แม่นมซูกล่าวยิ้มๆ “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนเถรตรงเพคะ”ไทเฮารู้สึกสะท้อนในพระทัย “ข้าก็หวังให้นางเป็นเช่นนี้ตลอดไป ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ให้เสียทีที่พี่สาวนางกตัญญูต่อข้านัก”จากนั้นก็รับสั่งเสียงเบา “ข้าผิดต่อพวกนางทั้งพี่และน้องเอง”แม่นมซูรีบเดินขึ้นหน้ามา ประคองไทเฮาให้ยืนขึ้น “หากดวงวิญญาณอดีตฮองเฮาได้ทรงทราบ ก็คงเห็นด้วยกับการกระทำของไทเฮาเช่นนี้เพคะ”ไทเฮาพยักหน้า พร้อมรับสั่งต่อ “ดูท่าชิงเหยียนคงรู้ว่าต้นตอข่าวลือเกิดจากที่ใด คงมีวิธีรับมือของนางเอง”“พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนฉลาดอยู่แล้วเพคะ”“แต่ในเมื่อฮ่องเต้มาหาข้าเพราะเรื่องนี้ ข้าก็ต้องช่วยชิงเหยียนจัดการเสียบ้าง เพื่อให้นางสบายใจ” ไทเฮารับสั่งจบก็หันไปมองแม่นมซูที่อยู่ด้านข้าง “ข้าดูแล้วฮ่องเต้คงจะรักชิงเหยียนอยู่ไม่น้อย”เมื่อไทเฮาเสด็จออกไป ทุกคนต่างก็ยืนขึ้นแสดงการคำนับรอจนไทเฮานั่งลงแล้ว ก็ได้รับสั่งด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “บัดนี้เรื่องราวใหญ่น้อยในวังหลังล้วนมอบให้เฉินกุ้ยเฟยดูแล เดิมทีข้าก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีก แต่วันก่อนได้ยินข่าวลือบางอย่างในวัง ใจคิดว่าผ่านไปซักพักคงจะเงียบหาย ที่ไหนได้นับวันก็ยิ่งลือกันหนัก
เมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้คือวันครบรอบวันตายของเผยเสียน องค์ชายรัชทายาทกับพวกก็เตรียมตัวแต่เช้าตรู่ หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินกุ้ยเฟยจึงให้จิ่นอวี้ไปเชิญองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองมายังตำหนักชิงอวิ๋นนางต้องกำชับพวกเขาหน่อยจึงจะวางใจ“ท่านน้า” องค์ชายใหญ่มาถึงตำหนักชิงอวิ๋น เห็นลู่ซิงหว่านนั่งเล่นอยู่บนเตียง จึงรีบมาอุ้มนางเหมือนเช่นปกติ“วันนี้หวานหว่านเป็นเด็กดีหรือเปล่า”ลู่ซิงหว่านตอบกลับรัชทายาท[ข้าย่อมเป็นเด็กดีอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังได้กินข้าวเป็นเพื่อนท่านแม่ด้วย]เฉินกุ้ยเฟยมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่รู้สึกว่าตนไม่ได้เข้าวังเสียเปล่า เพราะรัชทายาทเป็นเด็กที่กตัญญูนักเพียงแต่ทุกครั้งที่เจอเขา นางมักจะนึกถึงคำพูดของหวานหว่าน ที่บอกว่ารัชทายาทผู้นี้ไม่เหมาะจะครองบัลลังก์ แต่ระยะมานี้เห็นเขาทีไร ก็รู้สึกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทุกครั้งขณะกำลังใช้ความคิดอยู่ จิ่นอวี้ก็กลับมา “พระสนม องค์ชายรองไปตำหนักของพระสนมหลานเฟย บ่าวจึงมาแจ้งให้ท่านทราบน่ะเจ้าค่ะ”“เอาเถอะ ไม่ต้องไปเชิญเขามาหรอก ข้าจะบอกรัชทายาทเอง”ขณะพูดคุย เผยฉู่เยี่ยนก็ได้เดินเข้ามา “คารวะพระสนมเฉิน คารวะองค์ชายรัชทา
