หลีเกอนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มพลางพูด “เมื่อวานเพิ่งจะโดนหามขึ้นรถพยาบาล วันนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลซะแล้ว ผู้จัดการหลิวนี่มีอัตราการฟื้นตัวที่ดีจริง ๆ”“คุณหลีอย่าล้อผมเลย ผมแค่กลัวว่าจะทำให้ธุรกิจขององค์กรพลอยล่าช้าไปด้วย”หลิวฉวนยังอยู่ในสภาพถูกพันผ้ากอซ สวมชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลคลุมทับด้วยเสื้อสูท พูดด้วยใบหน้ากระดากอาย “จำได้ว่าเมื่อวานนี้ผมไม่ทันได้บอกข้อมูลภายในเกี่ยวกับบริษัทนั้น ผมเลยต้องเอาข้อมูลมาชี้แจงที่บริษัทนี่ไง”หลีเกอพยักเพยิดคางเรียวของเธอไปทางโซฟา เชื้อเชิญหลิวฉวนให้นั่งลงผู้ชายคนนี้ต้องโดนทุบตีซะก่อน ถ้าถามเขาด้วยวิธีปกติธรรมดา เขาไม่มีทางบอกง่าย ๆ แน่ แต่หลังจากถูกซ้อมไปยกหนึ่ง เขาก็ยินดีมาหาพร้อมกับข่าวสาร“โครงการของฉี่หังกรุ๊ปเกี่ยวกับนาโนโรบอทถึงรอบครบกำหนดและเปิดตัวในวันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการพัฒนาทางการแพทย์ของบริษัทตี้เซิ่งของเรา”ดวงตาของหลีเกอแสดงความไม่อดทน ลูบขมับและพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบคม “พูดเข้าสาระสักที ถ้ายังมัวชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่ก็ออกไปซะ”เมื่อหลิวฉวนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เริ่มตัวสั่นไปทั้งตัว เพราะรู้แล้วว่าหลีเกอ
หลีเกอถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาหลีหานที่เพิ่งเดินทางกลับดูไบเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเรื่องนี้น่าแปลกเกินไป ฉีอวิ๋นเทียนทิ้งการสืบทอดกิจการของท่านประธานฉีในดูไบ เพื่อมาทำงานเป็นเสมียนในบริษัทสาขาปินเฉิงของเธอ ยิ่งคิดเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ ดังนั้นควรถามพี่ใหญ่เกี่ยวกับสถานการณ์ของกิจการตระกูลฉีก่อนไม่นานปลายสายก็รับโทรศัพท์“น้องสี่ มีอะไรกับฉันหรือเปล่า” น้ำเสียงของหลีหานที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์ฟังดูอ่อนโยนและทรงเสน่ห์เช่นเคยหลีเกอเหลือบมองผู้จัดการโครงการที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเชื่องช้า ปิดปากแล้วกระซิบว่า “พี่ใหญ่ ผู้ชายที่ชื่อฉีอวิ๋นเทียนกลับมาที่ปินเฉิงไม่พอ ยังส่งเรซูเม่ของเขามาสมัครงานกับฝ่ายโครงการลงทุนของเราอีก ธุรกิจของตระกูลฉีล้มละลายหรือเปล่า?”หลีหานคลี่ยิ้มบาง ๆ รู้ดีว่าน้องสาวมองว่าฉีอวิ๋นเทียนเป็นสัตว์ดุร้าย แถมยังเกลียดอีกฝ่ายมากถึงกับไม่เคยพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ดีเลย“เปล่า คราวนี้ฉีอวิ๋นเทียนถูกส่งตัวกลับไปที่ปินเฉิงโดยประธานฉี แต่ฉันไม่รู้เลยว่าเขาไปสมัครงานที่บริษัทตี้เซิ่ง”“เข้าใจแล้ว ฉันจะโยนใบสมัครเขาทิ้ง
ตอนเย็น หลีเกอขอให้เจี่ยงอีอีพาไปที่ช็อปแบรนด์เนมเพื่อเลือกซื้อของทันทีที่พวกเธอเข้าไปในร้าน หลังจากพนักงานรู้ว่าลูกค้าท่านนี้คือหลีเกอ พวกเขาก็ส่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีไปต้อนรับทันทีผู้จัดการฝ่ายบัญชียิ้มทั่วใบหน้าขณะพูดว่า “คุณหลี กรุณารอสักครู่นะคะ เครื่องประดับที่คุณสั่งยังถูกเก็บไว้ในตู้เซฟค่ะ เนื่องจากมันมีมูลค่าสูงเกินไป ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อนำออกมา ระหว่างนี้ฉันขอพาคุณไปเยี่ยมชมสินค้ารายการอื่นก่อนนะคะ”หลีเกอพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพวกเราเดินดูกันเองได้”เจี่ยงอีอีและหลีเกอเดินไปรอบ ๆ พูดด้วยความเบื่อหน่าย “ที่รัก เสื้อผ้าที่ชั้นหนึ่งไม่ค่อยถูกจริตเลย พวกมันเป็นสินค้าค้างสต็อกอีกทีหนึ่ง เราขึ้นไปดูของที่ชั้นสองดีกว่า”พูดอย่างนั้นแล้ว เธอก็ดึงหลีเกอขึ้นไปที่ชั้นสองผู้จัดการฝ่ายบัญชีรีบพูดด้วยความเขินอายว่า “ทางเราต้องขอโทษด้วยนะคะ คุณผู้หญิงหลายท่านได้เหมาโซนสินค้าชั้นสองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยังไม่สะดวกให้พวกคุณเข้าไปเลือกซื้อตอนนี้ค่ะ”หลีเกอส่งยิ้มเล็กน้อยให้ผู้จัดการฝ่ายบัญชี “งั้นไม่เป็นไรค่ะ ได้เครื่องประดับเมื่อไหร่เราก็จะออกไปแล้วค่ะ”ผู้จัดการฝ่
“สร้อยคอแค่เส้นเดียวจะโก่งราคาแพงขนาดนี้ได้ยังไง? ร้านนี้ต้องค้ากำไรเกินควรแน่!”โดยปกติแล้วหลี่ซูฉินจะแสดงออกทางอารมณ์ได้ดี แต่เมื่อพบเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ นิสัยขี้เหนียวของเธอก็เปิดเผยอย่างไม่ปิดบัง เสียงแหลมสูงทำให้พนักงานพากันย่นคิ้วผู้จัดการฝ่ายบัญชีก้าวไปข้างหน้าและอธิบายว่า “คุณนายฮั่วคะ นี่เป็นจิวเวลรี่สั่งทำพิเศษของแบรนด์วีเร่ ถ้าพูดถึงความนิยมของแบรนด์เรา เพชรสีเหลืองบนตัวเรือนนั้น ครั้งหนึ่งเคยถูกสวมใส่โดยสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ราคาขั้นต่ำในตอนนี้…”“ฉันไม่เชื่อคำโกหกของพนักงานขายอย่างเธอ แม้แต่คนตายจะพูดให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังได้ คิดว่าคนรวย ๆ อย่างฉันโง่จนหลอกเอาเงินได้ง่าย ๆ งั้นเรอะ!” หลี่ซูฉินชี้หน้าผู้จัดการฝ่ายขายพร้อมกับสาปแช่งแม้ว่าผู้จัดการฝ่ายบัญชีจะพบเห็นคนรวยเรื่องมากมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเธอที่ได้เห็นคนหยาบคายและตรงไปตรงมาอย่างหลี่ซูฉิน ใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำสลับขาวซีด“จะทำให้พวกเธออับอายขายหน้าไปทำไมกัน” หลีเกอขมวดคิ้วเยาะเย้ย น้ำเสียงเย็นเฉียบลงหลายระดับ “คุณเพิ่งบอกว่าฉันสามารถเลือกซื้ออะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แล้
“คุณหลี ไม่ยักรู้ว่าคุณขี่ม้าเก่งขนาดนี้”ซางรุ่ยชื่นชมหลีเกอ สายตาที่ซื่อสัตย์ของเขาบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่การชมอย่างขอไปทีหลีเกอเหลือบมองฮั่วจิ้นเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จากนั้นหันไปหาซางรุ่ยและพูดว่า “คุณซางคะ ขอเวลาเราสองคนไปคุยกันตามลำพังที่อื่นได้ไหม?”