รอจนเหออวี่เหยามาถึงห้องโถงหน้า ใต้เท้าเหอก็ชักสีหน้าบึ้งตึงพร้อมด่าว่าอีก “ทำไมออกมาชักช้านัก ปล่อยให้ผู้อื่นต้องรอนานน่ะ”เหออวี่เหยาไม่คิดกล่าวตอบ แต่หันไปคารวะจิ่นซิน “จิ่นซินกูกูรอนานแล้ว”จิ่นซินรีบพยุงนางขึ้น “คุณหนูเหออย่าได้เกรงใจ พระสนมให้บ่าวมาเรียนคุณหนู ว่าอีกสี่วันข้างหน้าครบรอบวันตายของอดีตเหอฮูหยิน องค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายรองจะมาร่วมงานด้วย รบกวนคุณหนูเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อไม่ให้เสียงานใหญ่”เหออวี่เหยารู้สึกซาบซึ้งในความเมตตา จึงได้พยักหน้าตอบรับใต้เท้าเหอได้ยินเข้าก็ตกตะลึง เมื่อครู่ธิดาคนโตบอกว่าวันครบรอบวันตายของเผยเสียน องค์ชายรัชทายาทจะเสด็จมาเซ่นไหว้ เขายังไม่เชื่อด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริงแอบปรายตาไปทางนางหลินโดยไม่ตั้งใจ ทั้งคู่สบสายตากันนางหลินรีบเดินมากล่าวยิ้มแย้ม “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังต้องรบกวนให้กูกูมาด้วยตนเองอีก”กล่าวจบก็ให้สาวใช้ข้างกายมอบซองแดงให้จิ่นซินหนึ่งใบจิ่นซินปฏิเสธไม่รับ “เราเป็นคนของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ไม่เคยมีธรรมเนียมเช่นนี้ รบกวนฮูหยินเก็บไว้เถอะ”จิ่นซินหันไปมองเหออวี่เหยา พร้อมดึงมือนางไว้ “พระสนมยังกล่าว
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับดูไม่เดือดร้อน “พวกเจ้าลองบอกซิว่า คนที่ปล่อยข่าวลือ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร”จิ่นซินและจิ่นอี้ต่างสบสายตากัน จิ่นซินกล่าวตอบ “ย่อมเป็นการสร้างปัญหาให้พระสนม และทำให้ฝ่าบาททรงเกิดความระแวง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับตอบยิ้มๆ “ในเมื่อนางคิดสร้างปัญหาให้ข้า แล้วข้ายังจะไปข้องแวะด้วยทำไม ปล่อยพวกนางไปก็สิ้นเรื่อง”“แต่ว่าพระสนม...”จิ่นอวี้คิดจะพูดต่อ กลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยขัดจังหวะ “เราบริสุทธิ์ใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใดๆ”ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะชื่นชม[สมแล้วที่เป็นธิดาในตระกูลแม่ทัพ อีกทั้งเคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก]ทันใดนั้นเอง สุรเสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็แว่วเข้ามา “ชิงเหยียนพูดถูกต้อง ขอเพียงเราบริสุทธิ์ใจ”ทุกคนต่างพากันถวายบังคมต่อฮ่องเต้ฮ่องเต้ต้าฉู่ตรงเข้าพยุงพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “ข้าได้ยินข่าวนี้แล้ว แต่ยังไงก็เชื่อใจเจ้า”ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะแบะปากเล็กน้อย[จริงหรือ? ท่านเชื่อใจท่านแม่แน่นะ ในใจก็ต้องมีความระแวงบ้างล่ะ][เพียงแต่ไม่อยากเสียเกียรติของฮ่องเต้ อยากให้ท่านแม่มองว่าท่านใจกว้าง จึงได้พูดเช่นนี้กระมัง][หากเชื่อ
วันรุ่งขึ้น เหล่าสนมต่างไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักหรงเล่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปถึงไม่นับว่าเร็ว แต่ก็ไม่นับว่าสาย เพียงแต่เมื่อนางไปถึงนั้น สนมส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในตำหนักก่อนแล้วเมื่อเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาช้า ก็ย่อมมีคนทำสีหน้าแปลกๆ และคนแรกที่เอ่ยปาก ก็คือสนมซูผินที่คราวก่อนถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตำหนิ “บัดนี้พระสนมได้ถือตราหงส์แล้ว จะมาเข้าเฝ้าไทเฮาก็ย่อมจะชักช้าบ้าง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยหาได้โกรธเคืองไม่ มีเพียงเอ่ยปากโต้ตอบ “ความหมายของซูผินก็คือ ข้าดูแลวังหลังหกตำหนักจึงไม่เคารพไทเฮางั้นหรือ? ไม่รู้ว่าไทเฮาจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ ประเดี๋ยวคงต้องทูลถามดู หรือจะให้มอบอำนาจประมุขแห่งวังหลวงแก่ซูผินก็ย่อมได้”“ท่าน...” ซูผินไม่คิดว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะกล้าย้อนกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงได้หุบปากลงตรงข้ามกับหนิงเฟยซึ่งอยู่ข้างๆ ถึงขั้นหัวเราะออกมาซูผินถูกตอกจนหน้าหงาย ย่อมไม่กล้าเอ่ยปากใดๆ อีกส่วนอวิ๋นกุ้ยเหรินซึ่งสนิทกับซูผินมานานกลับเอ่ยปากแทน “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้...”ซ่งชิงเหยียนไม่คิดจะไว้หน้าใครอีกแล้ว เพราะตอนนี้ตนเหมือนคนตาสว่าง ไหนๆ คนเหล่านี้ก็ไม่พอใจตนมา
แม่นมซูกล่าวยิ้มๆ “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนเถรตรงเพคะ”ไทเฮารู้สึกสะท้อนในพระทัย “ข้าก็หวังให้นางเป็นเช่นนี้ตลอดไป ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ให้เสียทีที่พี่สาวนางกตัญญูต่อข้านัก”จากนั้นก็รับสั่งเสียงเบา “ข้าผิดต่อพวกนางทั้งพี่และน้องเอง”แม่นมซูรีบเดินขึ้นหน้ามา ประคองไทเฮาให้ยืนขึ้น “หากดวงวิญญาณอดีตฮองเฮาได้ทรงทราบ ก็คงเห็นด้วยกับการกระทำของไทเฮาเช่นนี้เพคะ”ไทเฮาพยักหน้า พร้อมรับสั่งต่อ “ดูท่าชิงเหยียนคงรู้ว่าต้นตอข่าวลือเกิดจากที่ใด คงมีวิธีรับมือของนางเอง”“พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนฉลาดอยู่แล้วเพคะ”“แต่ในเมื่อฮ่องเต้มาหาข้าเพราะเรื่องนี้ ข้าก็ต้องช่วยชิงเหยียนจัดการเสียบ้าง เพื่อให้นางสบายใจ” ไทเฮารับสั่งจบก็หันไปมองแม่นมซูที่อยู่ด้านข้าง “ข้าดูแล้วฮ่องเต้คงจะรักชิงเหยียนอยู่ไม่น้อย”เมื่อไทเฮาเสด็จออกไป ทุกคนต่างก็ยืนขึ้นแสดงการคำนับรอจนไทเฮานั่งลงแล้ว ก็ได้รับสั่งด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “บัดนี้เรื่องราวใหญ่น้อยในวังหลังล้วนมอบให้เฉินกุ้ยเฟยดูแล เดิมทีข้าก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีก แต่วันก่อนได้ยินข่าวลือบางอย่างในวัง ใจคิดว่าผ่านไปซักพักคงจะเงียบหาย ที่ไหนได้นับวันก็ยิ่งลือกันหนัก
เมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้คือวันครบรอบวันตายของเผยเสียน องค์ชายรัชทายาทกับพวกก็เตรียมตัวแต่เช้าตรู่ หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินกุ้ยเฟยจึงให้จิ่นอวี้ไปเชิญองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองมายังตำหนักชิงอวิ๋นนางต้องกำชับพวกเขาหน่อยจึงจะวางใจ“ท่านน้า” องค์ชายใหญ่มาถึงตำหนักชิงอวิ๋น เห็นลู่ซิงหว่านนั่งเล่นอยู่บนเตียง จึงรีบมาอุ้มนางเหมือนเช่นปกติ“วันนี้หวานหว่านเป็นเด็กดีหรือเปล่า”ลู่ซิงหว่านตอบกลับรัชทายาท[ข้าย่อมเป็นเด็กดีอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังได้กินข้าวเป็นเพื่อนท่านแม่ด้วย]เฉินกุ้ยเฟยมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่รู้สึกว่าตนไม่ได้เข้าวังเสียเปล่า เพราะรัชทายาทเป็นเด็กที่กตัญญูนักเพียงแต่ทุกครั้งที่เจอเขา นางมักจะนึกถึงคำพูดของหวานหว่าน ที่บอกว่ารัชทายาทผู้นี้ไม่เหมาะจะครองบัลลังก์ แต่ระยะมานี้เห็นเขาทีไร ก็รู้สึกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทุกครั้งขณะกำลังใช้ความคิดอยู่ จิ่นอวี้ก็กลับมา “พระสนม องค์ชายรองไปตำหนักของพระสนมหลานเฟย บ่าวจึงมาแจ้งให้ท่านทราบน่ะเจ้าค่ะ”“เอาเถอะ ไม่ต้องไปเชิญเขามาหรอก ข้าจะบอกรัชทายาทเอง”ขณะพูดคุย เผยฉู่เยี่ยนก็ได้เดินเข้ามา “คารวะพระสนมเฉิน คารวะองค์ชายรัชทา
[น่าอิจฉาจริงๆ อิจฉาจนข้าพูดไม่ออกแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดในใจ แล้วหลายวันก่อนมีงานขี่ม้าตีคลี ไม่ได้พาเจ้าไปหรอกหรือ?แต่ก็เก็บคำพูดของลู่ซิงหว่านไว้ในใจ แอบชั่งใจอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกองค์ชายทั้งสอง เห็นว่าเรื่องนี้ควรต้องถามฮ่องเต้ต้าฉู่ก่อนรอจนองค์ชายรัชทายาทออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงยืนขึ้นและมีคำสั่ง “เราไปห้องทรงอักษรเข้าเฝ้าฝ่าบาท”จิ่นซินและจิ่นอวี้แม้จะสงสัย แต่ยังคงรีบจัดแจงให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางหันมาสั่งอีก “พาหวานหว่านไปด้วย”ทุกคนพากันออกจากตำหนักชิงอวิ๋นจวบจนใกล้ถึงห้องทรงอักษร จึงเห็นสนมเล่อกุ้ยเหรินเดินออกมาจากห้องนั้นก่อน“พระสนม ข้างหน้าคือเล่อกุ้ยเหริน ดูหน้าตานาง คงจะมีข่าวดีอะไรแน่” จิ่นอวี้เป็นคนช่างสังเกต ย่อมจะตาไวกว่าคนอื่นเล่อกุ้ยเหรินก็เห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งแต่อยู่ไกลลิบๆ จึงรีบตรงมาแสดงความคารวะ “คารวะพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟย”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้จะไม่ถูกชะตากับเล่อกุ้ยเหรินเท่าใดนัก แต่สีหน้ายังดูเป็นมิตรอยู่ “ไม่เจอเล่อกุ้ยเหรินเสียหลายวัน ได้ยินว่าสุขภาพไม่สู้ดีอย่างงั้นหรือ?”“ขอบคุณพระสนมที่ห
ทางด้านพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ได้เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงอักษรฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางกับลูกมา ก็รู้สึกยินดียิ่ง “หวานหว่านมาหาพ่อเร็วเข้า”จิ่นอวี้รีบส่งตัวลู่ซิงหว่านไปหา“เมื่อครู่ตอนหม่อมฉันมาถึง ได้พบเล่อกุ้ยเหรินที่ระหว่างทาง”“ใช่” ฮ่องเต้ต้าฉู่หยอกล้อลู่ซิงหว่านไปพลาง ปากก็พูดกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “เห็นบอกว่าตั้งครรภ์ จึงรีบมาบอกข้า”ท่าทีไม่ยินดียินร้ายของฮ่องเต้ต้าฉู่ กลับทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ จึงได้เอ่ยปากถาม “ฝ่าบาทเพคะ”[แค่นี้ท่านแม่ยังไม่รู้อีก ช่างโง่เสียจริง!][เสด็จพ่อมีลูกตั้งหลายคนแล้ว แถมพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองก็เอาถ่าน ใครจะไปสนใจเด็กที่ยังไม่เกิดมา][แต่เสด็จพ่อก็เอ็นดูข้ามากกว่าใคร คงเพราะตอนเกิดใหม่ๆ ได้ทำให้แคว้นตู้ฉู่เกิดฝนตก จึงคิดว่าข้าเป็นตัวนำโชคกระมัง]ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินสิ่งที่ลู่ซิงหว่านพูดในใจ เกรงว่านางจะเกิดความน้อยใจ จึงรีบเอ่ยปาก “เพราะข้าคิดว่า มีหวานหว่านคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”เมื่อก่อนเพราะมีราชกิจรัดตัว จึงทำให้ฮ่องเต้ไม่อาจใส่พระทัยต่อทายาทคนไหนเป็นพิเศษ แม้ว่าจะอยู่กับหวานหว่านนานกว่าใครเพราะได้ยินเสียงพูดในใจของนาง แต่พอนานวันเ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ?พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคำกล่าวของลู่ซิงหว่านที่มีต่อวังหลวง ก็เผลอหัวเราะออกมา ที่ๆ คนมากมายต่างตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้เข้ามา ในสายตาของหวานหว่านกลับเป็นเพียง ‘ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ’ ซะได้เห็นทีว่าชาติก่อนนางบำเพ็ญเพียร ก็คงมีนิสัยไม่ยึดติดเช่นนี้กระมังและคงเป็นแม่หนูน้อยที่ใครเห็นก็รักและเอ็นดูส่วนองค์ชายสามซึ่งถูกฮ่องเต้หมางเมินมาหลายวัน เมื่อเห็นรัชทายาทออกจากวังไป ก็ให้นึกถึงจดหมายที่วันก่อนมีคนส่งมาให้จากข้างนอก จึงแอบออกจากตำหนักฉางชิวเงียบๆ ไปยังที่แห่งนั้นด้านตระกูลเหอนั้น ก็ย่อมคึกคักเป็นพิเศษเช่นกันนับแต่วันที่จิ่นซินมาเยือน และบอกว่าวันหน้าพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอาจเชิญเหออวี่เหยาไปเข้าวังบ่อยๆ ใต้เท้าเหอก็ค่อยใส่ใจต่อธิดาคนนี้บ้าง สั่งให้นางหลินตัดเสื้อผ้าที่เข้ากับรูปทรงให้เหออวี่เหยาหลายชุด เพราะไม่อยากให้นางเข้าวังไปแล้วทำให้ตระกูลเหอต้องอับอายนางหลินแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องเสแสร้งต่อหน้าสามี “ใต้เท้าโปรดวางใจ วันนี้ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวอวี่เหยา พร้อมพานางไปซื้อเครื่องประทินโฉมด้วย”กล่าวจบก็มองดูเหออวี่เหยาคล้ายกับไม่วางใจ “เจ้าก็เห