แต่แล้วองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงกลับยังไม่ยอมแพ้ เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อข้าไม่มีวาสนากับคุณหนูหาน”เขาพูดจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง และมองหานซีเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้งแต่หานซีเยว่กลับไม่ได้มองเขาเลยลู่ซิงหว่านเห็นภาพนี้แล้วก็อดบ่นไม่ได้ว่า[น่าขยะแขยงจริง ๆ เลย แคว้นเยว่เฟิงเลือกคนแบบนี้มาเป็นองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไรกัน ลามกเป็นที่สุด มีองค์รัชทายาทแบบนี้แล้วแคว้นจะยังคงอยู่ได้ยืนนานหรือ?]เมื่อได้ยินเสียงความคิดของลู่ซิงหว่านแล้วฮ่องเต้ต้าฉู่นึกขำในใจฮ่องเต้ทรงคิดในใจว่า สิ่งที่ลูกหวานหว่านพูดนั้นไม่เพียงแต่มีประโยชน์มากเท่านั้น แต่ยังไพเราะเสนาะหูเสียด้วยคุณหนูคุณชายทั้งหลายเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ที่มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงกลัวเสมอ คืนนี้กลับเผลอยิ้มหลายครั้งก็รู้สึกว่าช่างน่าแปลกองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงกล่าวต่อว่า “ให้ฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นคนตัดสินพระทัยดีกว่า ขอฝ่าบาททรงยกองค์หญิงสักพระองค์หนึ่งให้มาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็ยังไม่ลืมที่จะประจบสอพลอต่ออีกหน่อย "ได้ยินมาว่าราชวงศ์ต้าฉู่มีองค์หญิงหลายพระองค์ เห็นท่าทางองค์รัชทายาทแห่งต้าฉู่สดชื่นสดใสเช่น
นางสนมซูผินเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ตอบตกลง ในใจนางปลื้มปิติยิ่งนัก ในใจนางคิดว่านางส่งองค์หญิงไปแต่งงานกับแคว้นอื่นถือเป็นการเสียสละเพื่อแคว้นต้าฉู่ และนี่จะทำให้ตำแหน่งในวังหลังของนางมั่นคงนางกลับไม่เคยคิดมาก่อนว่า ฮ่องเต้ต้าฉู่จะโกรธนางเพราะเรื่องนี้ ต่อจากนี้ไปเรื่องเลื่อนตำแหน่งไม่ต้องพูดถึงเลย ฝ่าบาทถึงขั้นไม่ไปปรากฏตัวที่วังของนางอีกเลยด้วยซ้ำ“ฝ่าบาท” องค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงเมื่อเห็นว่าได้บรรลุเป้าหมายแล้วจึงกล่าวต่ออีกว่า “แคว้นเยว่เฟิงของเราก็มีของกำนัลมาถวายเช่นกัน”แล้วเขาก็ปรบมือ จากนั้นก็มีนางรำกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางดูสะดุดตาเป็นพิเศษหลังจากจบการแสดงองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงก็เดินมายังกลางงานอีกครั้ง “นี่คือน้องสามของข้านามว่าจูลี่ เสด็จพ่อส่งน้องสามมาให้ฝ่าบาทเพื่อแสดงความจริงใจ”หลังจากพูดจบ หญิงสาวที่นามว่าจูลี่ก็เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ และเปิดผ้าคลุมหน้า นางเป็นผู้หญิงที่สวยแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่อยากรับนางสนมต่างชาติ กำลังคิดจะเอ่ยปากปฏิเสธไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงหวานน่ารักของลู่ซิงหว่านดังมาอีกครั้งในตอนนี้[ว้าว ๆ ๆ ฉากเด็ดประจำค่ำคืนนี
เมื่องานเลี้ยงเลิกลาแล้ว ขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้จิ่นอวี้ไปรายงานฮ่องเต้ต้าฉู่ที่ห้องทรงอักษร พระองค์ยังคงนั่งอยู่เพียงลำพังเมื่อจิ่นอวี้กลับมารายงานที่ตำหนังชิงอวิ๋น ลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ[จริง ๆ แล้ว แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปเล็กน้อย แต่ทิศทางความเป็นไปจะไม่เปลี่ยนแปลง][คืนนี้เสด็จพ่อยังยุ่งอยู่ในห้องทรงอักษร ส่วนหนิงอ๋องก็ไปยุ่งอยู่ในตำหนักสนมลี่ผินแล้ว][ถุย ๆ ๆ ข้าเป็นแค่เด็กอายุสามเดือน จะพูดอะไรสกปรกเช่นนี้ได้ยังไง! ข้าต้องตบตัวเองสักฉาดแล้วมั้งเนี่ย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบก้มลงมาดู พบว่าหวานหว่านนอนกระดิกเท้าเล็ก ๆ อยู่อย่างสบายใจ ๆ ที่แท้ก็แค่ล้อเล่นนางต่างหากที่กังวลเกินไปหลายวันมานี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้หวานหว่านมานอนในห้องตัวเองตลอดอาจเป็นเพราะนางเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดจริง ๆ หวานหว่านไม่ทำให้ต้องกวนใจเลย ไม่เพียงแต่จะนั่งได้มั่นคงตั้งแต่อายุเพียงสามเดือน แต่ยังไม่ตื่นนอนมางอแงตอนกลางคืนด้วย ดังนั้นจึงสามารถนอนกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ทั้งคืนอย่างไรก็ตาม เรื่องของสนมลี่ผิน ตนยังต้องคิดหาวิธีบอกให้ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ให้ได
ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังคงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “ข้ามันไม่ดูตาม้าตาเรือ มาขัดจังหวะความสุขของเจ้าเสียได้”“เสด็จพี่... เสด็จพี่...” หนิงอ๋องก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พยายามจะคว้าชายเสื้อของฮ่องเต้ต้าฉู่ แต่ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่หลบได้อย่างง่ายดายในขณะนี้สนมลี่ผินที่บนอยู่บนเตียงก็คว้าเอาเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาคลุมตัวแล้วร้องไห้ฟูมฟายคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ขอให้ฝ่าบาทเป็นพยานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หนิงอ๋องแห่งแคว้นต้าฉู่ข่มเหงหม่อมฉัน...”พูดทันไม่จบก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่ขัดจังหวะเสียก่อน “หุบปาก”พระองค์หันกลับมามองจูกู่ซานอีกครั้ง “จงคุมตัวสองคนนี้แยกกัน แล้วส่งคนไปจับตาดูคนของคณะทูตไว้ให้ดี"สนมลี่ผินได้ยินดังนั้นก็ลนลาน รีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะหนิงอ๋อง...”แต่พอเจอเข้ากับสายตาฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก“แคว้นเยว่เฟิงแกล้งทำทีส่งองค์หญิงมาให้เป็นสนมข้า แต่จริง ๆ แล้วเป็นสายลับที่แคว้นเยว่เฟิงส่งมาสอดแนม แถมยังมาล่อลวงน้องชายแท้ ๆ ของข้าอีก ในเมื่อแคว้นเยว่เฟิงไม่มีความจริงใจ ไม่สู้เราจึงเปลี่ยนวิธีคุยกันจะดีกว่า”พูดจบก็หันหลังออกจากตำหนักจีชางโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อเหอเหลียนเหรินซินได้ยินจูกู่ซานพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหรงอ๋องก็ลอยมาทันที หรือว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะรู้เรื่องเข้าแล้ว?เขาร้อนตัวเล็กน้อย ตอนนี้ตนอยู่ในแผ่นดินของเขาแบบนี้ ถ้าแผนการของตนถูกจับได้ เกรงว่า...หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้วว่าทหารรักษาพระองค์ของแคว้นต้าฉู่จะกักบริเวณตัวเองอย่างไร แต่รีบขึ้นรถม้าที่จูกู่ซานนํามาและติดตามพวกเขาเข้าวังไปหลังจากทั้งสองจากไป เสียงสนทนาบนถนนก็ดังขึ้นมา“องค์รัชทายาทเหอเหลียนยังคิดจะมาใส่ร้ายแคว้นต้าฉู่ของเราอีกเหรอ? องค์หญิงของแคว้นตัวเองก็ดูแลให้ดีไม่ได้ ส่งมาให้ขายหน้าเขาเปล่า ๆ...”“อยู่ในแผ่นดินต้าฉู่ของเราแท้ ๆ ยังกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้อีก นี่ถ้าเป็นที่แคว้นเยว่เฟิงไม่รู้จะพูดไร้สาระอะไรบ้าง?”“อันกั๋วกงก็ตายในน้ำมือของคนแคว้นเยว่เฟิงไม่ใช่หรือ?”“ฝ่าบาทควรส่งทหารไปจัดการแคว้นเยว่เฟิงเสีย ดูสิว่าพวกเขาจะยังกล้าอาละวาดอยู่ไหม"......ราษฎรที่เดิมที่โหยหาสันติภาพ กลับรู้สึกอยากให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ส่งทหารไปรบกับแคว้นเยว่เฟิงสักทีเมื่อเหอเหลียนเหรินซินมาถึงห้องทรงอักษร พบว่าขุนนางสำคัญของแคว้นต้าฉู่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษรเต็มไปหมดแม้ว่านี่จะเ
หนิงอ๋องกลับคิดกบฏเสียได้“เสด็จพี่ ๆ โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่มา หนิงอ๋องที่ถูกทรมานก็รีบพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกเมิ่งฉวนเต๋อขวางไว้“เสด็จพี่ หรงอ๋องต่างหากที่คิดก่อกบฏ เป็นฝีมือหรงอ๋อง เขาบอกว่า... บอกว่าฝ่าบาทให้อำนาจแก่กระหม่อมทั้งสองคนน้อยเกินไป ถ้าโค่นล้มฝ่าบาทได้ แล้วเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน เขาจะยกสถานะของกระหม่อมให้สูงขึ้นอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพี่ กระหม่อมหลงผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”ฮ่องเต้ต้าฉู่พูดช้า ๆ ว่า “เจ้าโลภในอำนาจขนาดนี้เลยหรือ?”หนิงอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าเย็นชา วันนี้เขาถูกทรมานมากมายในตอนเช้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ต้าฉู่ดีกับตัวเองมาก จนทำให้เขาลืมไปว่าเดิมทีพระองค์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนเลย“เสด็จพี่ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพี่ทรงได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองหนิงอ๋องที่อยู่แทบเท้าแล้วเอ่ยปากสั่ง เมิ่งฉวนเต๋อให้ประกาศพระราชโองการว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ แต่ด้วยเป็นพี่น้องกับข้า ให้ถอนฐานันดรอ๋อง ยึดดินแดนคืน และกักบริเวณให้จวนหนิงอ
เผยฉู่เยี่ยนรู้สึกว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ปล่อยให้ลู่ซิงหว่านตัวน้อยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาเฝ้าอยู่ข้างเตียงลู่ซิงหว่านทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมพักผ่อนผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแต่ลู่ซิงหว่านก็ยังไข้สูงไม่ลดวันรุ่งขึ้นพอฟ้าสว่างสนมหนิงผินก็มาเพราะว่าสนมหนิงผินเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ค่อยรู้จักนางเท่าไหร่ จึงเกิดความระแวงเล็กน้อย เลยทำตัวให้สดชื่นไปต้อนรับนาง“พระสนมกุ้ยเฟย" สนมหนิงผินกล่าวหลังจากคุกเข่าลงทำความเคารพพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงหย่งอันเป็นผื่นและเป็นไข้อยู่”พูดจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหมือนจะดูท่าทีจากนั้นก็พูดด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันเคยเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ลองให้หม่อมฉันช่วยดูอาการองค์หญิงให้ดีไหมเพคะ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทางรักษา”แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลสนมหนิงผินดูเหมือนเล็งเห็นความกังวลของพระสนมกุ้ยเฉินจึงเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นพระสนมเชิญหมอหลวงจ้าวมาก็ได้นะเพคะ ถ้าหม่อมฉันขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้ให้หมอหลวงจ้าวช่วยชี้แนะให้ได้ทันเวลา”เมื่อเห็นสนมหนิงผินพูดดังนี้ พระสนมเฉิ
"เพียงแต่ว่า..." สนมหนิงผินลังเลพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าสนมหนิงผินมีเรื่องจะข้อร้อง จึงรีบเอ่ยปากว่า "สนมหนิงผิน เจ้ามีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลยแค่ ขอแค่ข้าทำให้ได้..."แต่นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกสนมหนิงผินขัดจังหวะขึ้นมาก่อนว่า "ครั้งนี้องค์หญิงไม่ได้แพ้อะไร แต่ว่าโดนวางยาพิษ พิษนี่ต้องมีต้นตอ ต้องตรวจสอบให้ละเอียดถึงจะได้นะเพคะ"เผยฉู่เยี่ยนที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ มาตลอดจึงเอ่ยปากว่า "พระสนม กระหม่อมจะไปเองพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางว่าแบบนี้ก็ได้แต่พยักหน้ารับ ถ้ามันสามารถทำให้ซื่อจื่อเผยสบายใจได้ ให้เขาไปตรวจสอบก็ใช่ว่าจะไม่ได้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยขอบคุณสนมหนิงผินครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่นางกลับไปแล้ว ถึงเรียกเหมยหยิ่งและหลานหยิ่งเข้ามา บอกให้ทั้งสองไปตรวจสอบเรื่องพิษที่หว่านหว่านโดนด้วยกัน เสร็จแล้วจึงกลับไปที่ห้องด้านในตอนนี้ลู่ซิงหว่านหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว สองวันนี้พิษทำเอานางเหนื่อยมาก ตอนนี้พอสบายตัวแล้วจึงหลับลึกส่วนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เฝ้านางอยู่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังจากข้างนอก ดังจนลู่ซิงหว่านตื่นจิ่นซินวิ่งเข้