เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังออกมาจากสนามโรงเรียนตั้งแต่เช้า วันนี้เป็นวันที่โรงเรียนเซนต์เอมิลี่จัดงานเทศกาลประจำปีร่วมกับโรงเรียนเซนต์ไมเคิล โรงเรียนชายล้วนที่อยู่ใกล้กัน งานนี้เป็นงานใหญ่ที่ทั้งสองโรงเรียนร่วมกันจัดขึ้นทุกปี เป็นโอกาสที่นักเรียนจากทั้งสองโรงเรียนจะได้พบปะ สังสรรค์ และทำกิจกรรมร่วมกันซาร่าเคยเล่าให้ฉันฟังว่างานนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นักเรียนรอคอยที่สุด เป็นวันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฉันตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่างานนี้จะเป็นอย่างไร เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมเทศกาลนี้“ลิลลี่ พร้อมมั้ย?” ซาร่าถามขณะที่เรากำลังเดินไปที่สนามของโรงเรียน เธอดูตื่นเต้นและร่าเริงเหมือนเคย“ก็พร้อมนะ” ฉันตอบกลับพร้อมกับยิ้มเล็กๆเมื่อเรามาถึงสนาม บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นักเรียนจากทั้งสองโรงเรียนเดินจับกลุ่มพูดคุยกัน บ้างก็เล่นเกม บ้างก็ยืนถ่ายรูปอยู่ที่บูธต่างๆ ที่นักเรียนเซนต์เอมิลี่และเซนต์ไมเคิลร่วมกันจัดขึ้น เสียงเพลงดังไปทั่วทั้งสนาม ผสมกับเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของนักเรียนที่มารวมตัวกันฉันมองไปรอบๆ และเห็นนักเรียนจากเซนต์ไมเคิลหลายคนยืนอย
เช้าวันเสาร์ที่รอคอยก็มาถึง วันนี้ฉันกับซาร่าวางแผนว่าจะไปนั่งเล่นที่ร้านคาเฟ่เปิดใหม่ในเมืองกัน เป็นร้านที่ซาร่าเจอในโซเชียล เธอเล่าให้ฉันฟังว่าร้านนี้มีเครื่องดื่มและขนมหวานที่ทั้งสวยและอร่อยมากๆ ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสออกไปใช้เวลาสบายๆ กับซาร่าในวันหยุดนี้ฉันเลือกชุดที่ดูเรียบง่ายแต่มีสไตล์สำหรับการไปคาเฟ่กับซาร่า ฉันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อผ้าบางเบา ที่ให้ความรู้สึกสบายและคล่องตัว ปลายเสื้อถูกปล่อยชายออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสบายๆ แต่ยังคงความเรียบร้อยอยู่ฉันจับคู่เสื้อเชิ้ตกับกระโปรงยีนส์สีฟ้าอ่อนที่มีความยาวเหนือเข่าเล็กน้อย กระโปรงตัวนี้เป็นกระโปรงทรงเอ (A-line) ที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวานและน่ารัก มีดีเทลเป็นกระดุมแถวเรียงลงมาตรงกลาง ซึ่งทำให้กระโปรงดูมีลูกเล่นที่ไม่เรียบจนเกินไปฉันเลือกใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่โปรดที่ทั้งใส่สบายและเข้ากับชุดได้ดี ส่วนกระเป๋าที่ฉันใช้เป็นกระเป๋าสะพายข้างสีเบจ ขนาดกะทัดรัดพอดีสำหรับใส่ของจำเป็นในการออกไปข้างนอกเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของฉันถูกปล่อยให้ยาวสยายลงมาเป็นลอนธรรมชาติที่ฉันชอบ ผมของฉันยาวและมีน้ำหนัก ทำให้ลอนผมดูพลิ้วไหวไปตามการเคลื่อนไหว
หลังจากที่เราสามคนใช้เวลาที่คาเฟ่อย่างเพลิดเพลิน ก็ได้เวลาที่ต้องกลับแล้ว สุดท้ายครูพีทก็เป็นคนเลี้ยงขนมพวกเรา ซาร่าดูดีใจระริกระรี้เสียน่าหยิกจริงๆ“เฮ้อ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ” ซาร่ายิ้มร่า ขณะที่เดินนำหน้าฉันและครูพีทออกจากร้านคาเฟ่“ขอโทษนะคะ ครูเลยต้องมาเลี้ยงพวกเราเลย”“ไม่เป็นไรนี่” ครูพีทยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว“ซาร่า เดี๋ยวครูไปส่งที่หอนะ” ครูพีทพูดขณะสตาร์ทรถ“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ซาร่าตอบพร้อมกับยิ้มกว้างเมื่อรถเคลื่อนออกจากที่จอดและมุ่งหน้าไปยังหอพัก ฉันนั่งมองวิวข้างทางที่ค่อยๆ ผ่านไป อย่างอิ่มเอมใจเมื่อมาถึงหอพัก ฉันกับซาร่าก็ลงจากรถของครูพีทเพื่อกลับเข้าหอพัก ทันใดนั้นข้อมือของฉันก็โดนดึงรั้งไว้“ครูขอยืมตัวลิลลี่หน่อยนะ”“เอ๊ะ?” ฉันหันไปมองเขาด้วยความงุนงง“จะพาลิลลี่ไปไหนเหรอคะ?”“ไปซื้อหนังสือสำหรับเขียนบทความน่ะ” ครูพีทตอบเรียบๆ“งั้นฉันกลับหอก่อนนะ ขอให้สนุกกับการเลือกหนังสือนะ” ซาร่ามองฉันพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินเข้าหอพักไป“ได้อยู่กันสองคนซะที” ครูพีทยิ้มให้ฉัน“ครูเจ้าเล่ห์จังนะคะ” ฉันบ่นอุบอิบ“หืม? เรียกฉันว่าอะไรนะ?” เขาเลิกคิ้ว“เอ้อ พี่พีทค่ะ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่กับครูพีทในการเตรียมบทความด้านวรรณคดีเพื่อส่งเข้าประกวดการแข่งขันระหว่างโรงเรียน การที่เขาตัดสินใจช่วยฉันในเรื่องนี้ ทำให้ฉันรู้สึกดีใจและมีกำลังใจมากขึ้นในทุกๆ วันครูพีทเป็นครูที่เก่งและมีความรู้ลึกซึ้งในด้านวรรณคดี การสนทนากับเขาทำให้ฉันได้เห็นมุมมองใหม่ๆ และวิธีการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมแต่ทุกครั้งที่เราพบกันในห้องพักครู บทเรียนที่ฉันได้รับกลับไม่ได้มีเพียงแค่การเขียนบทความวรรณคดีเท่านั้น ความใกล้ชิดและความหวาบหวามที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันกลายเป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ทุกครั้งที่เขาโน้มตัวมาดูงานที่ฉันกำลังพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ สัมผัสของเขาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงไม่หยุด ราวกับว่าทุกสัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ซ่อนอยู่“ลิลลี่ ตรงนี้เธอควรขยายความอีกนิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร”ครูพีทพูดพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อดูเนื้อหาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ร่างกายของเขาใกล้ชิดกับฉันมากจนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่แผ่วเบาอยู่ใกล้ๆ“ค่ะ ครู” ฉันตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่ภายในใจกลับรู้สึกหวั่นไหวและตื่นเต้นกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนเซนต์เอมิลี่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมีการประกาศให้นักเรียนภายในโรงเรียนสามารถไปร่วมงานเทศกาลศิลปะที่จัดขึ้นโดยโรงเรียนเซนต์ไมเคิลได้ งานนี้เป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางศิลปะระหว่างนักเรียนจากทั้งสองโรงเรียนฉันและซาร่าตื่นเต้นกับโอกาสนี้มาก เราวางแผนที่จะใช้เวลาทั้งวันในการสำรวจงานเทศกาลและสัมผัสกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ หลังจากที่เรารวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆ และรับบัตรเข้างาน เราก็ออกเดินทางไปยังโรงเรียนเซนต์ไมเคิลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเซนต์เอมิลี่เมื่อมาถึงงานเทศกาล บรรยากาศที่นี่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีนักเรียนและผู้เข้าชมมากมายที่เดินชมผลงานศิลปะต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ทั่วพื้นที่ แสงแดดยามเช้าส่องลงมาทำให้ทุกอย่างดูสดใสและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น เสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดคลอสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนาน ฉันกับซาร่าแทบอดใจไม่ไหวที่จะเริ่มสำรวจงานนี้“ลิลลี่ ดูสิ! มีร้านอาหารสตรีทฟู้ดเต็มไปหมดเลย” ซาร่าพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับชี้ไปที่แถวร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนน“โห ฉันอยากลองทาน
เสียงดนตรีที่โรแมนติกยังคงบรรเลงอยู่เบาๆ ขณะที่ฉันกับวินทัตกำลังเต้นรำอย่างช้าๆ ในลานเต้นรำที่เต็มไปด้วยแสงไฟสลัวๆ บรรยากาศที่อบอุ่นและเงียบสงบทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นฉากจากนิยายรัก วินทัตเป็นคู่เต้นที่สุภาพและอ่อนโยน เขานำฉันเข้าสู่จังหวะเพลงอย่างนุ่มนวล มือของเขาประคองที่เอวของฉัน ขณะที่มืออีกข้างของฉันวางอยู่บนไหล่ของเขาแต่ในขณะเดียวกัน ที่มุมหนึ่งของลานเต้นรำ ครูพีทยืนมองดูพวกเราอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่วินทัต ถ้าทำได้ เขาคงจะตรงเข้าไปกระชากวินทัตให้ออกห่างจากฉันทันที แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ครูพีทพยายามรักษาความสงบเอาไว้ แต่ความรู้สึกหวงแหนและความไม่พอใจที่เห็นวินทัตอยู่ใกล้ชิดกับฉันมากเกินไป ทำให้เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขามองไปรอบๆ และเห็นซาร่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาซาร่าและคว้าแขนเธอเบาๆ“ซาร่า มากับครูสิ” ครูพีทพูดสั้นๆ ก่อนจะลากเธอตรงมาหาฉันและวินทัต“ขอเปลี่ยนคู่เต้นหน่อยนะ” ครูพีทส่งยิ้มเย็นให้กับพวกเรา“เอ้อ..ได้สิครับครู” วินทัตชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยายามยิ้ม“ลิลลี่ มาเต้นกับค
“อ๊า...อื๊อ ช้าหน่อยค่ะ...อา..แฮ่กๆ พี่พีทพอแล้ว..หนูไม่ไหวแล้ว..อ๊ะ..อร๊ายย..”ฉันที่ร่างกายเปลือยเปล่าได้แต่ร้องครวญครางแทบขาดใจ เมื่อคนที่ซุกหน้าอยู่ตรงส่วนที่หวงแหนพริ้วลิ้นชื้นตวัดขึ้นลงที่จุดอ่อนไหวซ้ำๆ ราวกับไม่คิดจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ในขณะที่ฉันเกร็งร่างและครางสั่นจนเหนื่อยอ่อนเขาโมโหอะไรฉันเนี่ย นี่เขาลงลิ้นจนฉันเสร็จคาปากเขาไปห้ารอบแล้วนะ เกร็งจนขาสั่นไปหมดแล้ว เมื่อไหร่เขาจะหยุดทำเสียที“อื้ม..เธอพร้อมแล้วนี่” ครูพีทพึมพำ แล้วสอดนิ้วเรียวยาวกดแทรกเข้าไปในร่องนุ่มนั้น ขยับมันเข้าออกซ้ำๆ จนฉันต้องแอ่นร่างรับการขยับไหวตามนิ้วมือของเขา“อ๊ะ..พี่พีท..พอได้ยังคะ..อ๊า..อย่าบิดนิ้ว..พอแล้ว..แฮ่กๆ” ฉันครางเสียงพร่ากระเส่าบิดกายเล็กเร่าๆ เมื่อเขาเอาแต่รุกเรียวนิ้วเข้ามาไม่หยุด“ชอบเธอที่เป็นแบบนี้จัง” ครูพีทพูดพลางขยับตัวเข้าหา แล้วจับข้อเท้าฉันข้างหนึ่งวางพาดบนบ่าของเขา“พี่พีท...” ฉันได้แต่พึมพำเรียกชื่อเขาเสียงสั่น เมื่อเขาเริ่มดันส่วนล่างของเขาเข้ามา ฉันกัดริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บ มือคว้าท่อนแขนของเขา เมื่อเขาเริ่มดันเข้ามาเรื่อยๆ“ผ่อนคลายหน่อยนะ..” เขาครางออกมาเบาๆ แล
การประกาศออกค่ายภาษาของครูพีทสร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเราทุกคนอย่างมาก โดยเฉพาะตัวฉันเองที่กำลังเผชิญกับความกดดันจากการแข่งขันการเขียนบทความด้านวรรณคดีที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นก่อนถึงวันงานแข่งขัน ซึ่งเป็นการแข่งขันที่สำคัญมาก เพราะมันไม่ใช่แค่การประลองฝีมือระหว่างนักเรียนต่างโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ครูพีทเป็นคนแรกที่สนับสนุนให้ฉันเข้าร่วมแข่งขันนี้ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันต้องทำให้ดีที่สุดฉันจึงดีใจอย่างมากเมื่อครูพีทเสนอแผนการพิเศษนี้ขึ้นมา เขาขออนุมัติจากโรงเรียนให้นักเรียนกลุ่มเล็กๆ ของเขา ซึ่งประกอบด้วยตัวฉัน ซาร่า และเพื่อนๆ ในชมรมวรรณคดี ได้ออกไปพักและฝึกฝนทักษะการเขียนบทความในบรรยากาศที่แตกต่างจากเดิม เราจะไปพักที่โรงแรมมูนไลท์อินน์ ซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ และเหมาะกับการทำงานสร้างสรรค์ นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าการไปค่ายครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจในการเขียนของฉันได้เป็นอย่างดีเมื่อถึงวันที่เดินทาง ฉันและเพื่อนๆ พร้อมด้วยครูพีทมุ่งหน้าสู่โรงแรมด้วยความตื่นเต้น
ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูใจกลางลอนดอนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของผู้คนที่แต่งกายอย่างสง่างาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบหรูตัดกับแสงไฟระยิบระยับ พ่อเฮนรี่และพ่อของครูพีทยืนอยู่ด้านหน้าเวที ทั้งสองทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงออร์เคสตราที่มุมห้อง เพิ่มความหรูหราให้กับบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่งกายงดงามในชุดทางการ ผู้หญิงในชุดราตรียาวสวยหรู ส่วนผู้ชายในสูทตัดเย็บอย่างประณีตฉันยืนอยู่ด้านหลังม่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า สวมชุดราตรีสีขาวงาช้างที่ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ ผ้าซาตินเนื้อดีจับเดรปอย่างประณีต โอบรับช่วงเอวให้ดูคอด ก่อนชายกระโปรงจะบานออกเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อย ผมยาวของฉันถูกเกล้าเป็นมวยต่ำ ประดับด้วยไข่มุกเล็กๆ ที่จัดวางอย่างละเมียดละไม ต่างหูเพชรระยิบระยับที่แม่เลือกให้อย่างพิถีพิถัน ยิ่งช่วยขับความงดงามของลุคนี้ให้สมบูรณ์แบบฉันสูดลมหายใจลึก พยายามสงบจิตใจขณะเสียงพูดคุยจากห้องจัดเลี้ยงดังแว่วเข้ามาเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบาๆ ของแขก
“พี่พีท!!”เสียงอุทานของลิลลี่ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าทั้งงุนงงและไม่เชื่อสายตาของเธอ“ว่าไงครับ?คู่หมั้นของผม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางส่งยิ้มให้เธอ“ทะ...ทำไม?” ลิลลี่ยังคงอึ้งจนแทบพูดไม่ออก คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยปรากฏชัดในสายตาของเธอ“ยังจะปฏิเสธผมอีกมั้ย?” ผมถามยั่วเย้า รอยยิ้มของผมยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของเธอผมยื่นมือขึ้น ลูบแก้มเธอเบาๆ ราวกับต้องการย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของเธอ ความคิดถึงที่เก็บสะสมมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผมแทบระงับไว้ไม่อยู่“คิดถึงจะแย่แล้ว เธอล่ะ คิดถึงฉันมั้ย?”“คือ...หนู...งงไปหมดแล้ว...” ลิลลี่ยังคงมึนงง เธอพึมพำเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น“หนูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ?” ดวงตาคู่สวยจ้องมองผมด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวเล็กเอื้อมมาสัมผัสที่ตัวผมเบาๆ ราวกับต้องการพิสูจน์ผมยิ้มอ่อนให้เธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ กดจูบลงบนริมฝีปากบางของเธอด้วยความอ่อนโยน ความคิดถึงทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้นริมฝีปากของเราส
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พบกับว่าที่คู่หมั้น และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะความคิดในหัว ก่อนที่แม่บ้านจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมสาวใช้ประจำตัวของฉันที่เดินตามหลัง“คุณหนูคะ คุณหญิงสั่งให้เราเตรียมตัวให้คุณดูดีที่สุดค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม“ดูดีที่สุด?” ฉันทวนคำในใจอย่างขมขื่น ราวกับคำสั่งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน“วันนี้คุณหญิงบอกว่ามีแขกคนสำคัญจะมาเยี่ยมค่ะ”สาวใช้พูดเสริม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และหยิบชุดเดรสผ้าซาตินสีขาวออกมาชุดที่พวกเธอเลือกเป็นเดรสที่ดูเรียบหรู ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีเงินที่เข้ากัน ทุกอย่างดูงดงามและเหมาะสมเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเธอช่วยฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เส้นผมยาวสลวยถูกจัดเป็นลอนคลายอย่างอ่อนหวาน และเกล้าครึ่งศีรษะอย่างประณีต ใบหน้าของฉันได้รับการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ชีวิตฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในฝันที่ทั้งสวยงามและวุ่นวายไปพร้อมกัน หลังจากได้รับรางวัลนักเขียนบทวรรณคดีดีเด่น งานเขียนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันพยายามจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองและแสดงให้แม่เห็นว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือการติดต่อกับครูพีท เรายังคงแลกเปลี่ยนข้อความและวิดีโอคอลกันเสมอ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อแท้ คำพูดที่แสนอบอุ่นของเขาก็เหมือนแรงผลักดันที่ช่วยให้ฉันยืนหยัดต่อไปแต่แล้ววันที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...เย็นวันศุกร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฉันเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาวรรณกรรม ใบหน้าฉันยังคงประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากคำชื่นชมที่ได้รับในวันนี้ แต่เมื่อฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไป ฉันต้องชะงัก“แม่?” ฉันเรียกด้วยความประหลาดใจ“แม่มาได้ไงคะ?”“ลิลลี่ ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” แม่พูดเสียงนิ่ง แต่หนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องพักไป ทิ้งฉันไว้กับความงุนงง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไปไม่นานนัก แม่ก็พาฉันมาถึงบ้านของพ่อเฮนรี่ บ้านหล
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน“พี่พีท!!”เสียงของฉันแทบจะหลุดเป็นเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจและดีใจสุดขีด ราวกับว่าเวลาในตอนนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงสายตาของเราที่สบกัน และหัวใจของฉันที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาครูพีทโน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากร้อนทาบลงอย่างแนบแน่น มือใหญ่ประคองใบหน้าฉันไว้มั่น ก่อนจะดันตัวฉันเข้ามาในห้องพร้อมปิดและล็อคประตูเขาดันฉันไปชิดกับผนัง ริมฝีปากกดจูบอย่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนและดูดดุนลิ้นของฉันอย่างลึกซึ้ง จนหัวใจฉันเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะมือของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อของฉัน ปลดตะขอบราออกด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือเลื่อนขึ้นมาสัมผัสอกอวบอิ่ม คลึงเบา ๆ จนยอดถันชูชันตอบรับต่อสัมผัสอันร้อนแรง“อื้ม..”ฉันครางเบา ๆ ในลำคอ ความเสียวซ่านพุ่งผ่านทุกอณูเมื่อปลายนิ้วของเขาบีบคลึงยอดถันกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านฉันดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว มือบางลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของเขา เราสบตากันชั่วครู่ก่อนริมฝีปากจะประกบกันอีกครั้ง จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโ
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางลอนดอน ผู้คนในชุดทางการต่างลุกขึ้นยืนปรบมือแสดงความยินดี ฉันยืนอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งถือรางวัล “นักเขียนบทวรรณคดีดีเด่นแห่งปี” ส่วนอีกข้างยกขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่มาร่วมงานฉันไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตในวัยเพียง 19 ปี จะพาฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้อ่านและนักวิจารณ์ นิตยสารชื่อดังต่างพูดถึงฉันในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในเจเนอเรชันเดียวกันหลังจากการมอบรางวัลสิ้นสุดลง ฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้ม ทีมงานของผู้จัดงานพาฉันไปยังห้องรับรองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างเดิน ฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติและเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกสงบนิ่ง พร้อมที่จะเล่าถึงเส้นทางที่พาฉันมาถึงจุดนี้“คุณลิลลี่ อลิสา วัฒนชัย” มิเชล ผู้สัมภาษณ์คนแรกจาก The London Chronicle สำนักข่าววรรณกรรมชื่อดังแห่งลอนดอนกล่าวขึ้น ขณะนั่งลงตรงข้ามฉันในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหรา“คุณกลายเป็นบุคค
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ค่ำคืนในลอนดอน ฉันนั่งอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ในหอพักของโรงเรียน โรเซนฮิลล์ อินเตอร์เนชันแนล อะคาเดมี โรงเรียนประจำที่แม่ส่งฉันมาเรียนในอังกฤษ ห้องนี้เป็นห้องพักรวม มีเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่ตอนนี้หลับสนิทไปแล้ว หลังจากที่ใช้พลังงานหมดไปกับกิจกรรมในโรงเรียนฉันสวมเสื้อกันหนาวนุ่ม ๆ และเปิดวิดีโอคอลกับซาร่าในมือถือ แสงไฟจากโคมเล็ก ๆ บนหัวเตียงช่วยให้ฉันมองเห็นใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น“ซาร่า มีอะไรเหรอ?” ฉันถามพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ความรู้สึกคิดถึงเธอท่วมท้นขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้า“ฉันมีเรื่องเด็ดมาบอก! เธอไม่เชื่อแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เซนต์เอมิลี่!” ซาร่าพูดพลางกระซิบเสียงเบา แต่สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังระเบิดด้วยความตื่นเต้น“อะไรอะ?” ฉันถามพร้อมกับขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นซาร่ากระซิบ “เกี่ยวกับครูลิซ!”แค่ได้ยินชื่อ หัวใจของฉันก็เต้นรัว ความทรงจำที่ไม่อยากจดจำพุ่งกลับมาทันที ความหวาดหวั่นยังคงหลอกหลอนฉัน แม้ตอนนี้จะอยู่ไกลจากเธอแล้วก็ตาม“ครูลิซ? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”ซาร่ายิ้มกว้างก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความสะใจจนฉันรู้สึกได้“ครูลิซโดนไล่ออกแล้ว!!!”“ห๊ะ? ทำไมโดน
บ้านของครอบครัววิลเลียมส์ตั้งอยู่ในย่านที่เงียบสงบของลอนดอน ตัวบ้านโอ่อ่าและหรูหราตามแบบฉบับของครอบครัวชนชั้นสูงในอังกฤษ แสงไฟสีอบอุ่นที่ส่องลอดออกมาจากหน้าต่างช่วยเติมเต็มบรรยากาศของค่ำคืนนี้ที่เย็นสบายผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน มือกำแน่นรอบแฟ้มเอกสารที่ถือมาด้วย ความรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักบางอย่างกดทับอยู่ในใจหลังจากการพูดคุยกับคุณเฮนรี่ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือทางที่ถูกต้องเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมของชาดำอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังมาจากห้องนั่งเล่น ขณะที่ผมเดินเข้าไป ภาพของพ่อและแม่ที่กำลังนั่งจิบชาและพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่นอย่างประหลาด“พีท!?” เสียงของแม่ผม คุณหญิงสิริกานดา ดังขึ้นทันทีที่เธอเห็นผมเดินเข้ามา ใบหน้าของเธอแสดงความประหลาดใจ แต่แฝงไว้ด้วยความยินดี“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา แม่จะได้ส่งคนไปรับที่สนามบิน” เธอรีบลุกจากเก้าอี้ เดินตรงมาหาผม พร้อมทั้งกอดและหอมแก้มผมอย่างรวดเร็ว“เซอร์ไพรส์ไงครับ” ผมพูดพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะโน้มตัวไปหอมแก้มเธอกลับด้วยความคิดถึงแม่หัวเราะเบาๆ ขณะที่จับมือผมไว้แน่น“ไม่เจอตั้
ผมยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านในย่านชานเมืองของลอนดอน บ้านของคุณเฮนรี่ แบล็ควูด พ่อของลิลลี่ ผู้เป็นนักธุรกิจชื่อดังในวงการการเงินระดับโลก ทุกอย่างที่นี่ดูเคร่งขรึมและเป็นระเบียบเรียบร้อย สะท้อนถึงบุคลิกของชายผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดีผมหันไปมองลิลลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอดูลังเลเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความไม่มั่นใจที่ฉายออกมาจากท่าทางของเธอ“พร้อมมั้ย?” ผมถามเบา ๆ พลางมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนลิลลี่พยักหน้าช้า ๆ แต่สายตาเธอยังคงสั่นไหว“ค่ะ แต่...หนูกลัวว่าพ่อจะไม่พอใจ”ผมยิ้มบาง ๆ“อย่ากังวล ฉันจะคุยกับเขาเอง”ในขณะที่เรายืนรออยู่ ประตูบ้านเปิดออก เผยให้เห็นแม่บ้านคนหนึ่งที่ดูสุภาพและเคร่งขรึม เธอพยักหน้าให้เราเล็กน้อย ก่อนจะเชิญเข้าไปด้านในบ้านของคุณเฮนรี่ แบล็ควูดเป็นบ้านที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยความสง่างาม ทุกมุมของที่นี่สะท้อนถึงความสมบูรณ์แบบและรสนิยมอันพิถีพิถัน ตัวบ้านตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิกที่เรียบหรู แต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นชาในเวลาเดียวกัน เฟอร์นิเจอร์ไม้สลักลวดลายประณีตตั้งเรียงรายอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจา