เหออวิ๋นเหยาเห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถากถาง“พี่ใหญ่แต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ ใครเห็นเข้าจะนึกว่าบ้านเรายากจนนัก”เหออวี่เหยาแม้ไม่คิดตอแยกับนาง วันนี้กลับเอ่ยปากตอบโต้ “เจ้าพูดจาระวังปากหน่อย วันนี้ครบรอบวันตายของแม่ข้า หากวิญญาณนางมาหาละก็...”จงใจละไว้เช่นนี้ พร้อมกับมองเหออวิ๋นเหยาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเหออวิ๋นเหยาโมโหยิ่งนัก รีบจับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายพลางถามนาง “นางหมายความว่ายังไง นังคนแพศยานี่...”สาวใช้รีบห้ามปรามนางไว้ “คุณหนู วันนี้มีงานใหญ่ อย่าให้คนอื่นจับผิดได้นะเจ้าคะ”เหออวิ๋นเหยาจึงได้หยุดฝีเท้าลง “คอยดูไปเถอะ รอให้ผ่านงานวันนี้ไปก่อน ข้าจะให้นางได้รู้พิษสง”ขณะที่เฉินกุ้ยเฟยพาคนมาถึงวัดหมิงจิ้ง คนตระกูลเหอก็ได้ไปอยู่ในวัดเตรียมตัวนานแล้วและยังมีคนในวังติดตามมาช่วยงานอีก เพราะองค์ชายรัชทายาทเสด็จแทนฮ่องเต้มาจุดธูป จึงต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษขณะที่เฉินกุ้ยเฟยลงจากรถม้า ก็เห็นมีเกี้ยวหลังเล็กเตรียมไว้อีกหลังหนึ่ง เมื่อเห็นนางสงสัย องค์ชายใหญ่จึงได้อธิบาย “กว่าจะถึงวัดยังต้องเดินอีกช่วงหนึ่ง ข้าจึงให้คนเตรียมเกี้ยวหามเอาไว้ เชิญพ
[อย่าบอกว่าหลวงจีนผู้นี้รู้ที่มาของเรา จึงคิดบอกท่านแม่หรอกนะ][ฮือๆๆ ท่านแม่จะมองว่าข้าเป็นตัวประหลาด จนไม่รักข้าหรือเปล่า][แม้จะอยู่กันมาแค่ไม่กี่เดือน แต่ข้าก็รักท่านแม่มากเลย ฮือๆๆ]พูดไปพูดมามีแต่เสียงร้องไห้ออกมาแทนเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ ก็รีบมาปลอบใจนาง “ด้านหลังของวัดหมิงจิ้งเป็นสถานที่สงบเงียบ ราวกับอยู่บนสวรรค์ หวานหว่านจะต้องชอบแน่ เจ้าไปกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จุดธูปเสร็จจะรีบไปหาทันที”พอได้ยินว่าราวกับแดนสวรรค์ ลู่ซิงหว่านก็เหมือนจะหูผึ่ง[ท่านแม่อย่าหลอกข้านะ ข้าจะไปดูก่อนว่าเหมือนแดนสวรรค์จริงหรือไม่ หากไม่เหมือนจริง ข้าจะอาละวาดให้หนักเชียว]เฉินกุ้ยเฟยค่อยมีรอยยิ้มออกมา พลางสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ออกไปก่อน จากนั้นก็หันมายังหมิงเจ๋อไต้ซือ“ไหนๆ มาแล้ว เชิญพระสนมจุดธูปก่อน” หมิงเจ๋อไต้ซือเดินไปหยิบธูปมาให้เฉินกุ้ยเฟยรอจนนางจุดธูปเสร็จแล้ว หมิงเจ๋อไต้ซือจึงเอ่ยปากต่อ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงหย่งอัน วันนี้ได้มาพบ สมดั่งคำร่ำลือโดยแท้”เฉินกุ้ยเฟยไม่เอ่ยปากใดๆ มีเพียงจ้องมองหมิงเจ๋อไต้ซือ“อมิตาภพุทธ อาตมาเสียมรรยาทแล้ว เ
และทางด้านหลังของวัด พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เผยเสียนกำลังดำเนินการอยู่เหออวี่เหยาสายตาเย็นชามองดูราชเลขาเหอ นางหลิน และเหออวิ๋นเหยาที่อยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ หวังให้มารดาตนคุ้มครองให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือให้นางคุ้มครองให้ตนเป็นที่รักของสามี? หรือหวังให้มารดาตนคุ้มครองให้ได้แต่งงานกับผู้มีศักดิ์สูงส่ง?เหออวี่เหยาหันไปมองป้ายวิญญาณของมารดา เพียงขอให้นางรีบไปเกิดใหม่เสีย ชาติหน้าฉันท์ใด ขออย่าได้มีชีวิตน่าเศร้าเหมือนอย่างชาตินี้อีกพิธีของเผยเสียนเริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเช้า จวบจนหลังเที่ยงจึงได้เสร็จสิ้นใต้เท้าเหอกับลูกเมียหิวจนแทบอ่อนแรง รีบตรงไปยังห้องรับรองที่ทางวัดเตรียมไว้เพื่อกินอาหารส่วนรัชทายาทกับพวกก็แค่มาจุดธูปในยามเช้า จากนั้นก็รีบกลับไปแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ขอเพียงรัชทายาทยอมมา นั่นคือการให้เกียรติอย่างมากแล้วบัดนี้จึงเหลือเพียงเหออวี่เหยาและเผยฉู่เยี่ยนที่ยังอยู่ในห้องโถงหลัง รอคอยอยู่เงียบๆ ผ่านไปเนิ่นนาน เหออวี่เหยาจึงได้เอ่ยปาก “น้องเยี่ยนไปพักผ่อนก่อนเถอะ”เผยฉู่เยี่ยนมองหน้าเหออวี่เหยา อ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอ
เพียงไม่นาน องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองก็กลับมา“ไม่นึกว่าคนที่รออยู่เชิงเขา สามารถขึ้นมาจุดธูปได้แล้ว” องค์ชายใหญ่กล่าวเดิมเขาคิดว่าจะมาอย่างเงียบๆ จุดธูปให้เหอฮูหยินแล้ว ค่อยไปเรือนหลังกินอาหารค่ำพร้อมท่านน้าและหวานหว่าน จากนั้นค่อยกลับวังไปแต่ไม่นึกว่าเรื่องที่มาจุดธูปให้เหอฮูหยิน จะถูกคนลือกันไปทั่วเมื่อครู่ตอนพวกเขาขึ้นเขามา ที่เชิงบันไดด้านล่างมีเกี้ยวของเหล่าขุนนางมาหยุดอยู่ ไม่รู้ว่ามาเพราะเฉินกุ้ยเฟย หรือเป็นความบังเอิญกันแน่เฉินกุ้ยเฟยกลับกล่าวยิ้มๆ “คงเพราะองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองต่างโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงมีหญิงสาวมาให้ความสนใจกระมัง”“พระสนมอย่าล้อข้าเล่นเลย ข้ายังเด็กอยู่มาก พวกนางคงมาเพราะพี่ใหญ่รัชทายาทมากกว่า”ระหว่างที่กำลังพูดคุย ข้างนอกก็มีคนรายงาน บอกว่าเหอฮูหยินพาธิดาคนเล็กมาขอพบเฉินกุ้ยเฟยแม้จะไม่รู้ยินดี แต่ก็ต้องเชิญให้เข้ามา“คำนับพระสนมเฉิน คำนับองค์ชายใหญ่องค์ชายรอง คำนับองค์หญิงหย่งอันเพคะ” สองแม่ลูกเข้ามาในห้อง พร้อมคำนับอย่างนอบน้อมรอจนพวกนางลุกขึ้นแล้ว สายตาของเหออวิ๋นเหยาก็มองไปทางองค์ชายรอง[แม่ลูกคู่นี้ดูไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ มาถึงวัดหมิงจิ้ง ค
รอจนนางหลินกับธิดาออกไปแล้ว องค์ชายใหญ่จึงได้เอ่ยปาก “เดิมคิดว่าจะมาเงียบๆ กลับมีเรื่องจุกจิกกวนใจอีก”กล่าวจบจึงได้ยืนขึ้น “ถ้าไงข้าจะไปสั่งการ ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามมารบกวนเรา”ขณะที่พูด เผยฉู่เยี่ยนก็ได้เดินเข้ามา“มีคนมากวนใจพระสนมใช่ไหม งั้นข้าจะไปเฝ้าอยู่ด้านนอก”องค์ชายรองรีบมาดึงตัวเผยฉู่เยี่ยนไว้ “เจ้านั่งพักก่อนเถอะ หลายวันนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว”เฉินกุ้ยเฟยกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่พูดคุยเล็กน้อย เมื่อเรามาอยู่ในวัด ก็อย่าให้มีพิธีรีตองตามมาอีกเลย”กล่าวจบก็หันไปมององค์ชายทั้งสอง “เมื่อมาถึงวังหมิงจิ้งแล้ว หลายวันนี้หากไม่มีกิจธุระในวัง ก็มาพักผ่อนอยู่นี่สักหน่อย เราไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นกี่วัน”“งั้นก็ยิ่งดีใหญ่ อยู่ในวังต้องสำรวมน่าเบื่อจะแย่ ข้าชอบอยู่กับพระสนมมากกว่า”องค์ชายรองได้ยินเฉินกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ ย่อมจะดีใจเป็นอย่างมาก พลางหันไปมองรัชทายาท “พี่ชายใหญ่ว่าดีไหม”รัชทายาทยิ้มให้อย่างรู้ใจทุกคนหารือจนได้ข้อสรุป ว่าจะพักที่วัดหมิงจิ้งสักสองสามวันแล้วค่อยกลับวังแต่ไม่นึกว่าหลังอาหารเที่ยง เฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้พักผ่อน ก็มีคนมาขอพบอีกเฉินกุ้ย
ไม่คาดคิดว่าพี่น้องตระกูลเสิ่นล้วนมีนิสัยแข็งกร้าวพอกัน จึงอดรู้สึกเลื่อมใสไม่ได้ว่าแล้วก็ให้จิ่นซินยกเก้าอี้มาให้คุณหนูทั้งสอง “คุณหนูทั้งสองเชิญนั่งคุยสักครู่จะดีไหม เพราะข้าอยู่แต่ในวังหลวง พวกเจ้าลองเล่าเรื่องสนุกๆ ข้างนอกมาให้ฟังบ้าง”กลับทำให้สองพี่น้องตระกูลเสิ่นตะลึงงัน ต่างมองสบตากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะดูจากท่าทีเฉินกุ้ยเฟยเมื่อครู่นี้ ราวกับไม่ชอบพวกตนเท่าไหร่นัก แต่จู่ๆ กลับยินดีต้อนรับซะนี่แม้แต่ลู่ซิงหว่านก็แทบอยากกุมขมับ[ท่านแม่ ท่านจะสอดรู้สอดเห็นไปหรือเปล่า วันก่อนเสิ่นป่าซวงยังตอแยพี่ชายรัชทายาทอยู่เลย ท่านลืมแล้วหรือ?”เฉินกุ้ยเฟยไม่คิดใส่ใจ แต่กลับเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบคุณหนูใหญ่มีนามว่า?”“ข้าน้อยชื่อจริงว่าเสิ่นเป่าเยียน น้องสาวชื่อเสิ่นเป่าซวงเจ้าค่ะ” เสิ่นเป่าเยียนแม้จะนึกหวาดหวั่นต่อการต้อนรับขับสู้ของเฉินกุ้ยเฟย แต่ยังคงตอบอย่างนอบน้อม“คุณหนูใหญ่ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”“เรียนพระสนม ปีนี้อายุสิบห้าเจ้าค่ะ”“ได้ผ่านพิธีปักปิ่นแล้วหรือยัง”“เรียนพระสนม ยังเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อกำหนดวันที่ไว้ปลายเดือนหน้า”เฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็รู้สึกดีใจ “รอใ
เหตุเพราะเป็นองค์หญิงองค์แรกของฮ่องเต้ต้าฉู่ องค์หญิงใหญ่จึงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจและถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาแต่เล็กด้วยนิสัยของฮ่องเต้ต้าฉู่ ย่อมไม่ใช้องค์หญิงไปผูกสัมพันธ์กับขุนนางอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อองค์หญิงใหญ่ผ่านพิธีปักปิ่น จึงทำตามความประสงค์ของนาง ให้ได้ออกเรือนกับบุตรชายคนโตของตระกูลฉินมีนามว่าฉิงหางและหลังแต่งงานทั้งคู่ก็รักใคร่ปรองดองกันดีเดิมคิดว่าองค์หญิงเกิดเป็นราชนิกูล คงหวังแต่อยู่อย่างสุขสบาย มิคาดว่ากลับมีพรสวรรค์ด้านการค้า นับแต่แต่งเข้าตระกูลฉิน อาศัยการบริหารขององค์หญิงใหญ่ อีกทั้งฐานะของนาง ยิ่งทำให้กิจการค้าขายของตระกูลฉินได้ขยายมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวปีที่แล้วฉิงหางเดินทางไปเจียงหนานด้วยตัวเอง องค์หญิงใหญ่ขอติดตามไปด้วย สองคนยังได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆเมื่อเห็นจิ่นซินอุ้มลู่ซิงหว่านในอ้อมแขน ก็รับตัวนางมา “นี่ก็คือหวานหว่านหรือ?”“ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง”เห็นองค์หญิงใหญ่อุ้มลู่ซิงหว่าน ฉิงหางก็รีบมาประคองนางไว้ พร้อมกล่าวเสียงดุ “เจ้าต้องระวังให้มาก”องค์หญิงใหญ่กลับหัวเราะ “ไม่ต้องกลัวขนาดนี้ก็ได้”พูดพลางมองหน้าเฉินกุ้ยเฟยด้วยความเขิ
“รั่วซิง” รัชทายาทมาถึงก็ดึงแขนองค์หญิงใหญ่ พร้อมพิจารณานางอย่างถี่ถ้วนจึงวางใจ เสด็จแม่มีเพียงตนกับน้องหญิงเพียงสองคน ตนจึงต้องดูแลน้องคนนี้ให้ดี “ลงใต้ครั้งนี้ราบรื่นดีหรือไม่?”องค์หญิงใหญ่หวนนึกถึงก่อนหน้านี้เกือบเจอกับโจรสลัดเข้า นับว่าอันตรายยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา มีแต่พูดเรื่องดีๆ “ภายใต้การปกครองของเสด็จพ่อ รวมถึงดาวนำโชคที่มาเกิดเป็นหวานหว่าน ข้ากับฉินหางไปไหนก็ปลอดภัยทั้งสิ้น”“งั้นก็ดีแล้ว” รัชทายาทหันไปมองฉินหาง พร้อมกับตบไหล่เขา “ต้องลำบากเจ้าจริงๆ ที่ดูแลน้องข้าคนนี้”องค์หญิงใหญ่รีบกล่าวเสียงอ้อน “พี่ใหญ่”ทันใดนั้น ในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหตุเพราะองค์หญิงใหญ่มาถึง รัชทายาทจึงไปบอกให้เจ้าอาวาสวัดหมิงจิ้งได้รู้ และสั่งให้ทำอาหารเพิ่ม ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้าในห้องของเฉินกุ้ยเฟย บัดนี้รัชทายาท องค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และเผยซื่อจื่อก็อยู่ด้วย แต่ไม่ต้องเคร่งครัดธรรมเนียมเหมือนอยู่ในวัง การพูดคุยจึงเป็นไปอย่างสนุกสนานหลังจากกินอาหารเสร็จ ก็มีหลวงจีนน้อยในวัดเข้ามาเก็บจานชามแต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีหลวงจีนน้อยผู้หนึ่งมัวแต่เก็บของแต่มือไม้ซุ่มซ่าม ทำให้