พูดจบก็มองไปทางพระสนมหลานเฟยอย่างจนใจ “ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว สมองใช้การไม่ได้แล้ว”พระสนมหลานเฟยก็ยิ้มอย่างจนใจเช่นกันหรงเหวินเมี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ ก็รีบเอ่ยปากรับคําว่า “พระสนมกำลังล้อเล่นอยู่เพคะ หม่อมข้าเห็นพระสนมตอนนี้ยังสาวและงดงาม และก็ดูไม่ต่างจากหญิงสาวอายุสิบกว่าปีเลยนะเพคะ”[พี่หญิงหรง คําพูดนี้ของท่านก็น่าสงสัยว่าจะประจบสอพลอแล้ว ว่าที่แม่สามีของท่านคือพระสนมหลานเฟย ท่านควรประจบสอพลอพระสนมหลานเฟยให้มากหน่อยถึงจะถูกนะ][แต่สิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกต้อง แม่ของข้ายังเด็กและสวยงาม เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างพวกท่านก็ไม่เลวเลย]เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้ หางตาของนางกลับยกขึ้นเบา ๆ และยิ้มอย่างใจเย็น"เด็ก ๆ อย่างพวกเจ้าก็ชอบล้อข้าเล่นเหมือนกัน"เสิ่นเป่าซวงเคยรู้จักกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาก่อน ถือว่าเข้าใจนิสัยของนางไม่มากก็น้อย เห็นนางถามเช่นนี้ ก็นึกถึงเรื่องที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยบอกว่าจะส่งพิธีปักปิ่นให้พี่สาวตนรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “พระสนมทรงจําดีมากเพคะ อีกไม่เกินห้าวันพี่สาวของข้าก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว เมื่อก่อนพระสนมยั
พระสนมหลานเฟยกระเถิบเข้ามาหาพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด คุณหนูรองตระกูลเสิ่นตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าว่าดูแล้วก็เป็นคนสดใสดี""ท่านพี่พูดถูก ข้าก็ชอบเด็กคนนี้เหมือนกัน" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดนึกถึงตอนจบของเสิ่นเป่าซวงที่ลู่ซิงหว่านเคยเล่าให้ฟังไม่ได้ คิดก็รู้สึกปลงแต่ตอนนี้ในวังกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายหลังจากเซียงอวิ๋นนั้นถูกนางสนมชูผินขอตัวไป เพราะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางสนมชูผินกับอวิ๋นกุ้ยเหรินในอดีต แถมอวิ๋นกุ้ยเหรินก็เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เจ้านายของตัวเองต้องตาย นางจึงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยแต่ไม่คิดว่านางสนมชูผินจะส่งคนมาเรียกนางเข้าไปหาที่ห้องชั้นใน แถมน้ำเสียงที่พูดก็นุ่มนวล "ก่อนหน้านี้เจ้าติดตามรับใช้สนมฟางกุ้ยเหรินคงลำบากน่าดู"เมื่อเซียงอวิ๋นเห็นท่าทางของสนมชูผินเช่นนี้ ก็ยิ่งกระวนกระวายใจกว่าเดิม นางตอบว่า "ขอบพระคุณสนมที่ห่วงใย ""ข้าถามเจ้าหน่อยว่าสนมฟางกุ้ยเหรินฆ่าพระสนมเต๋อเฟยจริงหรือ?" แม้ว่าน้ำเสียงของนางสนมจะนุ่มนวล แต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น เซียงอวิ๋นคุกเข่าลงทันทีด้วยความกลัว นางรู้ว่าที่สนมชูผินขอตัวนางมา ไม่ใช่เพียงเพราะขาดนางกำนัลแค่นั้นแน
จิ่นซินและจิ่นอวี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนางต้องติดตามพระสนมใกล้ชิดอยู่แล้วตอนนี้ในตำหนักจึงเงียบเหงา ฉยงหัวจึงมีเวลาว่างเดินเล่นในตำหนักชิงอวิ๋นที่ใหญ่โตครั้งนี้ลู่ซิงหว่านเดาไม่ผิดจริง ๆ ฉยงหัวคนนี้ก็คือปี่ฉยงหัว ซึ่งก็คือพี่ฉยงหัวที่คอยดูลู่ซิงหว่านหลายอย่างตอนที่นางอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคราวนี้ลู่ซิงหว่านทะยานขึ้นฟ้าถูกคนลอบทำร้าย อาจารย์เป็นห่วงนางมาก แต่เขาไม่สามารถออกจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ ฉยงหัวเสนอตัวเดินทางมาแทนอาจารย์ของลู่ซิงหว่านแม้ว่าจะทํานายตำแหน่งของ,ซิงหว่านมาจากโลกแห่งการบําเพ็ญเพียรแล้ว แต่เมื่อพอลงมายังโลกมนุษย์ก็ยังคงไปลงผิดตำแหน่ง ไปโผล่ที่ชายแดนของแคว้นต้าฉู่ทั้งที่ตำแหน่งที่ทำนายไว้ควรเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าฉู่แถมตัวเองก็สูญเสียพลังวิญญาณไปหมดตัว นี่มัน... โชคร้ายสุด ๆ ไปเลยตอนนี้นอกจากจะมาผิดที่แล้วยังสูญเสียพลังวิญญาณ และยังเกือบจะถูกพวกเจ้าเล่ห์หลอกไปขายอีกโชคดีที่ทหารองครัก์ของติ้งกั๋วโหวช่วยตัวเองไว้ จึงรอดพ้นจากภัยนี้มาได้โลกมนุษย์อันตรายถึงเพียงนี้ ขนาดนางเป็นผู้ใหญ่ยังขนาดนี้ สงสารก็แต่หวานหว่าน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนโ
หลังจากเซียงอวิ๋นออกจากตำหนักจูหัวแล้ว สนมชูผินจึงหันไปถามอวี้ซิ่วที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "ยานั้นไม่มีปัญหาแน่นะ?""สนมวางใจได้" อวี้ซิ่วบีบไหล่ให้สนมชูผินพลางพูดเบา ๆ "เดิมทีก็ทำเพื่อทดสอบเซียงอวิ๋นเท่านั้น จะเป็นพิษจริงได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ"สนมชูผินพยักหน้าสบายใจแต่ในที่ที่สนมชูผินมองไม่เห็น อวี้ซิ่วกลับแสดงสีหน้าชั่วร้ายออกมาในเวลานี้ในตำหนักชิงอวิ๋น เซียงอวิ๋นเห็นว่ามีนางกำนัลตําหนิตัวเอง ในใจก็ตื่นตระหนก แต่หันไปมองแล้วเห็นว่าไม่ใช่นางกำนัลที่มีหน้ามีตาในตำหนักชิงอวิ๋น และวันนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ออกจากวังไปเข้าร่วมงานกวีนิพนธ์ จะตั้งใจทิ้งคนไว้เฝ้าที่ตำหนักได้อย่างไร?ทันใดนั้นใจนางก็สงบลงอีกครั้ง นางมองไปที่หญิงสาวคนนั้น "พระสนมกุ้ยเฟยให้ข้ากลับมาส่งของ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?""ของอะไร" ฉยงหัวจะไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่เซียงอวิ๋นก็หยิบของในมือให้ฉยงหัวดูอย่างใจเย็น แต่ไม่ได้วางไว้ในมือที่นางยื่นออก "นี่เป็นธูปที่พระสนมกุ้ยเฟยขอจากองค์หญิงใหญ่เมื่อหลายวันก่อน ให้ข้าส่งกลับมาให้ก่อน"ฉยงหัวกลับไม่เชื่อนาง จึงก้าวไปข้างหน้าและห้ามนางไว้ "ไม่ได้ ก่อนที่พระสนมจะกลับมา ใครก็เข้าไปไม่ได้"พวกนา
เพราะเรื่องที่องค์หญิงสองแต่งงานจึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ชอบสนมซูผิน และน้ำเสียงก็มีแต่เพียงความเรียบนิ่ง “ในเมื่อเป็นเจ้าที่สั่งสอน แล้วเหตุใดถึงได้วิ่งมาที่ตำหนังชิงอวิ๋นเล่า ?”แม้ว่าน้ำเสียงจะเรียบนิ่ง แต่ดวงตาทั้งสองกลับมองไปที่สนมซูผินจนทำให้สนมซูผินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา“ไม่รู้ว่านางกำนัลคนนี้มาจากที่ใดถึงได้กล้ามาทำตัวกำเริบอยู่ที่ตำหนักชิงอวิ๋น และถูกหม่อมฉันชนเข้าพอดี” แม้ว่าสนมซูผินจะกลัวแต่ก็พยายามทำให้จิตใจมั่นคงฉยงหัวเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่เข้ามาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย ดูจากน้ำเสียงของสนมซูผินบุรุษผู้นี้คงจะเป็นฮ่องเต้ของโลกนี้จึงไม่ได้ไปทำตัวอ่อนแออีก แล้วเอ่ยพูด “หม่อมฉันเป็นนางกำนัลข้างกายของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เป็น…”ฉยงหัวกลับรู้สึกว่าว่าท่าทางของตัวเองในตอนนี้ไม่ง่ายที่จะแสดงท่าทางออกมา “เป็น” ทิศทางนี้จึงเริ่มเอ่ยเปลี่ยนเป็นคำอื่นแล้วใช้คางชี้ไปยังทิศทางของเซียงอวิ๋น “นางกำนัลผู้นั้นต้องการที่จะบุกเข้าไปยังห้องด้านในของพระสนมกุ้ยเฟย หม่อมฉันจะยอมให้นางสมหวังไม่ได้เพคะ”เอ่ยจบก็ใช่คางชี้ไปทางสนมซูผิน “ส่วนที่สนมซูผินเอ่ยว่าหม่อมฉันตีนางกำนัลของนาง เป็นนางกำนัลของนางผู้น
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้มองไปที่เซียงอวิ๋น “ในเมื่อฉยงหัวเอ่ยว่าเจ้าบุกลุกเข้ามาในตำหนัก เจ้าเองก็อธิบายเถิด”เพียงแต่ภายในน้ำเสียงกลับมีความน่าเกรงขามแฝงเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัยขณะนั้นเซียงอวิ๋นก็เลิ่กลั่กขึ้นมาแล้วรีบเงยหน้ามองไปที่สนมซูผินก่อนจะคุกเข่าคำนับลงมา “หม่อมฉันได้รับคำสั่งมาจากสนมซูผินเพื่อตั้งใจมามอบเครื่องหอมให้แกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ”“เจ้า…” ฉยงหัวที่อยู่ด้านข้างอดพูดคำสกปรกออกมาไม่ได้แต่ก็อดกลั่นเอาไม่อีกครั้ง “นางกำนัลน้อยอย่างเจ้าเหตุใดถึงได้เอ่ยคำพูดเหลวไหล เมื่อสักครู่เจ้ายังบอกว่าเจ้าเป็นคนข้างกายของพระสนมกุ้ยเฟย พระสนมได้เครื่องหอมที่หายากมาจากองค์หญิงใหญ่จึงให้เจ้านำมาส่งก่อน”เซียงอวิ๋นได้ยินฉยงหัวเอ่ยเช่นนี้ขณะนั้นจึงร้อนรนขึ้น “เมื่อสักครู่เจ้าพูดเหลวไหล ข้าพูดมาตลอดว่ามามอบเครื่องหอมแทนสนมซูผิน เป็นเจ้าที่ฟังผิด”“เจ้า…” ฉยงหัวชี้ไปที่เซียงอวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เหตุใดถึงมีคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามามอบเครื่องหอม” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นทั้งสองโต้เถียงกันไม่หยุด นางรู้ว่าเซียงอวิ๋นเป็นผู้ที่ไหลไปตามน้ำ การที่ผู้ที่เรียบง่ายใสซื่ออย่าง
พูดจบก็ยื่นกล่องเครื่องหอมไปตรงหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่พระสนมเฉินอดหน้าเสียออกมาไม่ได้ ดูท่าทางระมัดระวังของทางฝั่งนั้นเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวว่าพิษนั้นจะทําร้ายข้า แต่ตอนนี้กลับยัดพิษนี้ใส่ต่อหน้าฮ่องเต้โดยตรง นี่...พฤติกรรมนี้คล้ายกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเล็กที่ยังพูดไม่เป็นของตัวเองมาก เป็นสองมาตรฐานมาก เป็นใบหน้าหนึ่งสําหรับพ่อ เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งสําหรับแม่ หรือว่านางเป็นพี่สาวฉยงหัวที่หวานหว่านพูดถึงจริง ๆฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้มาที่ตําหนักชิงอวิ๋นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงจะเจอเรื่องเช่นนี้ จึงแย่งกระถางธูปในมือฉยงหัวไป แล้วโยนใส่ศีรษะของสนมซูผินเครื่องหอมนั้นเดิมทีเป็นสีแดงอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็กระจายอยู่บนหัวของสนมซูผิน ทําให้ใบหน้าของสนมซูผินครึ่งเป็นสีแดงไปหมด ค่อนข้างมีกลิ่นอายแปลก ๆกระถางธูปนั้นเดิมทีก็ไม่เบาอยู่แล้ว กระแทกใส่หัวของสนมซูผิน เลือดก็ไหลออกมาทันทีพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไร และก็ไม่ได้มองสนมซูผินผู้นั้นด้วย มาทำร้ายนางทําร้ายอย่างนี้ นางยังยกน้ำชาให้อีกได้ยังไงล่ะแต่ก็รู้ว่าต้องทําท่าทางให้พอต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว ต้องฟังส
ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทนไม่ไหวแล้ว ดิ้นรนจะออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้ต้าฉู่ แล้วโผเข้าใส่อ้อมกอดของฉงหวาฮ่องเต้ต้าฉู่กลับคิดว่านางซนและดึงนางกลับมา“เพียงแต่ข้ามีเรื่องจะปรึกษาสนมซูผิน” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่น้ําเสียงกลับเย็นชาสนมซูผินเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ในพริบตา รีบเอ่ยปากตอบว่า “พระสนมถามได้ตามสบาย”“ในเมื่อสนมซูผินบอกว่าเซียงอวิ๋นเกลียดข้าเพราะเรื่องของสนมฟางกุ้ยเหริน แล้วเป็นเพราะอะไรเล่า” น้ำเสียงของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่แยแส“ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่สนมฟางกุ้ยเหรินเข้าวังเย็น...” สนมซูผินรีบตอบออกมาอย่างไม่มีสมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะเสียงหยัน “ตามความหมายของสนมซูผิน คือข้าใช้วิชามารในพระราชวัง นี่จึงทําให้สนมฟางกุ้ยเหรินแท้งลูก จากนั้นก็กล่าวหาสนมหยุนกุ้ยเหรินว่า ข้าควรทําร้ายพวกนางสองคนถึงจะถูก”สนมซูผินเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดผิด จึงรีบโขกหัว “พระสนมโปรดอภัย เป็นหม่อมข้าพูดผิดเองเพคะ”“สนมซูผินควรขอขมากับฝ่าบาทถึงจะถูก เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจเอง”สนมซูผินรีบโขกหัวไปทางฮ่องเต้ต้าฉู