานพระราชสมภพของไทเฮาเนื่องจากรัชทายาทจัดการอย่างเหมาะสม องค์ชายรองจึงร่วมมือกับรัฐทายาทอันกั๋วกงอย่างต่อเนื่อง ยับยั้งความอดอยากที่กําลังจะเกิดขึ้นในประเทศ บัดนี้ยุ
ฮ่องเต้ต้าฉู่ตรัสจบก็อุ้มลู่ซิงหว่านที่ยืนอยู่ข้างๆขึ้นมา “ข้าไม่ได้เจอหวานหว่านมาหลายวัน หวานหว่านยืนได้เสียแล้ว” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นก็รีบยิ้มพลางกล่าว “หวานหว่านเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว ร่างกายก็แข็งแรงกว่าปกติ ตอนที่เริ่มยืนได้ครั้งแรกหม่อมฉันเองก็ตกใจเหมือนกันเพคะ คิดว่าอีกเดือนกว่าๆ ก็คงเดินได้แล้วล่ะเพคะ”ลู่ซิงหว่านได้ยินเสด็จพ่อกับท่านแม่ชมตนเองก็ดีใจจนออกนอกหน้านอกตา[ก็แน่ละสิ องค์หญิงอย่างข้าไม่ใช่เด็กธรรมดา ข้าเป็นถึงเซียนมาจุติเชียวนะ][อาการปวดศีรษะของเสด็จพ่อดีขึ้นบ้างแล้วหรือ? หลายวันมานี้ท่านแม่กับหวานหว่านเป็นห่วงมากเลยนะ][แต่ช่วงนี้ท่านแม่ต้องอยู่แต่ในตำหนักชิงอวิ๋นออกไปไหนไม่ได้ พวกท่านช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ ล้มป่วยพร้อมกันเสียเลย][หวานหว่านชอบวันเวลาเช่นนี้ ชอบที่เสด็จพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ยังมีเสด็จย่าอยู่ด้วย ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ พระสนมหลานเฟยเองก็ดีมาก เพียงแต่...]ยังไม่ทันที่ลู่ซิงหว่านจะคิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจความหมายของนางแล้วไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่พาพระสนมหนิงเฟยมาปรากฏตัวต่อหน้าหวานหว่าน ตนมักจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ ราว
“เรื่องที่สาวใช้ของเจ้าแอบอ้างพระราชโองการนั้น เจ้าก็อย่าเก็บมาคิดมากเลย ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ไม่ได้ตำหนิเจ้า”ไทเฮาพูดจบก็หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าก็อย่าไปโทษพระสนมหนิงเฟยเลย”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบตอบ “ไทเฮารับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ ก็แค่สาวใช้ไม่รู้เรื่องรู้ราว หม่อมฉันจะไปโทษพระสนมหนิงเฟยได้อย่างไรเพคะ!”พระสนมหนิงเฟยจึงมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยความสงสาร “ขอบคุณพี่หญิงที่ไม่ถือสา หลายวันมานี้หม่อมฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ ทั้งกลัวว่าฝ่าบาทจะรังเกียจหม่อมฉัน ทั้งกลัวว่าพี่เฉินจะเกลียดชัง ตอนนี้หม่อมฉันได้เปลี่ยนสาวใช้ในตำหนักทั้งหมดแล้ว...”พูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะเช็ดน้ำตาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบเข้าไปจับมือนาง ปลอบว่า “น้องอย่าได้คิดมากเลย วันก่อนข้าเองก็ป่วย เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อเจ้าตั้งครรภ์ ข้าจะต้องไปเป็นคนแรกอย่างแน่นอน”“ดูข้าสิ เพิ่งกล้าออกมาพบคนสองสามวันนี้เอง ช่างน่าเสียดายลูกของเจ้าจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นพวกนางสองคนอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวก็รู้สึกดีใจในตอนนั้นเอง ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็ขยับตัว ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้สึกไม
“เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่กระชับลู่ซิงหว่านในอ้อมกอดแล้วหันไปมองไทเฮา “คราวนี้ทูตที่จะมาคืออี้ซวนอ๋อง หลีซื่อกับฮูหยินของเขา ฟู่เหยา”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่อุ้มลู่ซิงหว่านมานานแล้ว คงจะเมื่อย จึงคิดจะรับลู่ซิงหว่านมา แต่เมื่อได้ยินชื่อฟู่เหยา ก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ต้าฉู่ทันที มือที่ยื่นออกไปก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศฮ่องเต้ต้าฉู่ดูเหมือนจะเห็นความสงสัยในใจนาง จึงรีบอธิบาย “ใช่ฟู่เหยาที่ชิงเหยียนคิดอยู่นั่นแหละ ตอนนี้นางถอนกำลังกลับมาจากชายแดนแล้ว แต่งงานกับอี้ซวนอ๋อง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชั่วขณะหนึ่งในหัวราวกับขาวโพลนไปหมดตัวนางกับฟู่เหยาคนนี้ ก็ถือว่าเป็นคู่ปรับที่เคยต่อสู้กันมาแล้วตอนนั้นนางติดตามบิดาไปประจำการที่ชายแดนระหว่างแคว้นต้าลี่กับแคว้นต้าฉู่นางได้รับคำสั่งจากบิดาให้นำกองกำลังเล็กๆ ไปสำรวจการวางกำลังของกองทัพแคว้นต้าลี่ บังเอิญไปเจอฟู่เหยาที่นำกองกำลังออกมาลาดตระเวน ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ซ่งชิงเหยียนมีพรสวรรค์เหนือกว่า อีกทั้งได้รับการฝึกฝนที่ชายแดนมานานหลายปี สุดท้ายก็เหนือกว่าเล็กน้อยนางใช้หอกสกัดหมวกเกราะของฟู่เหยาหลุด ตั้งใจ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า “ใช่แล้วเพคะ พูดถึงแม่นางอู หม่อมฉันมีเรื่องจะขอพระมหากรุณาจากฝ่าบาทด้วยเพคะ”“เจ้าว่ามาเถิด” ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ดีว่าซ่งชิงเหยียนเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เรื่องที่นางเสนอมาย่อมผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว“ตระกูลอูนี้ช่วยเหลือหม่อมฉันมามากจริงๆ เพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองไทเฮา “ตอนจิ่นหยูถูกลอบสังหารที่วัดหมิงจิ้ง ก็อาศัยยาสมานแผลของแม่นาง ตอนที่พระสนมหลานเฟยป่วยหนักเป็นเดือน หากไม่ใช่แม่นางอูช่วย ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วครั้งนี้ก็บังเอิญไปช่วยฉู่เยี่ยนอีก”“บุตรสาวของแม่นางอู แม่นางต้วน ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง เป็นฮูหยินของจวนโหวกวงฉิน ก่วนหลางสือ แม่ก็ย่อมหวังดีต่อลูก” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันคิดว่า อยากจะขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แม่นางเทียนเพคะ”พอพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดจบ ไทเฮาก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับมาสงบสติอารมณ์ “ชิงเหยียนช่างมีน้ำใจจริงๆ ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไร?”ฮ่องเต้ต้าฉู่อดมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ นึกถึงเรื่องในอดีตระหว่างนางกับกว่านหลางสือ ในใจก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นดวงตาใสซื่อของ
กลับมาถึงตำหนักชิงอวิ๋น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เรียกเหมยหยิ่งเข้ามา เรื่องนี้นางให้ความสำคัญมาก จึงต้องจัดการโดยเร็ว “เรื่ององค์ชายรองและซื่อจื่ออันกั๋วกงถูกลอบสังหาร ข้าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับพระสนมหนิงเฟย”เหมยหยิ่งเพียงฟังคำสั่งนายหญิงอย่างเงียบๆ ไม่พูดแทรก“ตอนสืบต้องระวังให้มาก ให้จวี๋อิ่งวางงานในมือก่อน ไปสืบพร้อมกับเจ้า”“ให้จวี๋อิ่งจงใจทิ้งร่องรอยให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น แต่ต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองให้ได้ ไม่ได้หวังให้นางสืบอะไรหรอก เพียงให้เป็นฉากบังหน้าให้เจ้า ส่วนเจ้า ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด”เหมยหยิ่งเห็นนายหญิงระมัดระวังเช่นนี้ จึงรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก “เพคะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูวางใจได้”พูดจบก็ออกไปทันทีหลังจากเหมยหยิ่งจากไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในห้องชั้นในอยู่นาน ในที่สุดก็เรียกจิ่นซินเข้ามา “พวกเราไปตำหนักหานกวางกันเถอะ”“พระสนมจะไปพบพระสนมเหวินเฟยหรือเพคะ?” จิ่นซินถามอย่างสงสัย“อืม ครั้งก่อนต้องขอบคุณพระสนมเหวินเฟยที่เตือน ข้าจึงรอดพ้นกับดักที่สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินวางไว้ ข้าบอกว่าจะไปเยี่ยม แต่ก็ผิดคำพูด” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงหว่านเดินไปพลาง
หันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอย่างตื่นเต้น "เหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมากจริงด้วย!"จากนั้นก็ยื่นมือไปหยอกเล่นกับมือน้อย ๆ ของลู่ซิงหว่าน เนื่องจากในหนังสือนิทานเขาช่วยพูดแก้ต่างให้ติ้งกั๋วโหว ดังนั้นลู่ซิงหว่านก็เลยมีความประทับใจที่ดีในตัวเขาจึงคว้าจับมือของเขาไว้เขาอุทานอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง "เสด็จแม่ น้องเก้าจับมือข้าด้วย!"สายตาเต็มไปด้วยความดีใจ "ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าน้องเก้าเป็นเด็กน้อยที่มีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้อายุแค่หกเดือนก็สามารถฟังที่เราพูดรู้เรื่องแล้ว เก่งมากเลยจริง ๆ "[ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นคนสุขุม ที่ไหนได้ก็เป็นแค่เด็กเหมือนกัน!][วันนี้ฝืนใจช่วยพระสนมเหวินเฟยดูแลลูกก็ได้ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พระสนมเหวินเฟยช่วยเสด็จแม่ของข้าเมื่อครั้งที่แล้วก็แล้วกัน][เหตุการณ์ครั้งที่แล้วถ้าไม่ได้พระสนมเหวินเฟยล่ะก็จะอัตรายมาก ใครจะคิดว่าสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินคิดจะใช้วิธีชั่วร้ายแบบนั้นต่อกรกับท่านแม่]"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนานทีจะได้มาที โปรดพูดคุยกับเสด็จแม่เยอะ ๆ เถิด" องค์ชายสี่เล่นกับลู่ซิงหว่านได้สักพักก็รู้สึกว่ารบกวนเวลาพูดคุยของเสด็จแม่กับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยจึงคำนับอีก