เมื่องานเลี้ยงเลิกลาแล้ว ขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้จิ่นอวี้ไปรายงานฮ่องเต้ต้าฉู่ที่ห้องทรงอักษร พระองค์ยังคงนั่งอยู่เพียงลำพังเมื่อจิ่นอวี้กลับมารายงานที่ตำหนังชิงอวิ๋น ลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ[จริง ๆ แล้ว แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปเล็กน้อย แต่ทิศทางความเป็นไปจะไม่เปลี่ยนแปลง][คืนนี้เสด็จพ่อยังยุ่งอยู่ในห้องทรงอักษร ส่วนหนิงอ๋องก็ไปยุ่งอยู่ในตำหนักสนมลี่ผินแล้ว][ถุย ๆ ๆ ข้าเป็นแค่เด็กอายุสามเดือน จะพูดอะไรสกปรกเช่นนี้ได้ยังไง! ข้าต้องตบตัวเองสักฉาดแล้วมั้งเนี่ย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบก้มลงมาดู พบว่าหวานหว่านนอนกระดิกเท้าเล็ก ๆ อยู่อย่างสบายใจ ๆ ที่แท้ก็แค่ล้อเล่นนางต่างหากที่กังวลเกินไปหลายวันมานี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้หวานหว่านมานอนในห้องตัวเองตลอดอาจเป็นเพราะนางเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดจริง ๆ หวานหว่านไม่ทำให้ต้องกวนใจเลย ไม่เพียงแต่จะนั่งได้มั่นคงตั้งแต่อายุเพียงสามเดือน แต่ยังไม่ตื่นนอนมางอแงตอนกลางคืนด้วย ดังนั้นจึงสามารถนอนกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ทั้งคืนอย่างไรก็ตาม เรื่องของสนมลี่ผิน ตนยังต้องคิดหาวิธีบอกให้ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ให้ได
ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังคงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “ข้ามันไม่ดูตาม้าตาเรือ มาขัดจังหวะความสุขของเจ้าเสียได้”“เสด็จพี่... เสด็จพี่...” หนิงอ๋องก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พยายามจะคว้าชายเสื้อของฮ่องเต้ต้าฉู่ แต่ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่หลบได้อย่างง่ายดายในขณะนี้สนมลี่ผินที่บนอยู่บนเตียงก็คว้าเอาเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาคลุมตัวแล้วร้องไห้ฟูมฟายคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ขอให้ฝ่าบาทเป็นพยานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หนิงอ๋องแห่งแคว้นต้าฉู่ข่มเหงหม่อมฉัน...”พูดทันไม่จบก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่ขัดจังหวะเสียก่อน “หุบปาก”พระองค์หันกลับมามองจูกู่ซานอีกครั้ง “จงคุมตัวสองคนนี้แยกกัน แล้วส่งคนไปจับตาดูคนของคณะทูตไว้ให้ดี"สนมลี่ผินได้ยินดังนั้นก็ลนลาน รีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะหนิงอ๋อง...”แต่พอเจอเข้ากับสายตาฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก“แคว้นเยว่เฟิงแกล้งทำทีส่งองค์หญิงมาให้เป็นสนมข้า แต่จริง ๆ แล้วเป็นสายลับที่แคว้นเยว่เฟิงส่งมาสอดแนม แถมยังมาล่อลวงน้องชายแท้ ๆ ของข้าอีก ในเมื่อแคว้นเยว่เฟิงไม่มีความจริงใจ ไม่สู้เราจึงเปลี่ยนวิธีคุยกันจะดีกว่า”พูดจบก็หันหลังออกจากตำหนักจีชางโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อเหอเหลียนเหรินซินได้ยินจูกู่ซานพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหรงอ๋องก็ลอยมาทันที หรือว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะรู้เรื่องเข้าแล้ว?เขาร้อนตัวเล็กน้อย ตอนนี้ตนอยู่ในแผ่นดินของเขาแบบนี้ ถ้าแผนการของตนถูกจับได้ เกรงว่า...หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้วว่าทหารรักษาพระองค์ของแคว้นต้าฉู่จะกักบริเวณตัวเองอย่างไร แต่รีบขึ้นรถม้าที่จูกู่ซานนํามาและติดตามพวกเขาเข้าวังไปหลังจากทั้งสองจากไป เสียงสนทนาบนถนนก็ดังขึ้นมา“องค์รัชทายาทเหอเหลียนยังคิดจะมาใส่ร้ายแคว้นต้าฉู่ของเราอีกเหรอ? องค์หญิงของแคว้นตัวเองก็ดูแลให้ดีไม่ได้ ส่งมาให้ขายหน้าเขาเปล่า ๆ...”“อยู่ในแผ่นดินต้าฉู่ของเราแท้ ๆ ยังกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้อีก นี่ถ้าเป็นที่แคว้นเยว่เฟิงไม่รู้จะพูดไร้สาระอะไรบ้าง?”“อันกั๋วกงก็ตายในน้ำมือของคนแคว้นเยว่เฟิงไม่ใช่หรือ?”“ฝ่าบาทควรส่งทหารไปจัดการแคว้นเยว่เฟิงเสีย ดูสิว่าพวกเขาจะยังกล้าอาละวาดอยู่ไหม"......ราษฎรที่เดิมที่โหยหาสันติภาพ กลับรู้สึกอยากให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ส่งทหารไปรบกับแคว้นเยว่เฟิงสักทีเมื่อเหอเหลียนเหรินซินมาถึงห้องทรงอักษร พบว่าขุนนางสำคัญของแคว้นต้าฉู่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษรเต็มไปหมดแม้ว่านี่จะเ
หนิงอ๋องกลับคิดกบฏเสียได้“เสด็จพี่ ๆ โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่มา หนิงอ๋องที่ถูกทรมานก็รีบพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกเมิ่งฉวนเต๋อขวางไว้“เสด็จพี่ หรงอ๋องต่างหากที่คิดก่อกบฏ เป็นฝีมือหรงอ๋อง เขาบอกว่า... บอกว่าฝ่าบาทให้อำนาจแก่กระหม่อมทั้งสองคนน้อยเกินไป ถ้าโค่นล้มฝ่าบาทได้ แล้วเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน เขาจะยกสถานะของกระหม่อมให้สูงขึ้นอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพี่ กระหม่อมหลงผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”ฮ่องเต้ต้าฉู่พูดช้า ๆ ว่า “เจ้าโลภในอำนาจขนาดนี้เลยหรือ?”หนิงอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าเย็นชา วันนี้เขาถูกทรมานมากมายในตอนเช้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ต้าฉู่ดีกับตัวเองมาก จนทำให้เขาลืมไปว่าเดิมทีพระองค์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนเลย“เสด็จพี่ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพี่ทรงได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองหนิงอ๋องที่อยู่แทบเท้าแล้วเอ่ยปากสั่ง เมิ่งฉวนเต๋อให้ประกาศพระราชโองการว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ แต่ด้วยเป็นพี่น้องกับข้า ให้ถอนฐานันดรอ๋อง ยึดดินแดนคืน และกักบริเวณให้จวนหนิงอ
เผยฉู่เยี่ยนรู้สึกว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ปล่อยให้ลู่ซิงหว่านตัวน้อยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาเฝ้าอยู่ข้างเตียงลู่ซิงหว่านทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมพักผ่อนผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแต่ลู่ซิงหว่านก็ยังไข้สูงไม่ลดวันรุ่งขึ้นพอฟ้าสว่างสนมหนิงผินก็มาเพราะว่าสนมหนิงผินเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ค่อยรู้จักนางเท่าไหร่ จึงเกิดความระแวงเล็กน้อย เลยทำตัวให้สดชื่นไปต้อนรับนาง“พระสนมกุ้ยเฟย" สนมหนิงผินกล่าวหลังจากคุกเข่าลงทำความเคารพพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงหย่งอันเป็นผื่นและเป็นไข้อยู่”พูดจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหมือนจะดูท่าทีจากนั้นก็พูดด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันเคยเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ลองให้หม่อมฉันช่วยดูอาการองค์หญิงให้ดีไหมเพคะ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทางรักษา”แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลสนมหนิงผินดูเหมือนเล็งเห็นความกังวลของพระสนมกุ้ยเฉินจึงเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นพระสนมเชิญหมอหลวงจ้าวมาก็ได้นะเพคะ ถ้าหม่อมฉันขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้ให้หมอหลวงจ้าวช่วยชี้แนะให้ได้ทันเวลา”เมื่อเห็นสนมหนิงผินพูดดังนี้ พระสนมเฉิ
"เพียงแต่ว่า..." สนมหนิงผินลังเลพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าสนมหนิงผินมีเรื่องจะข้อร้อง จึงรีบเอ่ยปากว่า "สนมหนิงผิน เจ้ามีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลยแค่ ขอแค่ข้าทำให้ได้..."แต่นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกสนมหนิงผินขัดจังหวะขึ้นมาก่อนว่า "ครั้งนี้องค์หญิงไม่ได้แพ้อะไร แต่ว่าโดนวางยาพิษ พิษนี่ต้องมีต้นตอ ต้องตรวจสอบให้ละเอียดถึงจะได้นะเพคะ"เผยฉู่เยี่ยนที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ มาตลอดจึงเอ่ยปากว่า "พระสนม กระหม่อมจะไปเองพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางว่าแบบนี้ก็ได้แต่พยักหน้ารับ ถ้ามันสามารถทำให้ซื่อจื่อเผยสบายใจได้ ให้เขาไปตรวจสอบก็ใช่ว่าจะไม่ได้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยขอบคุณสนมหนิงผินครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่นางกลับไปแล้ว ถึงเรียกเหมยหยิ่งและหลานหยิ่งเข้ามา บอกให้ทั้งสองไปตรวจสอบเรื่องพิษที่หว่านหว่านโดนด้วยกัน เสร็จแล้วจึงกลับไปที่ห้องด้านในตอนนี้ลู่ซิงหว่านหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว สองวันนี้พิษทำเอานางเหนื่อยมาก ตอนนี้พอสบายตัวแล้วจึงหลับลึกส่วนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เฝ้านางอยู่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังจากข้างนอก ดังจนลู่ซิงหว่านตื่นจิ่นซินวิ่งเข้
เมื่อเห็นเผยฉู่เยี่ยนกล่าวหาตัวเอง องค์หญิงลู่ซิงหุยก็ตวาดเถียงทันที "เจ้าใส่ร้ายข้า เจ้าเป็นแค่ข้าราชบริพาร เสด็จพ่อเห็นว่าเจ้าพ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ จึงสงสารเจ้า..."องค์หญิงหกพูดมาถึงตรงนี้ ก็ถูกองค์รัชทายาทขัดจังหวะ "ซิงหุย!"องค์รัชทายาทเป็นคนอ่อนโยนมาโดยตลอด ลู่ซิงหุยไม่เคยเห็นองค์รัชยาทที่พูดจาแข็งกร้าวแบบนี้มาก่อนเลย จึงตกตะลึงชะงักงันองค์รัชทายาทยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ระวังคําพูดด้วย"แม้แต่องค์ชายสองก็ยังอดไม่ได้ต้องหันไปมององค์รัชทายาท เป็นที่ทราบกันดีว่าองค์รัชยาทมีนิสัยอ่อนโยนเป็นที่สุด ขาดความเด็ดขาดแบบที่องค์ชายควรมีด้วยซ้ำ เขาไม่เคยเห็นองค์รัชทายาทเป็นแบบนี้มาก่อนบางที เขาอาจจะประเมินองค์รัชทายาทต่ำเกินไป"พี่ชายองค์รัชทายาท" พอองค์หญิงหกกลับตั้งสติกลับมาได้ก็มองไปที่องค์รัชทายาทแล้วร้องไห้ "ไม่ว่ายังไง เขาก็ลากหม่อมฉันมาตลอดทางแบบนี้ไม่ได้ หม่อมฉันเป็นองค์หญิงนะเพคะ!"เผยฉู่เยี่ยนที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้น ขอถามองค์หญิงหกหน่อยพ่ะย่ะค่ะว่า การวางแผนทำร้ายน้อง สาวแท้ๆ ของตัวเอง ควรต้องโทษยังไงพ่ะค่ะค่ะ?”ลู่ซิงหว่านเผลอมองไปที่เผยฉู่
องค์หญิงหกเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบ เมื่อถูกข่มขู่แบบนี้ไม่นานก็สารภาพหมดเปลือกลู่ซิงหว่านอึ้ง[ทำไมถึงได้มีคนไร้ยางอายขนาดนี้ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตระกูลชุยจะทำร้ายเราและท่านแม่ของเรา พอมาถึงปากเจ้า ทำไมเจ้าถึงบอกว่าข้าเป็นคนทำร้ายตระกูลชุยนั่นซะงั้นล่ะ][ยังบอกว่าคนรับใช้ในวังให้มาอีก เกรงว่าเจ้าคงพยายามอย่างหนักเพื่อหามันมามากกว่า][ยังไงข้าก็เป็นคนที่อยู่มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว แค่กลอุบายตื้น ๆ แบบนี้ เอาไปหลอกเด็กอย่างว่า แต่จะมาหลอกข้างั้นหรือ? เหอะ]แต่องค์รัชทายาทกลับจับประเด็นได้ว่า "คนในวังที่ว่าอยู่ที่ไหน?"องค์หญิงหกเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทน้ำตาคลอเบ้า "หม่อมฉันไม่รู้เพคะ"เผยฉู่เยี่ยนกลับไม่หลงเชื่อ เขาทำเสียงเหอะ "ถ้ากระหม่อมให้สารหนูแก่องค์หญิงหก บอกแค่ว่านี่คือน้ำตาลทราย องค์หญิงก็จะกินเข้าไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?""ในเมื่อองค์หญิงเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วทำไมถึงกล้าเอามาใช้กับองค์หญิงหย่งอัน ถ้ามันทำให้นางตายขึ้นมาจริงล่ะพ่ะย่ะค่ะ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาร้ายอยู่หรือ"องค์หญิงหกเห็นท่าทางโกรธมากของเผยฉู่เยี่ยน ก็เถียงไม่ออกชั่วขณะนั้นเหตุการณ์ทุกอย่า
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต