ไม่คาดคิดว่าพี่น้องตระกูลเสิ่นล้วนมีนิสัยแข็งกร้าวพอกัน จึงอดรู้สึกเลื่อมใสไม่ได้ว่าแล้วก็ให้จิ่นซินยกเก้าอี้มาให้คุณหนูทั้งสอง “คุณหนูทั้งสองเชิญนั่งคุยสักครู่จะดีไหม เพราะข้าอยู่แต่ในวังหลวง พวกเจ้าลองเล่าเรื่องสนุกๆ ข้างนอกมาให้ฟังบ้าง”กลับทำให้สองพี่น้องตระกูลเสิ่นตะลึงงัน ต่างมองสบตากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะดูจากท่าทีเฉินกุ้ยเฟยเมื่อครู่นี้ ราวกับไม่ชอบพวกตนเท่าไหร่นัก แต่จู่ๆ กลับยินดีต้อนรับซะนี่แม้แต่ลู่ซิงหว่านก็แทบอยากกุมขมับ[ท่านแม่ ท่านจะสอดรู้สอดเห็นไปหรือเปล่า วันก่อนเสิ่นป่าซวงยังตอแยพี่ชายรัชทายาทอยู่เลย ท่านลืมแล้วหรือ?”เฉินกุ้ยเฟยไม่คิดใส่ใจ แต่กลับเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบคุณหนูใหญ่มีนามว่า?”“ข้าน้อยชื่อจริงว่าเสิ่นเป่าเยียน น้องสาวชื่อเสิ่นเป่าซวงเจ้าค่ะ” เสิ่นเป่าเยียนแม้จะนึกหวาดหวั่นต่อการต้อนรับขับสู้ของเฉินกุ้ยเฟย แต่ยังคงตอบอย่างนอบน้อม“คุณหนูใหญ่ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”“เรียนพระสนม ปีนี้อายุสิบห้าเจ้าค่ะ”“ได้ผ่านพิธีปักปิ่นแล้วหรือยัง”“เรียนพระสนม ยังเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อกำหนดวันที่ไว้ปลายเดือนหน้า”เฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็รู้สึกดีใจ “รอใ
เหตุเพราะเป็นองค์หญิงองค์แรกของฮ่องเต้ต้าฉู่ องค์หญิงใหญ่จึงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจและถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาแต่เล็กด้วยนิสัยของฮ่องเต้ต้าฉู่ ย่อมไม่ใช้องค์หญิงไปผูกสัมพันธ์กับขุนนางอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อองค์หญิงใหญ่ผ่านพิธีปักปิ่น จึงทำตามความประสงค์ของนาง ให้ได้ออกเรือนกับบุตรชายคนโตของตระกูลฉินมีนามว่าฉิงหางและหลังแต่งงานทั้งคู่ก็รักใคร่ปรองดองกันดีเดิมคิดว่าองค์หญิงเกิดเป็นราชนิกูล คงหวังแต่อยู่อย่างสุขสบาย มิคาดว่ากลับมีพรสวรรค์ด้านการค้า นับแต่แต่งเข้าตระกูลฉิน อาศัยการบริหารขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งฐานะของนาง ยิ่งทำให้กิจการค้าขายของตระกูลฉินได้ขยายมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวปีที่แล้วฉิงหางเดินทางไปเจียงหนานด้วยตัวเอง องค์หญิงใหญ่ขอติดตามไปด้วย สองคนยังได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆเมื่อเห็นจิ่นซินอุ้มลู่ซิงหว่านในอ้อมแขน ก็รับตัวนางมา “นี่ก็คือหวานหว่านหรือ?”“ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง”เห็นองค์หญิงใหญ่อุ้มลู่ซิงหว่าน ฉิงหางก็รีบมาประคองนางไว้ พร้อมกล่าวเสียงดุ “เจ้าต้องระวังให้มาก”องค์หญิงใหญ่กลับหัวเราะ “ไม่ต้องกลัวขนาดนี้ก็ได้”พูดพลางมองหน้าเฉินกุ้ยเฟยด้วยความเขิ
“รั่วซิง” รัชทายาทมาถึงก็ดึงแขนองค์หญิงใหญ่ พร้อมพิจารณานางอย่างถี่ถ้วนจึงวางใจ เสด็จแม่มีเพียงตนกับน้องหญิงเพียงสองคน ตนจึงต้องดูแลน้องคนนี้ให้ดี “ลงใต้ครั้งนี้ราบรื่นดีหรือไม่?”องค์หญิงใหญ่หวนนึกถึงก่อนหน้านี้เกือบเจอกับโจรสลัดเข้า นับว่าอันตรายยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา มีแต่พูดเรื่องดีๆ “ภายใต้การปกครองของเสด็จพ่อ รวมถึงดาวนำโชคที่มาเกิดเป็นหวานหว่าน ข้ากับฉินหางไปไหนก็ปลอดภัยทั้งสิ้น”“งั้นก็ดีแล้ว” รัชทายาทหันไปมองฉินหาง พร้อมกับตบไหล่เขา “ต้องลำบากเจ้าจริงๆ ที่ดูแลน้องข้าคนนี้”องค์หญิงใหญ่รีบกล่าวเสียงอ้อน “พี่ใหญ่”ทันใดนั้น ในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหตุเพราะองค์หญิงใหญ่มาถึง รัชทายาทจึงไปบอกให้เจ้าอาวาสวัดหมิงจิ้งได้รู้ และสั่งให้ทำอาหารเพิ่ม ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้าในห้องของเฉินกุ้ยเฟย บัดนี้รัชทายาท องค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และเผยซื่อจื่อก็อยู่ด้วย แต่ไม่ต้องเคร่งครัดธรรมเนียมเหมือนอยู่ในวัง การพูดคุยจึงเป็นไปอย่างสนุกสนานหลังจากกินอาหารเสร็จ ก็มีหลวงจีนน้อยในวัดเข้ามาเก็บจานชามแต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีหลวงจีนน้อยผู้หนึ่งมัวแต่เก็บของแต่มือไม้ซุ่มซ่าม ทำให้
ดีที่เมื่อครู่องค์ชายรองหลบหลีกทัน คนร้ายจึงไม่ได้แทงเข้าจุดสำคัญ แต่หน้าอกก็ถูกแทงด้วยมีดสั้นเกือบจะมิดด้ามหมิงเจ๋อไต้ซือตรวจดูอย่างละเอียด จึงวางร่างขององค์ชายรองลง พลางเงยหน้าขึ้นมองเฉินกุ้ยเฟย “พระสนม เคราะห์ดีที่องค์ชายรองไม่ถูกแทงในจุดสำคัญ ข้าจะรีบดึงมีดออกมาเดี๋ยวนี้”กล่าวจบก็หันไปทางองค์ชายรอง “องค์ชาย อาจจะเจ็บบ้าง ท่านต้องอดทนหน่อยนะ”ตอนนี้องค์ชายรองเจ็บจนแทบสิ้นสติอยู่แล้ว แต่ยังคงกัดฟันพูด “ไต้ซือเชิญลงมือได้เลย”หมิงเจ๋อไต้ซือเห็นสภาพเขาแล้ว จึงได้หันไปมองเฉินกุ้ยเฟย “ยาสมานแผลที่ข้ามีอยู่ ยังไม่นับว่าเป็นยาชั้นดี...”เฉินกุ้ยเฟยไม่คิดห่วงเรื่องธรรมเนียมใดๆ รีบพูดขัดจังหวะ “ยาสมานแผล...ถ้ามาจากเมืองอวิ๋นโจวถือว่าดีที่สุดแล้ว”กล่าวจบก็รีบตะโกนไปทางด้านนอก “ฉู่เยี่ยน”ตั้งแต่หมิงเจ๋อไต้ซือเข้าไปด้านใน เผยฉู่เยี่ยนก็เฝ้าอย่างระมัดระวังอยู่นอกประตู ครั้นได้ยินเสียงเรียกของเฉินกุ้ยเฟย จึงรีบผลักประตูเข้ามา “พระสนม”“รีบไปจวนกวนฉินโหวหาฮูหยินของกว่นหลางสือ พร้อมขอยาสมานแผลของเมืองอวิ๋นโจวมาขวดหนึ่ง บอกว่าวันหน้าข้าจะไปขอบคุณด้วยตัวเอง” เผยฉู่เยี่ยนฟังจบ รีบหันหลัง
เมื่อออกมาอีกครั้ง ก็ย่อมต้องเชื้อเชิญเขาไปยังห้องโถงด้วยความนอบน้อมกลับพบกวงฉินโหว กวงฉินโหวฮูหยิน ใต้เท้ากวน และกวนฮูหยินต่างก็อยู่พร้อมหน้า กำลังรอให้เผยฉู่เยี่ยนเดินเข้ามาเผยฉู่เยี่ยนไม่มีเวลาจะพูดคุย หลังจากคารวะทุกคนแล้ว ก็ประสานมือไปทางต้วนอวิ๋นอี “ที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องจะรบกวนกวนฮูหยิน องค์ชายรองได้รับบาดเจ็บถึงเลือดเนื้อ ได้ยินว่าพื้นเพของฮูหยินมาจากเมืองอวิ๋นโจว ซึ่งผลิตยาสมานแผลล้ำเลิศในแผ่นดิน หากยังพอมีอยู่ในมือบ้าง ก็อยากขอฮูหยินมอบให้ข้าน้อยสักขวด”กล่าวจบก็มองหน้าต้วนอวิ๋นอีอีกครั้ง “วันหน้าองค์ชายจะมาขอบคุณด้วยตัวเอง”ต้วนอวิ๋นอีแม้จะไม่พอใจต่อความสัมพันธ์ในอดีตของสามีกับเฉินกุ้ยเฟย แต่เมื่อเชื้อพระวงศ์เอ่ยปาก ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธ พลางหันหน้าไปมองดูสามีเห็นกวนหลางสือพยักหน้า จึงได้กล่าวตอบ “ข้ายังมีอยู่สองขวด จะให้สาวใช้ไปเอามาเดี๋ยวนี้”เผยฉู่เยี่ยนคารวะอีกครั้ง “ขอบคุณฮูหยินมาก”กวงฉินโหวจึงได้เอ่ยปาก “ซื่อจื่อเผย อาการองค์ชายรองสาหัสหรือไม่”“ขอบคุณท่านโหวที่เป็นห่วง เจ็บเพียงภายนอกเท่านั้น ยิ่งถ้าได้ยาสมานแผลของกวนฮูหยินไปรักษา คาดว่าคงจะหายเร็วขึ้น”ไม
หลายวันก่อนมีจดหมายมาถึงมือเจิ้งจงแล้วส่งต่อไปยังองค์ชายสาม บอกว่าขอเชิญเขาไปพบ เพื่อหารืองานใหญ่แต่เพราะถูกเสด็จพ่อสั่งกักบริเวณ และมารดาก็ถูกเสด็จพ่อถอดออกจากตำแหน่ง ทั้งยังพัวพันกับการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนครอบครัวท่านตาต้องถูกกวาดล้างจนสิ้น จึงทำให้องค์ชายสามไม่คิดเรื่องชิงตำแหน่งรัชทายาทอีก แต่หลายวันมานี้ เจิ้งจงพยายามล้างสมององค์ชายสาม ไม่นึกว่ากลับทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งดังนั้นวันที่รัชทายาทออกจากวังไป เขาจึงแอบไปพบคนผู้นั้นและสถานที่นัดหมายก็อยู่ในภูเขาจำลองของอุทยานหลวง คนๆ นั้นแอบอยู่หลังเขาไม่ยอมโผล่หน้า จนแม้แต่เสียงพูดก็แสร้งกดให้แหบแห้งลง “ในเมื่อองค์ชายสามมาตามนัดหมาย ก็คงเข้าใจจุดประสงค์ดีแล้ว”องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายระวังตัวเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจ “ทำไมท่านไม่ยอมเผยโฉมที่แท้จริงล่ะ”“องค์ชายไม่ต้องห่วง ในเมื่อมาแล้ว ข้าจะมีของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้ ท่านแค่รอดูไว้ก็พอ”“นี่มันหมายความว่ายังไง” องค์ชายสามรีบถามแต่กลับไม่มีเสียงตอบอ้อมไปทางหลังภูเขา กลับไม่เห็นร่องรอยใดๆ ราวกับเมื่อครู่ตนได้ฝันไปกระนั้นไม่นึกว่าข่าวที่ได้มาวันนี้ คือคนผู้นั้นลงมือกับรัชทาย
แต่พระอาจารย์หมิงซื่อกลับคารวะ "อามิตตาพุทธ พระสนมมีจิตใจเมตตากรุณา อาตมาจะให้ความร่วมมือกับพระสนมสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดแน่นอน"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชี้ผู้ลอบสังหารบนพื้น "พระอาจารย์รู้จักเขาไหม?"พระอาจารย์หมิงซื่อก้าวขึ้นมา มองดูอย่างละเอียดแล้วส่ายหัว จากนั้นก็สั่งลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลัง "ฉางชิง เจ้าเข้ามาดูสิ"พระที่ถูกเปลี่ยนเป็นฉางชิงก้าวขึ้นมา "อามิตตาพุทธ เรียนอาจารย์ คนผู้นี้มิใช่คนในอารามของข้า"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า นางรู้อยู่แล้ว่าผู้ลอบสังหารไม่มีทางเป็นคนของอาราม แม้จะคิดว่าตอนนี้คงสืบอะไรไม่ได้แต่ยังคงถามอย่างไม่ตายใจพระอาจารย์หมิงเจ๋อถึงค่อยเดินขึ้นมา ย่อลงไปแตะเลือดข้างริมฝีปากของผู้ลอบสังหารเบา ๆ แล้วดมใต้จมูก "พระสนม มันคือพิษ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า "ขอบคุณพระอาจารย์มาก"จากนั้นก็มองไปที่พระอาจารย์ฉางชิง "ขอพระอาจารย์ฉางชิงช่วยระบุหน่อยว่า คนที่ถูกองครักษ์ควบคุมตัวได้ใช่คนของอารามไหม?"พระอาจารย์ฉางชิงจึงเดินวนดูหนึ่งรอบ มองดูอย่างละเอียดแล้วจึงหันหน้าไปตอบพระสนมเฉินกุ้ยเฟย "เรียนพระสนม เป็นลูกศิษย์อารามอาตมา"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองไปทางรัชทายาท รัชทายาทอ
เมื่อถึงยามเหม่า ไข้ขององค์ชายสองก็ลดลงสักที พวกเขาถึงค่อยโล่งอกแล้วต่างคนต่างค่อยฟุบหลับพักผ่อนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตื่นเพราะเสียงเด็กเล็กบ่นของลู่ซิงหว่าน[คืนนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ พี่ชายสองตื่นขึ้นมาสักที เห็นทีชาตินี้พี่ชายใหญ่จะมีชีวิตรอดมาได้แล้ว มีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเลยทีเดียว!][ทุกคนลำบากขนาดนี้ มีแต่ข้าที่สุขสบายใจ เกรงใจจังเลย][ถ้าข้ามีพลังวิญญาณล่ะก็...]ขณะที่พูดประโยคนี้นางก็ไหลลงมาจากแหย่ง แล้วคลานไปหาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้องค์ชายสองจะสลบแต่ก็รับรู้ได้ รู้ว่าตนเป็นไข้สูงตลอดทั้งคืนและทำให้ทุกคนเหนื่อย ตอนนี้เขามีบาดแผลที่หน้าอกข้างซ้ายจึงไม่กล้าขยับ เพียงแค่นอนมองทุกคนที่หลับอยู่รอบตัวของตนเองแต่กลับเห็นลู่ซิงหว่านคลานไปทางพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเขาตะลึงอึ้งไปทันที หวานหว่านอายุแค่สี่เดือนคลานได้แล้วหรือ?เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตื่นขึ้นมาลู่ซิงหว่านก็คลานมาถึงเท้านางแล้ว"หวานหว่าน?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตกใจมาก "เจ้าคลานได้แล้วหรือ"ช่างสมเป็นลูกสาวของตนจริง ๆ ไม่สิ สมเป็นเทพธิดามาจุติ แค่สี่เดือนก็คลานเป็นแล้วเมื่อหันไปเห็นองค์ชายสองตื่นแล้วก็รีบเอ่ยปากถามทันที "จิ่นห