ฉี่หังกรุ๊ปเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นหลักในช่วงห้าปีนับตั้งแต่เปิดตัว หุ่นยนต์ไบโอนิคอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนได้รับการพัฒนา และได้รับการยกย่องจากสาขาอาชีพต่าง ๆเทคโนโลยีนาโนโรโบติกส์ในครั้งนี้เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งจะมีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ยากลำบากทุกประการในประวัติศาสตร์ทางการแพทย์เป็นเพราะเหตุนี้เอง ที่หลีเกอถึงต้องการเจรจาความร่วมมือนี้หลังจากเข้ารับตำแหน่งดวงตาของฮั่วจิ้นเฉิงเย็นเยียบลง เสียงของเขาแสดงความไม่พอใจ “ฉี่หังกรุ๊ปได้เซ็นสัญญากับฮั่วกรุ๊ปแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องเจรจากันลับหลังอีก?”สายตาของเขาไม่เคยละสายตาจากหลีเกอ นับตั้งแต่วินาทีที่เธอขี่ม้าเข้ามาในสนามประลอง ราวกับเขารัดรึงเธอไว้แน่นไม่เคยปล่อยมือหลีเกอไม่เคยขี่ม้าเมื่ออยู่กับเขา ส่วนเขาเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันด้วย
ร่างของฮั่วจิ้นเฉิงแข็งค้างไปชั่วขณะ หันกลับไปมองหลีเกอด้วยสายตาลึกลับ แต่ยังคงมีทีท่าเย็นชาและเงียบขรึมสาวสวยคนนี้และเปลี่ยนแปลงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของเธอได้เลย คำถามของเธอเป็นเหมือนกับดัก ถ้าเขาถลำลึกเข้าไปกว่านี้ คงไม่พ้นตกลงไปในเหวเขาไม่รู้ตัวเองยังหลงเหลือความรักอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนคือเขาเสียใจกับการแต่งงานที่ล้มเหลวก่อนเวลาอันควรหลีเกอหรี่ตาลงและยิ้มพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “หึ! ฉันก็แค่ลองเชิงไปเรื่อยอย่างนั้นเอง คนใจแข็งอย่างคุณฮั่วหรือจะเอาอดีตที่ไม่สลักสำคัญแบบนั้นมามีผลกับเรื่องอื่นได้ยังไง”เธอพูดต่อ “ในฐานะนักธุรกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลกำไร ฉันไม่จำเป็นต้องเตือนให้คุณตระหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณฮั่วน่าจะเข้าใจดีกว่าฉัน”“ที่พูดพล่ามมาทั้งหมดต้องการอะไรกันแน่?”ใบหน้าของฮั่วจิ้นเฉิงมืดมนยิ่งกว่าเก่า เสียงที่เย็นชาและคุกคามของเขา ฟังแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันอย่างยิ่งหากแต่หลีเกอไม่รู้สึกรู้สา “ในเมื่อคุณฮั่วไม่ได้ปฏิเสธความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทตี้เซิ่งของเพราะใช้ความรู้สึกในอดีตมาเกียวข้อง ถ้าอย่างนั้นฉันเหลือแค่เหตุผลเ
หลีเกอไม่สนใจผลการแข่งขันแพ้ชนะในรอบที่สอง แต่มุ่งเน้นไปยังรอบที่สามที่มาถึง ในช่วงเวลาโค้งสุดท้าย เธอสามารถแซงหน้าฮั่วจิ้นเฉิงได้อีกหนึ่งก้าวอย่างเฉียดฉิว ในที่สุดก็ถึงเส้นชัยเป็นคนแรกการแข่งขันเงียบ ๆ นี้จบลงด้วยชัยชนะของหลีเกอผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างปาดเหงื่อเป็นพัลวัน จากนั้นก็ส่งเสียงเชียร์ให้กับชัยชนะของหลีเกอนั่นคือเรื่องปกติของการแข่งม้า ผู้ชมจะไม่รู้ผลจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายหลังจากคูลดาวน์ด้วยการวิ่งวนรอบหนึ่ง หลีเกอก็ควบม้ามาตรงหน้าฮั่วจิ้นเฉิง และกระโดดลงจากหลังม้าใบหน้าที่สดใสของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอถอดหมวกออก ผมสีดำยาวสยายร่วงหล่นลงมาบนไหล่ สวยมากจนผู้คนไม่สามารถละสายตาจากการแข่งขันได้ “คุณฮั่ว คุณแพ้แล้ว”หลีเกอเคยคว้าแชมป์ในรายการ ‘ควีนส์คัพ’ และได้รับการยกย่องจากราชินีเธอหลงใหลการขี่ม้ามาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้หลีหานจึงซื้อม้าพันธุ์ดีไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ ทั้งยังเชิญแชมป์นักกีฬาขี่ม้าหลายคนมาฝึกสอนเธอเมื่ออายุได้สิบห้าปี สัตว์เลี้ยงตัวแรกของเธอคือม้าเหงื่อโลหิตตัวละมูลค่าหลายสิบล้านเธอจะพ่ายแพ้ให้กับมือสมัครเล่นอย่างฮั่วจิ้นเฉิงที่ไม่สนใจกิจกรรมนอกเวลาเช
โม่อี้เฟยตะลึง คิดว่าเพื่อนของเขาอารมณ์ไม่ดีหลังจากพ่ายแพ้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมาก “ฉันขี้เกียจไปถามผู้หญิงเจ้าชู้คนนั้น ต่อให้มาโชว์พาวเอาตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว”“งั้นเหรอ?”เสียงเย็นชาของหลีเกอดังมาจากหลังหูโม่อี้เฟย ทำให้เขาสะดุ้งโหยงเขาหันกลับไปมองข้างหลัง พลันกระโดดเหย็งพลางพูดว่า “ทำไมเดินย่องมาข้างหลังเงียบ ๆ แบบนี้ล่ะ”“ฉันอยู่นี่แล้ว คุณมีอะไรอยากจะถามฉันไหม?”หลีเกอยืนนิ่งพร้อมกอดอก ออร่าคุกคามในดวงตาไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินโม่อี้เฟยต่อว่าลับหลังทุกคำฮั่วจิ้นเฉิงยืนนิ่งเฉย แม้ว่าเขาจะไม่ได้มองตรงไปที่หลีเกอ แต่เขากลับมองเธอหลายครั้งโดยไม่ตั้งใจด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เขาตกอยู่ในอารมณ์สับสนมาก“เหอะ ฉันไม่สนใจผู้หญิงแบบเธอหรอก อย่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้ กลับไปหาสปอนเซอร์หลักของเธอซะ” โม่อี้เฟยโบกมืออย่างรังเกียจระคนดูถูกหลีเกอก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยบนรองเท้าส้นสูง ทำให้โม่อี้เฟยจำต้องถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างอดไม่ได้ “มีใครเคยบอกคุณบ้างไหม ว่าท่าทางที่คุณแสดงออกเวลานินทาคน... แทบไม่ต่างอะไรจากพวกมนุษย์ลุงในตลาดสดเลย”จู่ ๆ โม่อี้เฟยก็โกรธจัด “เธอ! หล
เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างกายของผู้หญิงกลุ่มนี้ก็สั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเธอเคยลิ้มรสความโหดเหี้ยมของแส้มาก่อนในเวลานี้ เฉวียนเย๋ หัวหน้ากลุ่มก็เดินออกมาดวงตาไร้ความรู้สึกจ้องมองหลีเกอ "ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะเก่งขนาดนี้… ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็หนีออกมาได้แล้ว"หลีเกอมองเขาอย่างเย็นชา น้ำเสียงไร้ความอบอุ่น"ปล่อยเราไป ไม่งั้นฉันจะถล่มที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง"ชายคนนั้นกลับหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก แล้วก็ตบมือ เดินเข้ามาหาหลีเกอต้องยอมรับว่าหลีเกอมีเครื่องหน้าที่สวยมาก แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมสมบุกสมบันแบบนี้ แต่ก็ยังคงมีความสวยที่แตกต่างออกไป นางฟ้านางสวรรค์แบบนี้ ถ้าพาไปขายในตลาดมืดคงจะได้ราคาดีไม่น้อยแต่ก็เท่านั้นแหละ สวยก็ส่วนสวย แต่กลับเป็นกุหลาบมีหนาม"ปล่อยพวกเธอไปเหรอ ฝันไปเถอะ"พูดจบ เขาก็โบกมือให้บอดี้การ์ดสองสามคนเดินเข้าไปแต่ในเวลานี้ลูกน้องอีกคนก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา "พี่เฉวียน ไม่ดีแล้ว บาร์ของเราถูกปิดล้อมแล้ว"สีหน้าของพี่เฉวียนเปลี่ยนไปทันที ตะโกนด้วยความโกรธ “ได้ยังไงวะ?!""คำสั่งของตระกูลหลี ตระกูลหลีมหาเศรษฐีครับ"พี่เฉวียนคว้าค
"จะทำยังไงดี พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะถูกส่งตัวออกไปแล้ว… จะไม่มีวันได้เจอครอบครัวอีกแล้วใช่ไหม?""ฮือฮือฮือ ฉันไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยเราที""..."พูดจบก็มีเสียงสะอื้นดังระงมหลีเกอเห็นภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่ามกลางสังคมที่เจริญแล้วเช่นนี้ จะยังมีเรื่องราวมืดดำแบบนี้ซุกซ่อนอยู่สายตาของเธอเหลือบมองไปตามเสียงสะอื้นแต่ในวินาทีถัดมา เธอกลับสบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่เย็นชาอย่างมาก ซึ่งขัดกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าหญิงสาวดังกล่าวดูอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี แต่กลับมีความเยือกเย็นและเฉลียวฉลาดเหมือนผู้ใหญ่ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์ แต่ดวงตากลับจ้องมองหลีเกอราวกับต้องการจะมองให้ทะลุปรุโปร่งทั้งสองฝ่ายต่างเงียบ ไม่พูดอะไรผ่านไปครึ่งชั่วโมงหญิงสาวจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก "คุณจะช่วยเราออกไปได้จริง ๆ เหรอ?"หลีเกอตอบอย่างมั่นใจ "เชื่อฉันสิ เราต้องออกไปได้แน่นอน"ประโยคนี้เปรียบเสมือนผู้ไถ่บาปที่ทำให้บรรดาหญิงสาวมีความหวัง แต่ในวินาทีถัดมา หญิงสาวก็เห็นว่าหลีเกอถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ความหวังที่เพิ่งผุดขึ้นดับวูบลงไปหลีเกอลดสายตาลง
ชายในห้องเดินออกมาหลังจากนั้น เมื่อเห็นหลีเกอก็ตาเป็นประกาย "โอ้โห นี่มันของดีจากไหนกัน..."บางคนจำหลีเกอได้ว่าเป็นคนที่เข้ามาพร้อมกับฉีอวิ๋นเทียน จึงกระซิบบอกชายคนนั้นว่า "พี่เฉวียน คนนี้เป็นแขกที่คุณชายฉีพามาครับ"เมื่อชายคนนั้นได้ยินชื่อฉีอวิ๋นเทียน สีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วก็เดินเข้ามาหาหลีเกอ "เมื่อกี้เธอเห็นอะไร ได้ยินอะไรบ้าง?"หลีเกอจ้องเขม็งมองเขา ไม่มีแววความกลัวในดวงตา "พวกคุณทำธุรกิจอย่างเปิดเผย แต่ที่ไหนได้ กลับมีธุรกิจมืดอีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ ผู้หญิงในห้องนั้น พวกคุณลักพาตัวมาใช่ไหม?"ชายคนนั้นยิ้ม แววตาแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม "ดูเหมือนวันนี้เธอคงไม่อยากออกไปจากที่นี่แล้ว...แต่ก็ดี ของดีแบบเธอน่ะหายาก"พูดจบก็โบกมือให้ลูกน้องเดินเข้ามาหลีเกอหัวเราะเยาะ "อยากจับฉัน ก็ลองดูสิว่าพวกนายมีปัญญาหรือเปล่า"ทันทีที่พูดจบ ชายร่างกำยำหลายคนก็กรูเข้ามา หลีเกอมีสีหน้าเคร่งขรึม ลงมือสวนกลับอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เตะตัดขาของคู่ต่อสู้ทุกการออกแรงไม่มีความลังเลเลย เตะจนคู่ต่อสู้ถอยหลังไปหลายก้าวชายที่ถูกเรียกว่าพี่เฉวียนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที "ดูเหมือนตั้งใจมาหาเรื่องสินะ"พูดจบ
ฉีอวิ๋นเทียนพยักหน้ารัวเร็ว "แหงสิ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เรื่องอื่นไม่สำคัญ""แต่ฉันสังหรณ์ใจว่าคุณน่าจะได้เจอกับเนื้อคู่ของคุณเร็ว ๆ นี้"เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉีอวิ๋นเทียนก็ตกใจ "เทพธิดา ล้อกันเล่นหรือเปล่า?"หลีเกอขมวดคิ้ว "ทำไม ไม่เชื่อเหรอ?""ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ในโลกนี้ นอกจากคุณแล้ว หายากมากที่จะมีใครทำให้หัวใจผมสั่นไหวอีก"ฉีอวิ๋นเทียนพูดจบก็ถอนหายใจ "แต่เมื่อเทียบกับตัวผมแล้ว ความสุขของเทพธิดาสำคัญกว่า..."เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ตัดสินใจลาออกจากตี้เซิ่งโดยไม่ลังเล เพื่อให้เธอมีความสุขส่วนความสุขของตัวเขาเองนั้นไม่สำคัญเลย"คืนนี้มีงานเลี้ยง คุณก็อยู่ร่วมด้วยสิ"หลีเกอเพิ่งจะปฏิเสธ ฉีอวิ๋นเทียนกลับทำหน้าตาอ้อนวอน "เทพธิดา มาเถอะนะ ไม่งั้นปู่ผมไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ ๆ เลย..."หลีเกอหัวเราะคิกคัก เมื่อนึกว่าฉีอวิ๋นเทียนผู้ไม่เคยหวาดกลัวอะไรเลย กลับมีลาสบอสที่ทำให้เขากลัวหัวหดนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ดี ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง "ได้"ฉีอวิ๋นเทียนดีใจมาก "ตกลงตามนั้นนะ ไว้เจอกันตอนเย็น"...ตกเย็นหลีเกอเปลี่ยนไปสวมชุดลำลองสบาย ๆ แล้วก็ออกจากบ้าน สถานที่ที่ฉีอวิ๋นเทียนจั
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณนายคนนั้น นิ้วของซ่งเซียงเซียงก็จิกเข้าไปในเนื้ออย่างเงียบ ๆ แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเอาซะเลยในเวลานี้ ซ่งฟู่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เดินตรงมาหาซ่งเซียงเซียงได้ยินเสียงตบดัง ‘เผียะ’ ซ่งเซียงเซียงเอามือปิดหน้าตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา ปากก็พูดด้วยความน้อยใจ "พ่อ ตบฉันทำไมคะ!"ซ่งฟู่โกรธมากเมื่อครู่หลี่หานได้ส่งคนมาเตือนเขาแล้ว ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะซ่งเซียงเซียงพยายามกลั่นแกล้งหลีเกอ"ซ่งเซียงเซียง แกนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ก่อนมาฉันเคยเตือนแกว่ายังไง? กล้าดียังไงถึงกล้าไปยุ่งกับคุณหนูหลี!"ซ่งเซียงเซียงปิดหน้าไม่น่าเชื่อว่าพ่อที่รักเธออย่างสุดหัวใจ กลับลงมือตบหน้าเธอต่อหน้าคนอื่นเพราะหลีเกอคนเดียวเธอหลุบตาลง ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของหลีเกอซ่งฟู่จ้องเธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวสุดขีด แล้วพูดต่อว่า "ถ้าแกทำให้คุณหนูหลีขุ่นเคือง บริษัทเหม่ยห่าวอิเล็กทริคของเราต้องล่มสลายแน่ รู้ตัวไหมว่าแกทำอะไรลงไป!"ซ่งเซียงเซียงกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูดอะไรซ่งฟู่เห็นว่าเธอยังไม่สำนึก จึงพูดตรง ๆ "อย่ามาทำให้ฉันขายหน้าอยู่ที่นี่ รีบกลับไปเดี๋ยวน
ในทันใดนั้นเอง หลีเกอก็เริ่มบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การบริหารของตัวเองอย่างคล่องแคล่วคำพูดของเธอทั้งแฝงอารมณ์ขันและดึงดูดความสนใจ ไม่โอ้อวดมากเกินไปและไม่ถ่อมตัวจนน่ารำคาญ จับจุดได้อย่างเหมาะเจาะการอธิบายง่าย ๆ สิบนาที ทุกคนในที่นั้นกลับพร้อมใจกันตั้งใจฟัง จนกระทั่งจบลง ห้องประชุมก็เงียบไปหลายวินาที ก่อนที่จะปรบมือกันอย่างกึกก้อง"คุณหนูหลีเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจจริง ๆ!""มีหลักแนวคิดที่ชัดเจน ผ่อนคลายและเข้มงวดในเวลาเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอบริหารตี้เซิ่งให้เจริญรุ่งเรืองได้""คุณหนูหลีเป็นคนที่เราควรเรียนรู้เอาเป็นเยี่ยงอย่างจริง ๆ! ถึงเธอจะยังอายุน้อย แต่แนวคิดทางธุรกิจของเธอก็มมมีความเป็นปัจเจกสูงมาก""ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณหนูหลี จะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยล่ะสำหรับพวกเรา!""..."เมื่อได้ยินเสียงสรรเสริญรอบข้าง ซ่งเซียงเซียงก็อึ้งงันไปเดิมทีเธอต้องการหาทางโจมตีหลีเกอแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้เธอโด่งดังในครั้งนี้เป็นไปไม่ได้!เป็นไปได้ยังไงเนี่ย?"เดี๋ยวก่อน..."ซ่งเซียงเซียงส่งเสียงเรียกหลีเกอที่กำลังจะลงจากเวทีไว้ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรทั้งน
เธอเดินหลังตรงไปที่หลังเวทีไม่นานนัก พิธีเปิดการประชุมสุดยอดทางธุรกิจก็เริ่มขึ้น พิธีกรยืนอยู่บนเวทีแล้วกล่าวเปิดงานอย่างคล่องแคล่วในไม่ช้า บรรยากาศของการประชุมสุดยอดทางธุรกิจก็ถึงจุดพีคของงาน"ผมเชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นสุดยอดของสุดยอดในแวดวงธุรกิจของเรา ตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม เราจะสุ่มเลือกผู้โชคดีขึ้นมาแบ่งปันประสบการณ์การบริหารธุรกิจ"เมื่อพิธีกรพูดจบซ่งเซียงเซียงก็เดินออกมาจากหลังเวที หันไปมองหลีเกอด้วยสีหน้ามืดมนในใจก็คิดอะไรบางอย่างหลังจากนั้น เธอก็เดินไปหาคุณนายผู้ร่ำรวยกลุ่มนั้น แล้วก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ย "เดี๋ยวรอดูได้เลย มีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นแน่"คุณนายผู้ร่ำรวยไม่เข้าใจว่าซ่งเซียงเซียงกำลังคิดจะทำอะไร จึงเตือนว่า "คุณหนูซ่ง อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า"ซ่งเซียงเซียงเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโสโดยไม่พูดอะไรในใจคิดว่าต้องทำให้หลีเกออับอายขายหน้าให้ได้แต่ในเวลานี้ พิธีกรบนเวทีกลับหันไปมองหลีเกอที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน"วันนี้เรามีบุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพลมากท่านหนึ่งมาร่วมงานของเรา นั่นก็คือประธานบริษัทตี้เซิ่ง คุณหนูหลีเกอ ทางเราขอเชิญคุณหนูหลีเกอขึ้นมาแ
หลีเกอจ้องเขม็งมองเธอ ซ่งเซียงเซียงรู้สึกผิดจึงหดคอลงตีงูต้องตีที่หัวหลีเกอรู้ว่าซ่งเซียงเซียงกังวลสิ่งใดมากที่สุดดังนั้น เธอจึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา"ถึงเวลาที่สมควรแก่การปฏิรูปบริษัทเหม่ยห่าวอิเล็กทริคแล้ว งานประชุมสุดยอดทางธุรกิจครั้งนี้ เธอถอนตัวไปเถอะ"เมื่อได้ยินแบบนั้นซ่งเซียงเซียงก็ร้อนรนขึ้นมาจริง ๆ"ไม่ได้"เธอโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว เหม่ยห่าวอิเล็กทริคเป็นความหวังเดียวของครอบครัว ถ้าเธอถอนตัวออกจากการประชุมทางธุรกิจครั้งนี้ บริษัทก็จะได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล"หลีเกอ ฉันจะยอมทำตามที่เธอต้องการทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้ ฉันให้ไม่ได้จริง ๆ"หลีเกอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ตอนนี้ถ้าถอนตัวไปซะเราก็ยังพอจะประนีประนอมกันได้ แต่ถ้าไม่ยอม เมื่อถึงเวลาที่ต้องถูกบีบให้ถอนตัว คราวนี้เหม่ยห่าวอิเล็กทริคจะถึงคราวพินาศของจริง"ซ่งเซียงเซียงรู้สึกเข่าอ่อนความกลัวจากภายในจู่โจมทั่วทั้งร่าง ไม่คิดเลยว่าหลีเกอจะมีความคิดและกลยุทธ์ที่เฉียบคมแบบนี้ในเวลานี้เธอเสียใจจนแทบจะกลั้นใจตาย แต่ก็ยังพยายามต่อรอง "หลีเกอ เหม่ยห่าวอิเล็กทริคเป็นความหวังของครอบครัวเรา อย่าทำลายมันเลยนะ""ฉ
"คุณหนูหลี ผมทำธุรกิจส่งออก หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมมือกับคุณในอนาคตนะครับ""บริษัทของเราส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ฉันหวังว่าคุณหลีจะให้คำแนะนำแก่ฉันในอนาคต""..."เมื่อเผชิญกับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของผู้คน หลีเกอก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพ ไม่วางตนโอ้อวดและไม่ดูถูกใคร จึงได้รับความชื่นชมจากผู้คนจำนวนมากแม้แต่นักธุรกิจหลายรายก็เสนอความร่วมมือกับหลีเกอโดยตรง หลีเกอก็ใช้โอกาสนี้กอบโกยคำสั่งซื้อจำนวนมากให้กับบริษัทตี้เซิ่งซ่งเซียงเซียงก็เฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ตลอดโลกทัศน์ของเธอพังทลายลงตั้งแต่หลีหานแนะนำตัวตนของหลีเกอเธอรู้สึกมึนงงไปหมดเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงสมัยเรียน เธอกับเพื่อน ๆ ทั้งดูถูก เหยียดหยาม และพูดจาไม่ดีใส่หลีเกอสารพัดคิดแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจจนแทบขาดใจทั้ง ๆ ที่มีทรัพยากรที่ดีขนาดนี้อยู่ใกล้ตัว แต่เธอกลับทำลายมันไปเอง"เซียงเซียง มัวยืนอยู่ตรงนี้ทำไม?""พ่อไม่ได้กำชับให้ลูกไปทำความรู้จักกับคุณหนูหลีหรอกเหรอ เพื่อจะได้หาคำสั่งซื้อเพิ่ม แล้วทำอะไรอยู่?"ซ่งฟู่ดึงซ่งเซียงเซียงมาตำหนิเบา ๆซ่งเซียงเซียงยังไม่รู้สึกตัว ตอนนี้เธอจิกเล็บลงไปในเนื้อตัวเองอย่างแ