[น่าอิจฉาจริงๆ อิจฉาจนข้าพูดไม่ออกแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดในใจ แล้วหลายวันก่อนมีงานขี่ม้าตีคลี ไม่ได้พาเจ้าไปหรอกหรือ?แต่ก็เก็บคำพูดของลู่ซิงหว่านไว้ในใจ แอบชั่งใจอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกองค์ชายทั้งสอง เห็นว่าเรื่องนี้ควรต้องถามฮ่องเต้ต้าฉู่ก่อนรอจนองค์ชายรัชทายาทออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงยืนขึ้นและมีคำสั่ง “เราไปห้องทรงอักษรเข้าเฝ้าฝ่าบาท”จิ่นซินและจิ่นอวี้แม้จะสงสัย แต่ยังคงรีบจัดแจงให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟย นางหันมาสั่งอีก “พาหวานหว่านไปด้วย”ทุกคนพากันออกจากตำหนักชิงอวิ๋นจวบจนใกล้ถึงห้องทรงอักษร จึงเห็นสนมเล่อกุ้ยเหรินเดินออกมาจากห้องนั้นก่อน“พระสนม ข้างหน้าคือเล่อกุ้ยเหริน ดูหน้าตานาง คงจะมีข่าวดีอะไรแน่” จิ่นอวี้เป็นคนช่างสังเกต ย่อมจะตาไวกว่าคนอื่นเล่อกุ้ยเหรินก็เห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งแต่อยู่ไกลลิบๆ จึงรีบตรงมาแสดงความคารวะ “คารวะพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟย”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้จะไม่ถูกชะตากับเล่อกุ้ยเหรินเท่าใดนัก แต่สีหน้ายังดูเป็นมิตรอยู่ “ไม่เจอเล่อกุ้ยเหรินเสียหลายวัน ได้ยินว่าสุขภาพไม่สู้ดีอย่างงั้นหรือ?”“ขอบคุณพระสนมที่ห
ทางด้านพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ได้เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงอักษรฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางกับลูกมา ก็รู้สึกยินดียิ่ง “หวานหว่านมาหาพ่อเร็วเข้า”จิ่นอวี้รีบส่งตัวลู่ซิงหว่านไปหา“เมื่อครู่ตอนหม่อมฉันมาถึง ได้พบเล่อกุ้ยเหรินที่ระหว่างทาง”“ใช่” ฮ่องเต้ต้าฉู่หยอกล้อลู่ซิงหว่านไปพลาง ปากก็พูดกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “เห็นบอกว่าตั้งครรภ์ จึงรีบมาบอกข้า”ท่าทีไม่ยินดียินร้ายของฮ่องเต้ต้าฉู่ กลับทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ จึงได้เอ่ยปากถาม “ฝ่าบาทเพคะ”[แค่นี้ท่านแม่ยังไม่รู้อีก ช่างโง่เสียจริง!][เสด็จพ่อมีลูกตั้งหลายคนแล้ว แถมพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองก็เอาถ่าน ใครจะไปสนใจเด็กที่ยังไม่เกิดมา][แต่เสด็จพ่อก็เอ็นดูข้ามากกว่าใคร คงเพราะตอนเกิดใหม่ๆ ได้ทำให้แคว้นตู้ฉู่เกิดฝนตก จึงคิดว่าข้าเป็นตัวนำโชคกระมัง]ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินสิ่งที่ลู่ซิงหว่านพูดในใจ เกรงว่านางจะเกิดความน้อยใจ จึงรีบเอ่ยปาก “เพราะข้าคิดว่า มีหวานหว่านคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”เมื่อก่อนเพราะมีราชกิจรัดตัว จึงทำให้ฮ่องเต้ไม่อาจใส่พระทัยต่อทายาทคนไหนเป็นพิเศษ แม้ว่าจะอยู่กับหวานหว่านนานกว่าใครเพราะได้ยินเสียงพูดในใจของนาง แต่พอนานวันเ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ?พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินคำกล่าวของลู่ซิงหว่านที่มีต่อวังหลวง ก็เผลอหัวเราะออกมา ที่ๆ คนมากมายต่างตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้เข้ามา ในสายตาของหวานหว่านกลับเป็นเพียง ‘ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ’ ซะได้เห็นทีว่าชาติก่อนนางบำเพ็ญเพียร ก็คงมีนิสัยไม่ยึดติดเช่นนี้กระมังและคงเป็นแม่หนูน้อยที่ใครเห็นก็รักและเอ็นดูส่วนองค์ชายสามซึ่งถูกฮ่องเต้หมางเมินมาหลายวัน เมื่อเห็นรัชทายาทออกจากวังไป ก็ให้นึกถึงจดหมายที่วันก่อนมีคนส่งมาให้จากข้างนอก จึงแอบออกจากตำหนักฉางชิวเงียบๆ ไปยังที่แห่งนั้นด้านตระกูลเหอนั้น ก็ย่อมคึกคักเป็นพิเศษเช่นกันนับแต่วันที่จิ่นซินมาเยือน และบอกว่าวันหน้าพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอาจเชิญเหออวี่เหยาไปเข้าวังบ่อยๆ ใต้เท้าเหอก็ค่อยใส่ใจต่อธิดาคนนี้บ้าง สั่งให้นางหลินตัดเสื้อผ้าที่เข้ากับรูปทรงให้เหออวี่เหยาหลายชุด เพราะไม่อยากให้นางเข้าวังไปแล้วทำให้ตระกูลเหอต้องอับอายนางหลินแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องเสแสร้งต่อหน้าสามี “ใต้เท้าโปรดวางใจ วันนี้ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวอวี่เหยา พร้อมพานางไปซื้อเครื่องประทินโฉมด้วย”กล่าวจบก็มองดูเหออวี่เหยาคล้ายกับไม่วางใจ “เจ้าก็เห
เหออวิ๋นเหยาเห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถากถาง“พี่ใหญ่แต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ ใครเห็นเข้าจะนึกว่าบ้านเรายากจนนัก”เหออวี่เหยาแม้ไม่คิดตอแยกับนาง วันนี้กลับเอ่ยปากตอบโต้ “เจ้าพูดจาระวังปากหน่อย วันนี้ครบรอบวันตายของแม่ข้า หากวิญญาณนางมาหาละก็...”จงใจละไว้เช่นนี้ พร้อมกับมองเหออวิ๋นเหยาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเหออวิ๋นเหยาโมโหยิ่งนัก รีบจับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายพลางถามนาง “นางหมายความว่ายังไง นังคนแพศยานี่...”สาวใช้รีบห้ามปรามนางไว้ “คุณหนู วันนี้มีงานใหญ่ อย่าให้คนอื่นจับผิดได้นะเจ้าคะ”เหออวิ๋นเหยาจึงได้หยุดฝีเท้าลง “คอยดูไปเถอะ รอให้ผ่านงานวันนี้ไปก่อน ข้าจะให้นางได้รู้พิษสง”ขณะที่เฉินกุ้ยเฟยพาคนมาถึงวัดหมิงจิ้ง คนตระกูลเหอก็ได้ไปอยู่ในวัดเตรียมตัวนานแล้วและยังมีคนในวังติดตามมาช่วยงานอีก เพราะองค์ชายรัชทายาทเสด็จแทนฮ่องเต้มาจุดธูป จึงต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษขณะที่เฉินกุ้ยเฟยลงจากรถม้า ก็เห็นมีเกี้ยวหลังเล็กเตรียมไว้อีกหลังหนึ่ง เมื่อเห็นนางสงสัย องค์ชายใหญ่จึงได้อธิบาย “กว่าจะถึงวัดยังต้องเดินอีกช่วงหนึ่ง ข้าจึงให้คนเตรียมเกี้ยวหามเอาไว้ เชิญพ
[อย่าบอกว่าหลวงจีนผู้นี้รู้ที่มาของเรา จึงคิดบอกท่านแม่หรอกนะ][ฮือๆๆ ท่านแม่จะมองว่าข้าเป็นตัวประหลาด จนไม่รักข้าหรือเปล่า][แม้จะอยู่กันมาแค่ไม่กี่เดือน แต่ข้าก็รักท่านแม่มากเลย ฮือๆๆ]พูดไปพูดมามีแต่เสียงร้องไห้ออกมาแทนเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ ก็รีบมาปลอบใจนาง “ด้านหลังของวัดหมิงจิ้งเป็นสถานที่สงบเงียบ ราวกับอยู่บนสวรรค์ หวานหว่านจะต้องชอบแน่ เจ้าไปกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จุดธูปเสร็จจะรีบไปหาทันที”พอได้ยินว่าราวกับแดนสวรรค์ ลู่ซิงหว่านก็เหมือนจะหูผึ่ง[ท่านแม่อย่าหลอกข้านะ ข้าจะไปดูก่อนว่าเหมือนแดนสวรรค์จริงหรือไม่ หากไม่เหมือนจริง ข้าจะอาละวาดให้หนักเชียว]เฉินกุ้ยเฟยค่อยมีรอยยิ้มออกมา พลางสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ออกไปก่อน จากนั้นก็หันมายังหมิงเจ๋อไต้ซือ“ไหนๆ มาแล้ว เชิญพระสนมจุดธูปก่อน” หมิงเจ๋อไต้ซือเดินไปหยิบธูปมาให้เฉินกุ้ยเฟยรอจนนางจุดธูปเสร็จแล้ว หมิงเจ๋อไต้ซือจึงเอ่ยปากต่อ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงหย่งอัน วันนี้ได้มาพบ สมดั่งคำร่ำลือโดยแท้”เฉินกุ้ยเฟยไม่เอ่ยปากใดๆ มีเพียงจ้องมองหมิงเจ๋อไต้ซือ“อมิตาภพุทธ อาตมาเสียมรรยาทแล้ว เ
และทางด้านหลังของวัด พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เผยเสียนกำลังดำเนินการอยู่เหออวี่เหยาสายตาเย็นชามองดูราชเลขาเหอ นางหลิน และเหออวิ๋นเหยาที่อยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ หวังให้มารดาตนคุ้มครองให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือให้นางคุ้มครองให้ตนเป็นที่รักของสามี? หรือหวังให้มารดาตนคุ้มครองให้ได้แต่งงานกับผู้มีศักดิ์สูงส่ง?เหออวี่เหยาหันไปมองป้ายวิญญาณของมารดา เพียงขอให้นางรีบไปเกิดใหม่เสีย ชาติหน้าฉันท์ใด ขออย่าได้มีชีวิตน่าเศร้าเหมือนอย่างชาตินี้อีกพิธีของเผยเสียนเริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเช้า จวบจนหลังเที่ยงจึงได้เสร็จสิ้นใต้เท้าเหอกับลูกเมียหิวจนแทบอ่อนแรง รีบตรงไปยังห้องรับรองที่ทางวัดเตรียมไว้เพื่อกินอาหารส่วนรัชทายาทกับพวกก็แค่มาจุดธูปในยามเช้า จากนั้นก็รีบกลับไปแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ขอเพียงรัชทายาทยอมมา นั่นคือการให้เกียรติอย่างมากแล้วบัดนี้จึงเหลือเพียงเหออวี่เหยาและเผยฉู่เยี่ยนที่ยังอยู่ในห้องโถงหลัง รอคอยอยู่เงียบๆ ผ่านไปเนิ่นนาน เหออวี่เหยาจึงได้เอ่ยปาก “น้องเยี่ยนไปพักผ่อนก่อนเถอะ”เผยฉู่เยี่ยนมองหน้าเหออวี่เหยา อ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอ