ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ?พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคำกล่าวของลู่ซิงหว่านที่มีต่อวังหลวง ก็เผลอหัวเราะออกมา ที่ๆ คนมากมายต่างตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้เข้ามา ในสายตาของหวานหว่านกลับเป็นเพียง ‘ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ’ ซะได้เห็นทีว่าชาติก่อนนางบำเพ็ญเพียร ก็คงมีนิสัยไม่ยึดติดเช่นนี้กระมังและคงเป็นแม่หนูน้อยที่ใครเห็นก็รักและเอ็นดูส่วนองค์ชายสามซึ่งถูกฮ่องเต้หมางเมินมาหลายวัน เมื่อเห็นรัชทายาทออกจากวังไป ก็ให้นึกถึงจดหมายที่วันก่อนมีคนส่งมาให้จากข้างนอก จึงแอบออกจากตำหนักฉางชิวเงียบๆ ไปยังที่แห่งนั้นด้านตระกูลเหอนั้น ก็ย่อมคึกคักเป็นพิเศษเช่นกันนับแต่วันที่จิ่นซินมาเยือน และบอกว่าวันหน้าพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอาจเชิญเหออวี่เหยาไปเข้าวังบ่อยๆ ใต้เท้าเหอก็ค่อยใส่ใจต่อธิดาคนนี้บ้าง สั่งให้นางหลินตัดเสื้อผ้าที่เข้ากับรูปทรงให้เหออวี่เหยาหลายชุด เพราะไม่อยากให้นางเข้าวังไปแล้วทำให้ตระกูลเหอต้องอับอายนางหลินแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องเสแสร้งต่อหน้าสามี “ใต้เท้าโปรดวางใจ วันนี้ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวอวี่เหยา พร้อมพานางไปซื้อเครื่องประทินโฉมด้วย”กล่าวจบก็มองดูเหออวี่เหยาคล้ายกับไม่วางใจ “เจ้าก็เห
เหออวิ๋นเหยาเห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถากถาง“พี่ใหญ่แต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ ใครเห็นเข้าจะนึกว่าบ้านเรายากจนนัก”เหออวี่เหยาแม้ไม่คิดตอแยกับนาง วันนี้กลับเอ่ยปากตอบโต้ “เจ้าพูดจาระวังปากหน่อย วันนี้ครบรอบวันตายของแม่ข้า หากวิญญาณนางมาหาละก็...”จงใจละไว้เช่นนี้ พร้อมกับมองเหออวิ๋นเหยาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเหออวิ๋นเหยาโมโหยิ่งนัก รีบจับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายพลางถามนาง “นางหมายความว่ายังไง นังคนแพศยานี่...”สาวใช้รีบห้ามปรามนางไว้ “คุณหนู วันนี้มีงานใหญ่ อย่าให้คนอื่นจับผิดได้นะเจ้าคะ”เหออวิ๋นเหยาจึงได้หยุดฝีเท้าลง “คอยดูไปเถอะ รอให้ผ่านงานวันนี้ไปก่อน ข้าจะให้นางได้รู้พิษสง”ขณะที่เฉินกุ้ยเฟยพาคนมาถึงวัดหมิงจิ้ง คนตระกูลเหอก็ได้ไปอยู่ในวัดเตรียมตัวนานแล้วและยังมีคนในวังติดตามมาช่วยงานอีก เพราะองค์ชายรัชทายาทเสด็จแทนฮ่องเต้มาจุดธูป จึงต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษขณะที่เฉินกุ้ยเฟยลงจากรถม้า ก็เห็นมีเกี้ยวหลังเล็กเตรียมไว้อีกหลังหนึ่ง เมื่อเห็นนางสงสัย องค์ชายใหญ่จึงได้อธิบาย “กว่าจะถึงวัดยังต้องเดินอีกช่วงหนึ่ง ข้าจึงให้คนเตรียมเกี้ยวหามเอาไว้ เชิญพ
[อย่าบอกว่าหลวงจีนผู้นี้รู้ที่มาของเรา จึงคิดบอกท่านแม่หรอกนะ][ฮือๆๆ ท่านแม่จะมองว่าข้าเป็นตัวประหลาด จนไม่รักข้าหรือเปล่า][แม้จะอยู่กันมาแค่ไม่กี่เดือน แต่ข้าก็รักท่านแม่มากเลย ฮือๆๆ]พูดไปพูดมามีแต่เสียงร้องไห้ออกมาแทนเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ ก็รีบมาปลอบใจนาง “ด้านหลังของวัดหมิงจิ้งเป็นสถานที่สงบเงียบ ราวกับอยู่บนสวรรค์ หวานหว่านจะต้องชอบแน่ เจ้าไปกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จุดธูปเสร็จจะรีบไปหาทันที”พอได้ยินว่าราวกับแดนสวรรค์ ลู่ซิงหว่านก็เหมือนจะหูผึ่ง[ท่านแม่อย่าหลอกข้านะ ข้าจะไปดูก่อนว่าเหมือนแดนสวรรค์จริงหรือไม่ หากไม่เหมือนจริง ข้าจะอาละวาดให้หนักเชียว]เฉินกุ้ยเฟยค่อยมีรอยยิ้มออกมา พลางสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ออกไปก่อน จากนั้นก็หันมายังหมิงเจ๋อไต้ซือ“ไหนๆ มาแล้ว เชิญพระสนมจุดธูปก่อน” หมิงเจ๋อไต้ซือเดินไปหยิบธูปมาให้เฉินกุ้ยเฟยรอจนนางจุดธูปเสร็จแล้ว หมิงเจ๋อไต้ซือจึงเอ่ยปากต่อ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงหย่งอัน วันนี้ได้มาพบ สมดั่งคำร่ำลือโดยแท้”เฉินกุ้ยเฟยไม่เอ่ยปากใดๆ มีเพียงจ้องมองหมิงเจ๋อไต้ซือ“อมิตาภพุทธ อาตมาเสียมรรยาทแล้ว เ
และทางด้านหลังของวัด พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เผยเสียนกำลังดำเนินการอยู่เหออวี่เหยาสายตาเย็นชามองดูราชเลขาเหอ นางหลิน และเหออวิ๋นเหยาที่อยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ หวังให้มารดาตนคุ้มครองให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือให้นางคุ้มครองให้ตนเป็นที่รักของสามี? หรือหวังให้มารดาตนคุ้มครองให้ได้แต่งงานกับผู้มีศักดิ์สูงส่ง?เหออวี่เหยาหันไปมองป้ายวิญญาณของมารดา เพียงขอให้นางรีบไปเกิดใหม่เสีย ชาติหน้าฉันท์ใด ขออย่าได้มีชีวิตน่าเศร้าเหมือนอย่างชาตินี้อีกพิธีของเผยเสียนเริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเช้า จวบจนหลังเที่ยงจึงได้เสร็จสิ้นใต้เท้าเหอกับลูกเมียหิวจนแทบอ่อนแรง รีบตรงไปยังห้องรับรองที่ทางวัดเตรียมไว้เพื่อกินอาหารส่วนรัชทายาทกับพวกก็แค่มาจุดธูปในยามเช้า จากนั้นก็รีบกลับไปแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ขอเพียงรัชทายาทยอมมา นั่นคือการให้เกียรติอย่างมากแล้วบัดนี้จึงเหลือเพียงเหออวี่เหยาและเผยฉู่เยี่ยนที่ยังอยู่ในห้องโถงหลัง รอคอยอยู่เงียบๆ ผ่านไปเนิ่นนาน เหออวี่เหยาจึงได้เอ่ยปาก “น้องเยี่ยนไปพักผ่อนก่อนเถอะ”เผยฉู่เยี่ยนมองหน้าเหออวี่เหยา อ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอ
เพียงไม่นาน องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองก็กลับมา“ไม่นึกว่าคนที่รออยู่เชิงเขา สามารถขึ้นมาจุดธูปได้แล้ว” องค์ชายใหญ่กล่าวเดิมเขาคิดว่าจะมาอย่างเงียบๆ จุดธูปให้เหอฮูหยินแล้ว ค่อยไปเรือนหลังกินอาหารค่ำพร้อมท่านน้าและหวานหว่าน จากนั้นค่อยกลับวังไปแต่ไม่นึกว่าเรื่องที่มาจุดธูปให้เหอฮูหยิน จะถูกคนลือกันไปทั่วเมื่อครู่ตอนพวกเขาขึ้นเขามา ที่เชิงบันไดด้านล่างมีเกี้ยวของเหล่าขุนนางมาหยุดอยู่ ไม่รู้ว่ามาเพราะเฉินกุ้ยเฟย หรือเป็นความบังเอิญกันแน่เฉินกุ้ยเฟยกลับกล่าวยิ้มๆ “คงเพราะองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองต่างโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงมีหญิงสาวมาให้ความสนใจกระมัง”“พระสนมอย่าล้อข้าเล่นเลย ข้ายังเด็กอยู่มาก พวกนางคงมาเพราะพี่ใหญ่รัชทายาทมากกว่า”ระหว่างที่กำลังพูดคุย ข้างนอกก็มีคนรายงาน บอกว่าเหอฮูหยินพาธิดาคนเล็กมาขอพบเฉินกุ้ยเฟยแม้จะไม่รู้ยินดี แต่ก็ต้องเชิญให้เข้ามา“คำนับพระสนมเฉิน คำนับองค์ชายใหญ่องค์ชายรอง คำนับองค์หญิงหย่งอันเพคะ” สองแม่ลูกเข้ามาในห้อง พร้อมคำนับอย่างนอบน้อมรอจนพวกนางลุกขึ้นแล้ว สายตาของเหออวิ๋นเหยาก็มองไปทางองค์ชายรอง[แม่ลูกคู่นี้ดูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ มาถึงวัดหมิงจิ้ง ค
รอจนนางหลินกับธิดาออกไปแล้ว องค์ชายใหญ่จึงได้เอ่ยปาก “เดิมคิดว่าจะมาเงียบๆ กลับมีเรื่องจุกจิกกวนใจอีก”กล่าวจบจึงได้ยืนขึ้น “ถ้าไงข้าจะไปสั่งการ ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามมารบกวนเรา”ขณะที่พูด เผยฉู่เยี่ยนก็ได้เดินเข้ามา“มีคนมากวนใจพระสนมใช่ไหม งั้นข้าจะไปเฝ้าอยู่ด้านนอก”องค์ชายรองรีบมาดึงตัวเผยฉู่เยี่ยนไว้ “เจ้านั่งพักก่อนเถอะ หลายวันนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว”เฉินกุ้ยเฟยกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่พูดคุยเล็กน้อย เมื่อเรามาอยู่ในวัด ก็อย่าให้มีพิธีรีตองตามมาอีกเลย”กล่าวจบก็หันไปมององค์ชายทั้งสอง “เมื่อมาถึงวังหมิงจิ้งแล้ว หลายวันนี้หากไม่มีกิจธุระในวัง ก็มาพักผ่อนอยู่นี่สักหน่อย เราไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นกี่วัน”“งั้นก็ยิ่งดีใหญ่ อยู่ในวังต้องสำรวมน่าเบื่อจะแย่ ข้าชอบอยู่กับพระสนมมากกว่า”องค์ชายรองได้ยินเฉินกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ ย่อมจะดีใจเป็นอย่างมาก พลางหันไปมองรัชทายาท “พี่ชายใหญ่ว่าดีไหม”รัชทายาทยิ้มให้อย่างรู้ใจทุกคนหารือจนได้ข้อสรุป ว่าจะพักที่วัดหมิงจิ้งสักสองสามวันแล้วค่อยกลับวังแต่ไม่นึกว่าหลังอาหารเที่ยง เฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้พักผ่อน ก็มีคนมาขอพบอีกเฉินกุ้ย
ไม่คาดคิดว่าพี่น้องตระกูลเสิ่นล้วนมีนิสัยแข็งกร้าวพอกัน จึงอดรู้สึกเลื่อมใสไม่ได้ว่าแล้วก็ให้จิ่นซินยกเก้าอี้มาให้คุณหนูทั้งสอง “คุณหนูทั้งสองเชิญนั่งคุยสักครู่จะดีไหม เพราะข้าอยู่แต่ในวังหลวง พวกเจ้าลองเล่าเรื่องสนุกๆ ข้างนอกมาให้ฟังบ้าง”กลับทำให้สองพี่น้องตระกูลเสิ่นตะลึงงัน ต่างมองสบตากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะดูจากท่าทีเฉินกุ้ยเฟยเมื่อครู่นี้ ราวกับไม่ชอบพวกตนเท่าไหร่นัก แต่จู่ๆ กลับยินดีต้อนรับซะนี่แม้แต่ลู่ซิงหว่านก็แทบอยากกุมขมับ[ท่านแม่ ท่านจะสอดรู้สอดเห็นไปหรือเปล่า วันก่อนเสิ่นป่าซวงยังตอแยพี่ชายรัชทายาทอยู่เลย ท่านลืมแล้วหรือ?”เฉินกุ้ยเฟยไม่คิดใส่ใจ แต่กลับเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบคุณหนูใหญ่มีนามว่า?”“ข้าน้อยชื่อจริงว่าเสิ่นเป่าเยียน น้องสาวชื่อเสิ่นเป่าซวงเจ้าค่ะ” เสิ่นเป่าเยียนแม้จะนึกหวาดหวั่นต่อการต้อนรับขับสู้ของเฉินกุ้ยเฟย แต่ยังคงตอบอย่างนอบน้อม“คุณหนูใหญ่ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”“เรียนพระสนม ปีนี้อายุสิบห้าเจ้าค่ะ”“ได้ผ่านพิธีปักปิ่นแล้วหรือยัง”“เรียนพระสนม ยังเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อกำหนดวันที่ไว้ปลายเดือนหน้า”เฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็รู้สึกดีใจ “รอใ
เหตุเพราะเป็นองค์หญิงองค์แรกของฮ่องเต้ต้าฉู่ องค์หญิงใหญ่จึงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจและถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาแต่เล็กด้วยนิสัยของฮ่องเต้ต้าฉู่ ย่อมไม่ใช้องค์หญิงไปผูกสัมพันธ์กับขุนนางอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อองค์หญิงใหญ่ผ่านพิธีปักปิ่น จึงทำตามความประสงค์ของนาง ให้ได้ออกเรือนกับบุตรชายคนโตของตระกูลฉินมีนามว่าฉิงหางและหลังแต่งงานทั้งคู่ก็รักใคร่ปรองดองกันดีเดิมคิดว่าองค์หญิงเกิดเป็นราชนิกูล คงหวังแต่อยู่อย่างสุขสบาย มิคาดว่ากลับมีพรสวรรค์ด้านการค้า นับแต่แต่งเข้าตระกูลฉิน อาศัยการบริหารขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งฐานะของนาง ยิ่งทำให้กิจการค้าขายของตระกูลฉินได้ขยายมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวปีที่แล้วฉิงหางเดินทางไปเจียงหนานด้วยตัวเอง องค์หญิงใหญ่ขอติดตามไปด้วย สองคนยังได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆเมื่อเห็นจิ่นซินอุ้มลู่ซิงหว่านในอ้อมแขน ก็รับตัวนางมา “นี่ก็คือหวานหว่านหรือ?”“ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง”เห็นองค์หญิงใหญ่อุ้มลู่ซิงหว่าน ฉิงหางก็รีบมาประคองนางไว้ พร้อมกล่าวเสียงดุ “เจ้าต้องระวังให้มาก”องค์หญิงใหญ่กลับหัวเราะ “ไม่ต้องกลัวขนาดนี้ก็ได้”พูดพลางมองหน้าเฉินกุ้ยเฟยด้วยความเขิ
ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของพี่ชายองค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกทั้งหานซีเยว่ดีต่อนางมากจริงๆ การเข้าวังครั้งนี้ ยังนําของเล่นพื้นบ้านมาให้นางไม่น้อยเลย[คนดีๆแบบนี้ต้องไม่ตายแน่]คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านถึงกับขอบตาแดงก่ำ[ในนิยาย หานซีเยว่ตายเพื่อพี่รัชทายาท คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องจะมีตัวแปรมากมายขนาดนี้ แต่โชคชะตาของพี่หญิงตระกูลหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!][พี่ฉยงหัวต้องรักษาได้แน่ๆ ]ซ่งชิงเหยียนจึงหันไปมองลู่ซิงหว่านที่ดวงตาแดงก่ำ กอดนางไว้ในอ้อมแขนและตบนางเบาๆ “หวานหว่านไม่ต้องกังวล พี่หญิงหานของเจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”“ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ในขณะที่สองแม่ลูกกําลังเสียใจเพราะหานซีเยว่ เสียงของเมิ่งเฉวียนเต๋อก็ดังขึ้นจากข้างนอก“พระมเหสีเสด็จ” ทันทีที่เมิ่งเฉวียนเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นซ่งชิงเหยียนปล่อยลู่ซิงหว่านแล้วจูบนาง “หวานหว่านอยู่ดีๆ นะ แม่จะไปพบเสด็จพ่อดีไหม”ลู่ซิงหว่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น แต่ไม่สนใจซ่งชิงเหยียนอีก เพียงมองไปทางหานซีเยว่เมื่อซ่งชิงเหยียนปรากฏตัวที่นอกประตู ทุกคนต่างก็ตกตะลึงแต่โชคร้า
“พี่ไป๋หลิง ตอนนี้เสด็จพี่ไม่อยู่แล้ว คนทั้งวังต่างก็รังแกข้า วันนั้นข้าถูกไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านรังแกอีกแล้ว” พูดจบประโยค องค์หญิงหกก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งความไม่พอใจในใจของไป๋หลิงเมื่อสักครู่ถูกลู่ซิงหุยแก้ไขทันทีใช่แล้ว ตอนนี้พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายสามก็ถูกกักบริเวณแล้ว คนที่องค์หญิงหกสามารถพึ่งพาได้มีเพียงตนเองเท่านั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋หลิงก็ตบหลังองค์หญิงหกเบาๆ “องค์หญิงวางใจเถิด สิ่งใดที่ทําให้องค์หญิงไม่สบายใจ ล้วนต้องได้รับผลกรรม”ในทิศทางที่ลู่ซิงหุยมองไม่เห็น ดวงตาของไป๋หลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม้แต่อิงหงก็ไม่กล้าสบตานางโดยตรง ก้มหน้าลงสิ่งที่ไป๋หลิงพูดในครั้งนี้ถูกต้อง ซ่งชิงเหยียนได้รับ"กรรมตามสนอง" อย่างที่นางพูดอย่างรวดเร็วเมื่อหานซีเยว่ออกจากวัง ซ่งชิงเหยียนก็ไปส่งนางที่ด้านนอก ซ่งชิงเหยียนก็ถูกลอบสังหารที่ถนนนอกตำหนักชิงอวิ๋นได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากส่วนนางกํานัลที่ลอบสังหารคนนั้น หลังจากลอบสังหารสําเร็จแล้ว ก็ปาดคอตายอยู่บนถนนทันทีข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็วในเวลานี้ไป๋หลิงกําลังอยู่กับลู่ซิงหุย เมื่อลู่ซิงหุ
ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับหานซีเยว่ลู่ซิงหุยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายวันในที่สุดก็ได้พบกับไป๋หลิงทันทีที่ไป๋หลิงเข้าไปในห้องด้านใน ลู่ซิงหุยก็ขว้างถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาไปที่เท้าของนางด้วยความโกรธ "เจ้ายังรู้ว่าจะมา!"“ตอนนี้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากหญิงชั่วคนนั้นของฮองเฮาใช่หรือไม่? ลืมเสด็จแม่ของข้าไปจนสิ้นแล้ว!”ลู่ซิงหุยตอนนี้อาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ย่อมรู้ว่าบ่าวไพร่ของตําหนักจิ่นซิ่วเคารพไป๋หลิงเพียงใด และรู้ว่าตอนนี้ในใจของฮองเฮาพึ่งพาไป๋หลิงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ไป๋หลิงไม่ได้ปรากฏตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงสงสัยส่วนอิงหงที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่ซิงหุย รีบก้าวเข้าไปปิดปากนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง!”จากนั้นก็ปล่อยมือ “องค์หญิงระวังคําพูด ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง”“ฮึ” ลู่ซิงหุยส่งเสียงหึในลําคออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าช่างเป็นคนที่รู้จักหลบๆ ซ่อนๆ เสียจริง เมื่อก่อนต้องมาที่ตำหนักของข้าทุกวัน”“ตั้งแต่พี่สามถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอยู่ในตําหนักฉางชิว เจ้าก็ไม่ปราก
คิดในใจ ลู่ซิงหว่านจึงใช้ทั้งมือและเท้าเดินกลับไปหาหานซีเยว่อีกครั้ง แล้วประคองโต๊ะเล็กให้ลุกขึ้นตอนนี้หานซีเยว่เปิดกล่องนั้นแล้ว เป็นกําไลหยกที่โปร่งใสซ่งชิงเหยียนถึงยิ้มแล้วพูดต่อ “ไม่ถือว่าเป็นกําไลที่ดีอะไรหรอก แต่เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือของหานซีเยว่ที่ถือกําไลนั้นถึงกับสั่นนางวางกําไลนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วผลักไปตรงหน้าซ่งชิงเหยียน “พระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้จริงๆ”ซ่งชิงเหยียนกลับยิ้มพลางยืนขึ้น หยิบกําไลหยกนั้นไว้ในมือ เดินไปตรงหน้าหานซีเยว่ แล้วสวมแทนนาง “การแต่งงานของเจ้ากับองค์รัชทายาท พวกข้าพอใจมาก ฮองเฮาองค์ก่อนก็ต้องพอใจมากเช่นกัน”ตอนนี้เมื่อซ่งชิงเหยียนพูดถึงซ่งชิงหย่าอีกครั้ง นางก็รู้สึกสงบมากขึ้นกว่าเดิม“กําไลวงนี้เป็นของฮองเฮาองค์ก่อนทิ้งเอาไว้ บอกว่าจะมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้ “น่าเสียดายที่นางเองไม่มีโอกาสได้มอบมันให้กับเจ้าด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องให้น้องสาวอย่างข้าทําแทน”“เดิมทีจะมอบให้เจ้าในพิธีปักปิ่นของเจ้า แต่วันที่เจ้าเข้าพิธีปักปิ่นนั้น ข้าเกรงว่าจะมีธุระไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ ดังนั้นจึ
หลังจากได้ยินคําพูดของซ่งชิงเหยียน ฉยงหัวก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ“จะได้หรือ?” คําพูดของฉยงหัวแฝงความหมายหยั่งเชิงอยู่บ้าง นางย่อมยินยอมไปหลายวันมานี้นางก็คิดได้แล้ว ดีชั่วตอนนี้ตนเองสูญเสียพลังจิตวิญญาณไปแล้ว แทนที่จะมัวยึดติดกับการตามหาหวานหว่าน สู้สงบจิตสงบใจ เสพสุขกับชีวิตในตอนนี้จะดีกว่าบางทีหลังจากที่อาจารย์ของหวานหว่านออกจากการเก็บตัวแล้ว เห็นว่าตัวเองก็ไม่อยู่แล้ว ย่อมมาช่วยเองอยู่แล้ว“แน่นอน ข้าจะไปถามความหมายของฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“คิดว่าฝ่าบาทคงไม่ปฏิเสธแน่ ฝีมือการรักษาของแม่นางฉยงหัวยอดเยี่ยมมาก หากได้แม่นางฉยงหัวมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย นั่นคงจะดีไม่น้อย”แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของซ่งชิงเหยียนเท่านั้น ที่นางอยากพาฉยงหัวออกไปก็เพราะหวานหว่านหวานหว่านชอบพี่ฉยงหัวขนาดนี้ ย่อมต้องอยากอยู่กับนางตลอดไปอยู่แล้วจิ่นซินและจิ่นอวี้เก็บข้าวของเกือบทั้งคืน พวกนางเอาเข้าไป ซ่งชิงเหยียนเอาออกมา แบบนี้ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ทิ้งกล่องใหญ่สองใบไว้ซ่งชิงเหยียนประนีประนอมแล้วนางพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ให้คนขับรถม้าของฝ่าบาทเหนื่อยหน่อยละกัน!ก่อนออกเดินทาง นางยังมีเรื่องสําคั
ต้องบอกว่าของข้างนอกอร่อยกว่าของในวังจริงๆในนิทานล้วนบอกว่าชีวิตของพระสนมหวงกุ้ยเฟยในวังนั้นงดงามและสบายแค่ไหน แต่ลู่ซิงหว่านกลับรู้สึกว่า ไม่ได้สบายอยู่ข้างนอก[ถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกก็คงดีไม่น้อย ยังไงก็มีเงิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อเลย][อยากกินอะไรก็ซื้อได้เลย สามารถกินอาหารที่พ่อครัวทําได้มากมาย พ่อครัวทำขนมในวังเหล่านี้ ข้ากินจนเบื่อแล้ว][เสด็จย่ากินมาตั้งหลายปี ยังกินไม่เบื่ออีกหรือ?]ซ่งชิงเหยียนบ่นในใจว่า เบื่อสิ แน่นอนว่านางกินจนเบื่อแล้ว ขนมที่องค์หญิงใหญ่นํามาจากหอฝูหม่านครั้งที่แล้ว ไทเฮาพูดตรงๆ เลยว่าอร่อยตอนนี้ซิงรั่วเกือบจะส่งคนมาส่งที่วังทุกสองวันก็ถือว่ามีใจแล้วจริงๆ เมื่อซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่ ฉยงหัวก็มาหานางมองท่าทางของจิ่นซินและจิ่นอวี้ที่กําลังยุ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง"พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่คือ..."คําพูดที่เหลือฉยงหัวไม่กล้าพูดออกมา ถูกโจรปล้นหรือ?“พี่ฉยงหัว!” ลู่ซิงหว่านพูดพลางพลิกตัวลงจากเตียง แล้ววิ่งไปหาฉยงหัวซ่งชิงเหยียนมองท่าทางคล่องแคล่วของลู่ซิงหว่านแล้วก็ตกตะลึงนางรู้ว่าหวานหว่านชอบพี่สาวฉยงหัวคนนี้มาก แต่เตียงนุ่มที่สูงขนาดนี้ น
คิดถึงตรงนี้ องค์หญิงหกก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางของฮ่องเต้ต้าฉู่อีกครั้ง ในใจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นณ ตําหนักข้างของตําหนักเหวินอิงในเวลานี้ สนมเยว่กุ้ยเหรินก็กําลังพบท่านแม่ของตนเช่นกัน“เดิมคิดว่าเจ้าเป็นเพียงกุ้ยเหรินเล็กๆ ข้าไม่มีโอกาสเข้าวัง” ตอนนี้ฮูหยินเจิ้ง แม่ของสนมเยว่กุ้ยเหรินกําลังอยู่ในตําหนักของสนมเยว่กุ้ยเหริน มองสิ่งของในวังของนางไปๆมาๆ สัมผัสไปๆมาๆ ในใจรู้สึกน่าทึ่งเป็นมาก“ของในวังนี้ดีจริงๆ ทุกชิ้นประณีตขนาดนี้”เพราะรู้พฤติกรรมของแม่ตัวเอง สนมเยว่กุ้ยเหรินจึงไล่สาวใช้ข้างกายออกไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้นางแค่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม มองใบหน้าละโมบของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เดิมทีนางก็ไม่อยากเจอแม่ของตัวเองอยู่แล้วแม่ของคนอื่นๆ เข้าวังด้วยความห่วงใยและสงสารลูกสาวของพวกเขาแล้วแม่ของตัวเองล่ะเอาแต่โทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์ โทษตัวเองที่แย่งความรักไม่เป็น โทษตัวเองที่ให้กําเนิดลูกไม่ได้เมื่อสนมเยว่กุ้ยเหรินคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินเจิ้งพลันหันหน้ามา เดินมาข้างกายนางอย่างลึกลับ ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง แล้วยัดใส่มือสนมเยว่กุ้ยเหริน“เจ้าเป็นคนที่ไม่เอาไห
เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลตัวเอง แต่การไปเรียนหนังสือจะถือเป็นรางวัลอะไรได้เมื่อก่อนนางเคยได้ยินลู่ซิงยุ่นบ่นว่าอาจารย์คนนี้เข้มงวดขนาดไหน ยังต้องทําการบ้านอีก นั่นไม่แตกต่างจากการคัดลอกพระคัมภีร์ในตําหนักเหยียนหัวของนางหรอกหรือนางไม่อยากไปหรอก!เมื่อเห็นท่าทางของลู่ซิงหุย ลู่ซิงหว่านก็อดหัวข้าะคิกคักไม่ได้[เสด็จพ่อ ดูเหมือนว่าลูกสาวของท่านดูเหมือนจะไม่ชอบเรียนหนังสือนะ][แต่ก็ใช่ เด็กบ้านไหนชอบเรียนหนังสือกัน เดิมคิดว่าเสด็จพ่อจะให้รางวัลอะไรแก่นาง การเรียนหนังสือนี้นับเป็นรางวัลอะไรได้]ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่สนใจ ในฐานะที่เป็นองค์หญิง ไม่เรียนหนังสือย่อมไม่ได้อยู่แล้วองค์หญิงทุกคนล้วนถูกส่งไปที่ห้องเรียนเมื่ออายุหกขวบ แม้ว่าจะแตกต่างจากเหล่าองค์ชาย แต่ก็มีอาจารย์สอนพิเศษฮ่องเต้ต้าฉู่หันไปมองพระสนมเหวินเฟยอีกครั้ง “ตอนนี้ซิงเหยียนอยู่ข้างกายเจ้า รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนมากนะ”“เพียงแต่ตอนนี้ต้องพาเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้มาด้วย ลําบากเจ้าแล้วจริงๆ”เด็กๆ มีความสุขหรือไม่นั้น มักจะมองปราดเดียวก็รู้แล้วลู่ซิงเหยียนเป็นเพียงเด็กอายุสามขวบเท่านั้น เมื่อก่อนสนมซูผินดูแลเองไม่มาก
ครั้งนี้ลู่ซิงหว่านเดาผิดแล้วที่ลู่ซิงหุยพูดประจบด้วยเป็รเรื่องจริง นางกลัวที่จะไปคัดลอกหนังสือธรรมมะที่ตําหนักเหยียนหัวแล้วจริงๆ จึงไม่กล้าทะเลาะกับพี่น้องของตนอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้วเพราะพอเสด็จพ่อทรงกริ้วขึ้นมา มันน่ากลัวมากเลยเพราะว่าเมื่อก่อนสนมซูผินปฏิบัติต่อองค์หญิงเจ็ดเพียงแค่เป็นของเล่นเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจนางมากนักพูดตามคําพูดขององค์หญิงรอง เสด็จแม่ของพวกนางเลี้ยงดูพวกนางสองพี่น้อง ก็ไม่มีอะไรมากไปแค่ให้มีกินมีใส่ ขอเพียงไม่อดตายก็พอแล้วดังนั้นหลังจากที่องค์หญิงเจ็ดมาถึงข้างกายของพระสนมเหวินเฟยแล้ว จึงสามารถไปเที่ยวที่อุทยานหลวงได้บ่อยๆ และแน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นลู่ซิงหุยนางชี้ไปที่ลู่ซิงและพึมพําว่า"พี่สาวคนสวย"[ตาบอดตั้งแต่อายุยังน้อย][ฮึ่ม ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าเด็กขี้ประจบ]ประโยคนี้ขององค์หญิงเจ็ดทําให้ลู่ซิงหุยพอใจจริงๆ ลู่ซิงหุยจึงย่อตัวลงทันทีและเข้าไปใกล้หน้าองค์หญิงเจ็ด “ซิงเหยียนเป็นเด็กดี”เป็นเด็กดีมากเมื่อเทียบกับไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านนั่นต้องบอกว่าวันนี้ลู่ซิงหุยโชคดีมาก ในขณะที่นางเล่นกับลู่ซิงเหยียน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เดินผ่านส