เมื่อเหอเหลียนเหรินซินได้ยินจูกู่ซานพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหรงอ๋องก็ลอยมาทันที หรือว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะรู้เรื่องเข้าแล้ว?เขาร้อนตัวเล็กน้อย ตอนนี้ตนอยู่ในแผ่นดินของเขาแบบนี้ ถ้าแผนการของตนถูกจับได้ เกรงว่า...หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้วว่าทหารรักษาพระองค์ของแคว้นต้าฉู่จะกักบริเวณตัวเองอย่างไร แต่รีบขึ้นรถม้าที่จูกู่ซานนํามาและติดตามพวกเขาเข้าวังไปหลังจากทั้งสองจากไป เสียงสนทนาบนถนนก็ดังขึ้นมา“องค์รัชทายาทเหอเหลียนยังคิดจะมาใส่ร้ายแคว้นต้าฉู่ของเราอีกเหรอ? องค์หญิงของแคว้นตัวเองก็ดูแลให้ดีไม่ได้ ส่งมาให้ขายหน้าเขาเปล่า ๆ...”“อยู่ในแผ่นดินต้าฉู่ของเราแท้ ๆ ยังกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้อีก นี่ถ้าเป็นที่แคว้นเยว่เฟิงไม่รู้จะพูดไร้สาระอะไรบ้าง?”“อันกั๋วกงก็ตายในน้ำมือของคนแคว้นเยว่เฟิงไม่ใช่หรือ?”“ฝ่าบาทควรส่งทหารไปจัดการแคว้นเยว่เฟิงเสีย ดูสิว่าพวกเขาจะยังกล้าอาละวาดอยู่ไหม"......ราษฎรที่เดิมที่โหยหาสันติภาพ กลับรู้สึกอยากให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ส่งทหารไปรบกับแคว้นเยว่เฟิงสักทีเมื่อเหอเหลียนเหรินซินมาถึงห้องทรงอักษร พบว่าขุนนางสำคัญของแคว้นต้าฉู่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษรเต็มไปหมดแม้ว่านี่จะเ
หนิงอ๋องกลับคิดกบฏเสียได้“เสด็จพี่ ๆ โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่มา หนิงอ๋องที่ถูกทรมานก็รีบพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกเมิ่งฉวนเต๋อขวางไว้“เสด็จพี่ หรงอ๋องต่างหากที่คิดก่อกบฏ เป็นฝีมือหรงอ๋อง เขาบอกว่า... บอกว่าฝ่าบาทให้อำนาจแก่กระหม่อมทั้งสองคนน้อยเกินไป ถ้าโค่นล้มฝ่าบาทได้ แล้วเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน เขาจะยกสถานะของกระหม่อมให้สูงขึ้นอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพี่ กระหม่อมหลงผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”ฮ่องเต้ต้าฉู่พูดช้า ๆ ว่า “เจ้าโลภในอำนาจขนาดนี้เลยหรือ?”หนิงอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าเย็นชา วันนี้เขาถูกทรมานมากมายในตอนเช้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ต้าฉู่ดีกับตัวเองมาก จนทำให้เขาลืมไปว่าเดิมทีพระองค์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนเลย“เสด็จพี่ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพี่ทรงได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองหนิงอ๋องที่อยู่แทบเท้าแล้วเอ่ยปากสั่ง เมิ่งฉวนเต๋อให้ประกาศพระราชโองการว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ แต่ด้วยเป็นพี่น้องกับข้า ให้ถอนฐานันดรอ๋อง ยึดดินแดนคืน และกักบริเวณให้จวนหนิงอ
เผยฉู่เยี่ยนรู้สึกว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ปล่อยให้ลู่ซิงหว่านตัวน้อยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาเฝ้าอยู่ข้างเตียงลู่ซิงหว่านทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมพักผ่อนผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแต่ลู่ซิงหว่านก็ยังไข้สูงไม่ลดวันรุ่งขึ้นพอฟ้าสว่างสนมหนิงผินก็มาเพราะว่าสนมหนิงผินเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ค่อยรู้จักนางเท่าไหร่ จึงเกิดความระแวงเล็กน้อย เลยทำตัวให้สดชื่นไปต้อนรับนาง“พระสนมกุ้ยเฟย" สนมหนิงผินกล่าวหลังจากคุกเข่าลงทำความเคารพพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงหย่งอันเป็นผื่นและเป็นไข้อยู่”พูดจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหมือนจะดูท่าทีจากนั้นก็พูดด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันเคยเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ลองให้หม่อมฉันช่วยดูอาการองค์หญิงให้ดีไหมเพคะ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทางรักษา”แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลสนมหนิงผินดูเหมือนเล็งเห็นความกังวลของพระสนมกุ้ยเฉินจึงเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นพระสนมเชิญหมอหลวงจ้าวมาก็ได้นะเพคะ ถ้าหม่อมฉันขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้ให้หมอหลวงจ้าวช่วยชี้แนะให้ได้ทันเวลา”เมื่อเห็นสนมหนิงผินพูดดังนี้ พระสนมเฉิ
เมื่อลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวอุ่น ๆ บางอย่าง และมีพลังบางอย่างกําลังผลักนางอยู่ในเวลาเดียวกันด้วยนางมุดออกไปตามแรงนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าที่หัวของนางนั้นมีมือข้างหนึ่งคอยผลักนางเข้าไปข้างใน“โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน!”ขณะเดียวกัน เสียงร้องด้วยเจ็บปวดที่อ่อนเพลียก็ดังขึ้นจากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท "พระสนม! ออกแรงเร็วเพคะ”“ข้าเหนื่อยมาก ข้าไม่มีแรงแล้วจริงๆ...”"พระสนม ห้ามท้อใจเด็ดขาดนะเพคะ พระสนม รีบออกแรงสิเพคะ!”ลู่ซิงหว่านถึงตระหนักถึงว่าตัวเองกลายเป็นทารกในครรภ์ไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?นางกําลังข้ามทัณฑ์สายฟ้าฟาดอยู่ไม่ใช่หรือ?หรือนี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากทัณฑ์ด้านจิตใจของนาง?แต่ว่า...นางลองแกว่งกําปั้นเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไปมา อีกทั้งความเจ็บปวดจากการถูกบีบศีรษะก็ล้วนบอกนางว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นางกลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังถูกคลอดออกมาจริง ๆเพราะฉะนั้น นางล้มเหลวในการข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าฟาดแล้วว่างั้นเถอะแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวเองถึงได้กลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังจะเกิดแบบนี้
[ท่านแม่โปรดวางใจเถิด เดิมข้าควรจะถือกำเนิดนานแล้ว แต่เพราะแม่นมทำคลอดนั้นพยายามจะดันตัวข้าเข้าไปข้างในอยู่ตลอด ข้าจึงยังไม่ได้เกิดเสียที][แต่ตอนนี้แม่นมคนนั้นถูกจับไปแล้ว ไม่มีคนชั่วมาขัดขวาง ข้าคงจะได้เกิดซักที!]ในสมองของพระสนมเฉินได้ยินเสียงพูดอ้อแอ้อย่างมีความสุข ก็ถอนหายใจยาว พร้อมกล่าวกับจิ่นซินว่า “ไม่เป็นไร ลูกใกล้จะคลอดออกมาแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมผ้าห่อตัว แล้วมาช่วยทำคลอดก็พอ”ลู่ซิงหว่านส่งกระแสจิตไปด้านนอก พบว่าจิ่นซินได้เตรียมการพร้อมแล้ว จึงตะโกนในใจด้วยความยินดี [ท่านแม่ เตรียมตัวอีกประเดี๋ยว เราใกล้จะได้พบกันแล้ว]......ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังรับฟังรายงานจากขุนนางเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยแล้ง สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักแคว้นต้าฉู่ไม่มีฝนตกมาเกือบปีแล้ว ทุกหนแห่งล้วนแต่แห้งผากไปหมดต่อให้เป็นดินแดนทางใต้ที่ได้ชื่อว่าล่ำซำ พืชผลทางการเกษตรก็เผชิญกับภาวะน่าเศร้าที่ไร้ผลเก็บเกี่ยวถ้ายังไม่มีฝนตกอีก คาดว่าปีหน้าแคว้นต้าฉู่ คงต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยที่น่ากลัวยิ่งแต่สวรรค์จะประทานฝนหรือไม่ ก็ใช่ว่าฮ่องเต้อย่างเขาจะกำหนดได้นี่นาฮ่องเต้ต้าฉ
หืม?ขณะที่พบว่าเสียงดังกล่าวนี้ดังขึ้นในสมองของตน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตกตะลึงพร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย[ว้าว! ไอ้ท่ายักคิ้วนี่ ช่างดูเท่ห์ยิ่งนัก อะไรคือความเท่ห์เหลือใจ ก็คือประมาณนี้แหละ! สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงเสน่ห์ในนิทานเรื่องนี้!][เพียงแต่ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้แบบนี้ จะหลงลูกสาวตัวเองจนเป็นทาสลูกสาวหรือเปล่า?]นิทาน? ทาสลูกสาว?ฮ่องเต้ต้าฉู่มีสีหน้านิ่งเฉย ก้มหน้าลงไปดูทารกในอ้อมแขนดังนั้น เสียงที่อยู่ในสมองนี้ ก็คือเสียงของลูกสาวเขาหรือ?ฮ่องเต้ต้าฉู่เหลียวมองพระสนมเฉินเฟย เห็นนางมีสีหน้าปกติ ไม่มีอาการอื่นใด ก็แสดงว่าเสียงพูดในใจขององค์หญิงน้อยมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินว่าแล้วเชียว การที่ตนสามารถเจอสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้ คงเพราะตนเป็นโอรสแห่งสวรรค์แน่นอนจากนั้นจึงได้เบิ่งตาพิจารณามองดูทารกน้อยที่ยกสองมือขึ้น ยังพยายามที่จะสัมผัสใบหน้าของตนอย่างไม่ยอมแพ้ฮ่องเต้ต้าฉู่เหยียดริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย พลางยกตัวนางขึ้นสูง และปล่อยให้นางสัมผัสใบหน้าตนตามอำเภอใจไม่ผิดจากที่คิด ใบหน้ากลมแป้นเล็ก ๆ เหยียดปาก พร้อมผุดรอยยิ้มที่ไร้ฟันออกมา[อุ๊ยตาย! ลูบได้แล้ว! ลูบได้แ
ฮ่องเต้ต้าฉู่มองดูลู่ซิงหว่านที่ชูกำปั้นน้อยสองข้างใบหน้ากลมปุ๊กพร้อมกับผิวเนียนใส แต่เพราะดูดนมเร็วเกินไปจึงมีอาการสะอึกเล็กน้อย ท่วงท่าน่ารักจนใครเห็นก็หัวใจแทบละลายทั้ง ๆ ที่เขามีลูกตั้งสิบกว่าคนแล้ว แต่ยังรู้สึกราวกับเพิ่งเป็นพ่อคนครั้งแรก สายตาจ้องมองลู่ซิงหว่านอย่างหลงใหล ประหนึ่งนอกจากนางแล้ว สิ่งอื่นใดในโลกก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาอีกโหรวกุ้ยเหรินคุกเข่าลงที่พื้น จับตาทุกอิริยาบถของฮ่องเต้ต้าฉู่ แววตาเต็มไปด้วยความริษยาและโกรธแค้นเมิ่งฉวนเต๋อซึ่งสั่งให้ปิดปากโหรวกุ้ยเหรินเสีย เพราะเกรงว่าจะรบกวนลู่ซิงหว่านอีก มองเห็นแววตาของนางเข้า รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบเตือนฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ โหรวกุ้ยเหรินผู้นี้...”ฮ่องเต้ต้าฉู่หันหน้ามา แววตาอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปแล้วโบยให้ตายซะ ส่วนตระกูลเดิมของนางให้ปลดเป็นไพร่ เนรเทศไปอยู่หอหนิงกู่!”“ฮือ ๆ ๆ...”สนมโหรวกุ้ยเหรินเบิกตาโพลงคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และถูกลากตัวออกไปในสภาพที่ปิดปากสนิทแบบนั้น[ว้าว! เสด็จพ่อทรงเท่ห์มากเลย!][แต่ว่า ในนิทานไม่ได้เขียนแบบนี้นี่นา โหรวกุ้ยเหริน
“ฝ่าบาท ฟ้าประทานหยาดฝน สายรุ้งเรืองรอง นี่คือประกาศิตจากสวรรค์ ว่าการถือกำเนิดขององค์หญิงเก้า คือวาสนาของแคว้นต้าฉู่เรานะพ่ะย่ะค่ะ!”เมิ่งฉวนเต๋อมองดูปรากฏการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง พร้อมเอ่ยปากทูล มหาขันทีผู้ชาญฉลาด ไม่รู้ว่าจะพูดจริงหรือไม่ แต่ความรักที่ฮ่องเต้ต้าฉู่มีแต่ลู่ซิงหว่าน เป็นสิ่งที่เขาเห็นกับตาอยู่ ในยามนี้ พูดแต่เรื่องน่าฟัง ย่อมจะถูกใจคนฟังมากกว่า“ฮ่าๆๆ ถูกต้อง การเกิดมาของหวานหว่าน คือความเมตตาที่สวรรค์มีต่อข้าจริง ๆ!”ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นด้วยกับคำพูดของเมิ่งฉวนเต๋ออยู่แล้ว ด้วยดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมเอ่ยปากต่อ “สั่งการลงไป คนในตำหนักชิงอวิ๋นทุกคน แจกรางวัลตอบแทนอย่างงามให้หมดทุกคน!”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”ความอารมณ์ดีของฮ่องเต้ต้าฉู่ ยังคงมีต่อเนื่องจนไปถึงหน้าห้องทรงอักษรเท่านั้นแต่แล้วความปลาบปลื้มยินดีที่หวานหว่านนำมาให้เขาก็แทบจะหายไปทันที เมื่อมองเห็นร่างที่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษร“ถวายบังคมเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ!”หรงอ๋องคุกเข่าลงพื้นพร้อมคำนับฮ่องเต้ตามธรรมเนียม“ลุกขึ้นเถิด!” ฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าไม่สู้ดีนัก พร้องเดินเข้าห้องทรงอักษร ตรัสถามหรงอ๋