เห็นเสิ่นเป่าซวงที่อยู่ไกลๆ เป็นแบบนี้ หานซีเยว่ก็ถอนหายใจอีกครั้ง "นางตามเกาะแกะข้า จะตามข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ด้วยกัน นางคิดอะไรอยู่ ทําไมข้าจะไม่รู้ ข้าล่ะอารมณ์เสียมากจริงๆ"หรงเหวินเมี่ยวกลับเข้าใกล้หานซีเยว่ด้วยท่าทางอารมณ์ดี "ตอนนี้พี่เยว่ของเราเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้ว คนที่สูงสง่าเช่นองค์รัชทายาทต้องเป็นหมายปองของสาวๆ หลายคนอยู่แล้ว ต่อไปคงยังต้องรับมืออีกเยอะ"พวกเขาหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่พักใหญ่ จึงลบความอารมณ์เสียเมื่อกี้ไปได้เห็นว่าหานซีเยว่กําลังจะไปเข้าเฝ้าพระสนมเฉินกุ้ยเฟย หรงเหวินเมี่ยวนึกถึงที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยช่วยเหลือในงานเลี้ยงที่วังเมื่อครั้งก่อน จึงก็เอ่ยปากขอไปเข้าเฝ้าด้วยกันเหออวี่เหยาเดิมกําลังจะกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง แต่ถูกหรงเหวินเมี่ยวพามาที่ที่นั่งของฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยกัน"ถวายพระพรแด่ฝ่าบาท ถวายพระพรแด่พระสนม" ทั้งสามทำความเคารพตามมารยาทอย่างเรียบร้อย พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ก็รีบบอกให้พวกนางลุกขึ้น"ตอนนี้พวกเด็กๆ ก็โตกันหมดแล้ว ข้าชักจำไม่ค่อยได้แล้วสิ" ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มใจดี แต่นั่นกลับทำให้คนรอบข้างประหลาดใจฮ่องเต้ต้าฉู่เป็
ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับหัวเราะนาง "ตอนนี้เจ้าก็ยังสาวอยู่ อย่าหาข้ออ้างให้ตัวเองหน่อยเลย"เสียงหัวเราะของพวกเขาดังมา ลู่ซิงหว่านยืดตัวบิดขี้เกียจและตื่นขึ้นมา[ท่านแม่ก็เหนื่อยอยู่ในวังหลังของท่านนั้นแหละ แม้ว่าตอนนี้จะอายุยังไม่สามสิบ แต่ผมหงอกก็ขึ้นมามากแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่เคยชินกับ "การไม่เคารพ" ของลู่ซิงหว่านแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเมื่อเห็นลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมาแล้ว หรงเหวินเมี่ยวก็รีบชะโงกหน้ามาดู "นี่คือองค์หญิงหย่งอันใช่ไหมเพคะ"นางเป็นคนที่นิสัยไม่เคร่งครัดตามกฎระเบียบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จากครั้งที่แล้วที่นางหาเรื่องเต๋อเฟย ก็พอจะรู้ได้ แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ชอบนิสัยแบบนี้ของนางมากพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอุ้มลู่ซิงหว่านมานั่งบนตักตัวเองและตอบด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่แล้ว"หรงเหวินเมี่ยวยิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิม "ได้ยินว่าเมื่อองค์หญิงหย่งอันประสูติ บังเอิญฝนตกหนักช่วยแก้ปัญหาความแห้งแล้งของแคว้นต้าฉู่เราที่ดำเนินมาต่อเนื่องหลายเดือน"หานซีเยว่ก็เอ่ยปากว่า "แล้วยังมีคนบอกอีกนะว่าฮ่องเต้ทรงเห็นดอกบัวสีทองอร่ามตกลงมาในตำหนักชิงอวิ๋นด้วยพระเนตรของพระองค์เอง และองค์หญิงน้อยก็มีดอกบัวที่แขนด้วย"หลังจาก
เหออวี่เหยาคิดว่านางไม่ได้ติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องมาตั้งหลายปีแล้ว น้องน่าจะไม่สนใจนาง ไม่คิดว่าเขาจะจำวันครบรอบของท่านแม่ได้ จึงรีบเอ่ยปากว่า "ที่อารามหมิงจิ้ง"ฮ่องเต้ต้าฉู่พยักหน้า "เป็นสิ่งที่สมควร อันกั๋วกงตายเพื่อแคว้นต้าฉู่ ข้าก็ควรแสดงน้ำใจ จิ่นเหยา เดี๋ยวถึงวันนั้นเจ้าก็ไปกับฉู่เยี่ยนด้วยสิ"องค์รัชทายาทรีบลุกขึ้นตอบรับองค์ชายสองก็ลุกขึ้นตามไปด้วย "เสด็จพ่อ พวกเขาไปกันหมดแบบนี้ ให้กระหม่อมไปด้วยนะพะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นลูกชายคนที่สองชอบตามติดองค์รัชทายาท เขามีท่าทางเชื่อฟังองค์รัชทายาทเอามากๆ เขาชอบพี่น้องสองคนนี้รักใคร่กลมเกลียว จึงตอบตกลงเหออวี่เหยาซาบซึ้งใจ นางรีบคุกเข่าลงขอบพระทัยหรงเหวินเมี่ยวและหานซีเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็มองหน้ากัน ทั้งคู่สบตากัน แน่นอนว่ากำลังดีใจแทนอวี่เหยาลู่ซิงหว่านเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มพึมพำ[ดูผู้มีความสามารถคู่นี้สิ พี่ชายรัชทายาทและพี่สาวตระกูลหาน ตอนนี้ได้รับพระราชทานสมรสจากเสด็จพ่อแล้ว เดี๋ยวหลังจากพี่สาวตระกูลหานครบสิบห้าแล้ว ไม่นานก็คงจะแต่งงานกัน][ตามในหนังสือนิทาน หรงเหวินเมี่ยวก็ช่วยพี่สองต่อสู้เพื่อความถูกต้อง หลังจาก
หรงเหวินโจวหันมองท่านแม่และลองหยั่งเชิงว่า "ท่านแม่ขอรับ ข้าไปนะขอรับ""ไปเถอะๆ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าควรรวมตัวกันเล่นสนุกดีแล้ว" ฮูหยินหรงย่อมรู้ความคิดของหรงเหวินโจวแม้ว่านางจะไม่ชอบใต้เท้าเหอและนางหลินภรรยาปัจจุบันของเขา แต่เมื่อสมันสาวๆ นางเคยได้พบกับเผยเสียนลูกสาวของอันกั๋วกงอยู่หลายครั้ง เผยเสียนมีชื่อเสียงดีงามในหมู่เพื่อนสนิทของนาง แต่ไม่รู้ทําไมนางถึงแต่งงานกับคนตระกูลเหอนั่นได้ทุกวันนี้ลูกสาวของนางแม้จะโดนนางหลินกดขี่ข่มเหง แต่ก็เด็กคนนั้นเป็นเด็กสาวที่มุงมั่น ตัวเองชอบนางมากฟังนางหลินพูดก็รู้ว่านางคิดอะไร นางอยากจะจับคู่กับพี่โจวและเหออวิ๋นเหยาลูกสาวแท้ๆ ของนางมากกว่า แต่แน่นอนว่านางก็ไม่เต็มใจตัวนางก็เข้าใจความหมายของลูกสาวเช่นกัน ดังนั้นพอสาวใช้ของลูกสาวมา นางก็รู้ทันทีว่าคิดจะทำอะไรมองพวกองค์ชายคนเดินไปจากระยะไกล นอกจากเสิ่นเป่าซวงแล้ว คนที่ไม่พอใจก็ยังมีเหออวิ๋นเหยาด้วยไม่รู้ว่าพี่สาวของตัวเองไปกล่อมพี่เหวินโจวยังใง เขาถึงมาช่วยในการแข่งขันขี้ม้าตีคลีวันนี้ ทำให้นางต้องพ่ายแพ้ตอนนี้ก็ไปเกี่ยวข้องกับพวกองค์รัชทายาทอีก มันน่าหงุดหงิดจริง ๆตอนนี้นางจึงไม่ได
เหออวิ๋นเหยาโมโหมาจากงานขี้ม้าตีคลี เดี๋ยวกลับถึงจวนก็ต้องไปบ่นกับท่านแม่"ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้พี่ทำให้ข้าอายที่งานขี้ม้าตีคลี อย่างไรก็จะเอาให้รู้แพ้รู้ชนะให้ได้" เหออวิ๋นเหยพูดพลางเข้าหานางหลินและร้องไห้ฟูมฟายเมื่อตอนที่นางหลินเพิ่งแต่งเข้าจวนเหอใหม่ๆ ก็ยังแสร้งทำเป็นแม่ที่มีเมตตาแต่ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อมีแม่เลี้ยงพ่อก็จะกลายเป็นพ่อเลี้ยงไปด้วยและเนื่องจากตอนนี้จวนอันกั๋วได้ก็ไม่มีอยู่แล้วด้วย ราชเลขาเหอจึงไม่สนใจลูกสาวคนโตของเขาอีกต่อไปนางหลินเห็นว่าราชเลขาเหอเป็นแบบนี้ ก็เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางออกมา รังแกเหออวี่เหยาอย่างโจ่งแจ้งเมื่อเห็นเหออวิ๋นเหยาทำแบบนี้ เหออวี่เหยากลับไม่พูดอะไร เพียงแต่ยืนอยู่ในมุมห้องโถงและมองดูพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูก"เจ้าลูกทรพี ทำวงตระกูลต้องขายหน้า" ราชเลขาเหอตำาหนิเหออวี่เหยาโดยไม่สนใจความจริงใดๆ ทั้งนั้นนางก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านพ่อ พูดแต่เพียงว่า วันนี้ข้าได้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับพระสนมมา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเกี่ยวกับวันครบรอบการตายของท่านแม่ ว่าให้องค์รัชทายาทไปไหว้หลุมศพท่านแม่ที่อารามหมิงจิ้ง"หึ..." นางหลินกลับเยาะเย้ยว่า "สถานที
ถ้าลู่ซิงหว่านได้รู้ ก็คงจะพูดประมาณว่า [ท่านแม่ ขอบคุณท่านจริงๆ แต่ข้าไม่อยากไปตากแดดตากลมที่ค่ายทหาร เพียงอยากอยู่ในวังเป็นดอกไม้งามเล็กๆ ก็พอแล้ว]เมื่อนึกถึงเสียงในใจของหวานหว่าน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้ตระหนักถึงอีกเรื่องหนึ่งจึงรีบเปิดผ้าม่านรถ มองไปทางจิ่นซินซึ่งอยู่ด้านนอก “จิ่นซิน เจ้าพาคนไปที่จวนราชเลขากรมแรงงานใต้เท้าเหอ บอกเขาว่าอีกสี่วันข้างหน้าครบรอบวันเสียชีวิตของเหอฮูหยิน องค์ชายรัชทายาทจะไปร่วมงานด้วย”จิ่นซินมองหน้าเฉินกุ้ยเฟยด้วยความแปลกใจ คำพูดนี้เมื่อครู่ก็ได้กล่าวกับคุณหนูเหอไปแล้ว เหตุใดจึงต้องไปอีกครั้งหนึ่งจิ่นอวี้อยู่ข้างๆ พูดแทรก “พระสนมคิดจะให้กำลังใจคุณหนูเหอหรือเจ้าคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า “จิ่นซินเป็นเด็กโง่นัก หากไม่มีข้า ดูซิเจ้ายังจะอยู่ในวังหลวงได้ยังไง”จิ่นซินใช้คำพูดเง้างอดซึ่งมีแต่พวกนางที่ฟังออก “หากไม่มีพระสนม จ้างให้ข้าก็ไม่มาอยู่ในวังหลวงหรอกเจ้าค่ะ”จิ่นซินรับบัญชาจากพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เรียกตัวบ่าวไพร่บางคน ตามกันไปจวนตระกูลเหอและการมาถึงของจิ่นซิน ก็ทันได้ยับยั้งมิให้เหออวี๋เหยาถูกตบหน้าเข้าบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโถง ไม่ท
รอจนเหออวี่เหยามาถึงห้องโถงหน้า ใต้เท้าเหอก็ชักสีหน้าบึ้งตึงพร้อมด่าว่าอีก “ทำไมออกมาชักช้านัก ปล่อยให้ผู้อื่นต้องรอนานน่ะ”เหออวี่เหยาไม่คิดกล่าวตอบ แต่หันไปคารวะจิ่นซิน “จิ่นซินกูกูรอนานแล้ว”จิ่นซินรีบพยุงนางขึ้น “คุณหนูเหออย่าได้เกรงใจ พระสนมให้บ่าวมาเรียนคุณหนู ว่าอีกสี่วันข้างหน้าครบรอบวันตายของอดีตเหอฮูหยิน องค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายรองจะมาร่วมงานด้วย รบกวนคุณหนูเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อไม่ให้เสียงานใหญ่”เหออวี่เหยารู้สึกซาบซึ้งในความเมตตา จึงได้พยักหน้าตอบรับใต้เท้าเหอได้ยินเข้าก็ตกตะลึง เมื่อครู่ธิดาคนโตบอกว่าวันครบรอบวันตายของเผยเสียน องค์ชายรัชทายาทจะเสด็จมาเซ่นไหว้ เขายังไม่เชื่อด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริงแอบปรายตาไปทางนางหลินโดยไม่ตั้งใจ ทั้งคู่สบสายตากันนางหลินรีบเดินมากล่าวยิ้มแย้ม “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังต้องรบกวนให้กูกูมาด้วยตนเองอีก”กล่าวจบก็ให้สาวใช้ข้างกายมอบซองแดงให้จิ่นซินหนึ่งใบจิ่นซินปฏิเสธไม่รับ “เราเป็นคนของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ไม่เคยมีธรรมเนียมเช่นนี้ รบกวนฮูหยินเก็บไว้เถอะ”จิ่นซินหันไปมองเหออวี่เหยา พร้อมดึงมือนางไว้ “พระสนมยังกล่าว
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับดูไม่เดือดร้อน “พวกเจ้าลองบอกซิว่า คนที่ปล่อยข่าวลือ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร”จิ่นซินและจิ่นอี้ต่างสบสายตากัน จิ่นซินกล่าวตอบ “ย่อมเป็นการสร้างปัญหาให้พระสนม และทำให้ฝ่าบาททรงเกิดความระแวง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับตอบยิ้มๆ “ในเมื่อนางคิดสร้างปัญหาให้ข้า แล้วข้ายังจะไปข้องแวะด้วยทำไม ปล่อยพวกนางไปก็สิ้นเรื่อง”“แต่ว่าพระสนม...”จิ่นอวี้คิดจะพูดต่อ กลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยขัดจังหวะ “เราบริสุทธิ์ใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใดๆ”ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะชื่นชม[สมแล้วที่เป็นธิดาในตระกูลแม่ทัพ อีกทั้งเคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก]ทันใดนั้นเอง สุรเสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็แว่วเข้ามา “ชิงเหยียนพูดถูกต้อง ขอเพียงเราบริสุทธิ์ใจ”ทุกคนต่างพากันถวายบังคมต่อฮ่องเต้ฮ่องเต้ต้าฉู่ตรงเข้าพยุงพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “ข้าได้ยินข่าวนี้แล้ว แต่ยังไงก็เชื่อใจเจ้า”ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะแบะปากเล็กน้อย[จริงหรือ? ท่านเชื่อใจท่านแม่แน่นะ ในใจก็ต้องมีความระแวงบ้างล่ะ][เพียงแต่ไม่อยากเสียเกียรติของฮ่องเต้ อยากให้ท่านแม่มองว่าท่านใจกว้าง จึงได้พูดเช่นนี้กระมัง][หากเชื่อ
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต