"คนที่คู่ควรกับเขา ก็ต้องเป็นคนที่เก่งไม่แพ้กัน"หลีเกอเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ!แต่ไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของคนที่ดำรงตำแหน่งเลขาฯ "คุณหลินทำงานได้ดีมากเลย ถึงขนาดเอาใจใส่ชีวิตส่วนตัวของเจ้านายแบบนี้ แต่คุณหลินคะ ฉันต้องเตือนคุณสักหน่อย ว่าคุณดูจะยุ่งเกินไปหน่อยแล้ว ว่าไหม?"หลินซืออี้ไม่คิดว่าหลีเกอจะพูดไม่เกรงใจขนาดนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว "คุณหนูหลี ฉันก็แค่เป็นห่วงท่านประธานฟู่เท่านั้นเอง เพราะว่าถ้าคุณหนูหลีกับท่านประธานฟู่ได้คบกันจริง ๆ ขึ้นมาล่ะก็ คงจะมีเสียงนินทาไม่ดีหนาหูแน่ คุณหนูหลีอาจจะไม่สนใจ แต่ประธานฟู่ล่ะคะ? คุณคิดว่าเขาไม่สนใจเหมือนกันเหรอ?"เสียงเพิ่งจะจบลง ฟู่ซิวเป่ยก็ซื้อขนมกลับมาแล้วเขาเปิดประตูรถ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศภายในรถตึงเครียด จึงหันไปถามหลีเกอด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไรไป?"ต้องบอกว่าคำพูดของหลินซืออี้ทำให้หัวใจหลีเกอหล่นวูบไปเหมือนกันถึงแม้ว่าคนในครอบครัวจะสนับสนุนให้เธอคบกับฟู่ซิวเป่ย แต่ต้องยอมรับว่าเธอละเลยความคิดของฟู่ซิวเป่ยไปจริง ๆ เปลวไฟที่เพิ่งจะลุกโชนในใจของเธอมอดดับลงทันทีเธอส่ายหน้าใ
ในพริบตาเดียว จ้าวเหิงก็คิดแผนในใจแต่หลินซืออี้ไม่รู้เรื่อง จึงรีบพูดว่า “คุณฟู่สั่งให้ฉันพาทุกคนมาที่นี่ค่ะ”จ้าวเหิงอุทาน “อ้อ” แล้วมองฟู่ซิวเป่ยด้วยสายตาอาฆาต ฟู่ซิวเป่ยลูบจมูกอย่างไม่เข้าใจ แต่จ้าวเหิงกลับสั่งให้เธอออกไปตรง ๆ“ถ้าอย่างนั้นงานของเลขาหลินก็เสร็จแล้วล่ะ วันนี้ลูกสาวฉันมาเยี่ยม ฉันคงไม่ให้เธอมาทานข้าวด้วย ไว้ค่อยเชิญมาที่บ้านคราวหน้านะ”หลินซืออี้ฟังแล้วพยักหน้าสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว “ได้ค่ะ คุณหญิงฟู่! งั้นฉันกลับก่อนนะคะ”หลินซืออี้พูดจบก็หันไปมองฟู่ซิวเป่ย “คุณฟู่ ฉันกลับก่อนนะคะ”ฟู่ซิวเป่ยร้องอืม แล้วพยักหน้าหลินซืออี้กัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ แต่ตอนนี้ยังหาเหตุผลที่จะอยู่ต่อไม่ได้หลังจากที่เธอจากไป จ้าวเหิงจึงดึงหลีเกอมา “เสี่ยวเกอ อย่ากังวลไปนะ! ผู้ชายคนนี้จะไม่จ้างเลขาหญิงอีกแล้ว ทำตัวใสซื่ออะไรกัน จอมปลอมสิ้นดี”พูดจบ ยังไม่ลืมจ้องเขม็งไปทางฟู่ซิวเป่ย “รีบย้ายเธอออกไปจากตำแหน่งปัจจุบันซะ ไม่งั้นแม่จะทำให้เธออยู่ไม่ได้เอง!”ฟู่ซิวเป่ยไม่มีข้อโต้แย้ง คำสั่งของแม่ถือเป็นที่สุด!หลีเกอไม่คิดว่าจ้าวเหิงจะพูดตรงไปต
ฟู่ซิวเป่ยเข้าใจความหมายของจ้าวเหิงในทันที แต่เขารู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นว่าหลีเกอรักษาระยะห่างจากเขาเท่าที่สังเกตมา เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล!“ว่าแต่ลูกสาว ฉันรู้ว่าเธอสนใจด้านการออกแบบมาก โม่สิงจือ อาจารย์ภาควิชาออกแบบแฟชั่นของมหาวิทยาลัยปินเฉิงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของฉันเอง อีกสองวันเขาจะจัดนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบในเมืองปินเฉิง ฉันมีบัตรเชิญอยู่ เธอกับซิ่วเป่ยช่วยไปแทนฉันหน่อยได้ไหม”ริมฝีปากของหลีเกอเผยให้เห็นรอยบุ๋มเล็ก ๆ ที่มุมปาก เธอสนใจมาก“ได้สิคะ! มีโอกาสได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”จ้าวเหิงยินดีในใจ สายตาหันไปทางฟู่ซิวเป่ย ผู้ซึ่งเข้าใจและรู้ว่าจ้าวเหิงกำลังสร้างโอกาสให้เขาและหลีเกอ“อืม เราจะไปด้วยกันครับ”จ้าวเหิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“ดีมาก พวกลูกสองคนไปเป็นเพื่อนกัน แม่ก็สบายใจแล้ว แต่ไอ้เจ้าลูกคนนี้ แม่ต้องเตือนให้ชัดเจน ว่าอย่าลืมดูแลลูกสาวของแม่ให้ดีล่ะ”“แม่บุญธรรมคะ วางใจได้เลย พี่ซิวเป่ยเป็นผู้ชายอบอุ่นขนาดนี้ จะต้องดูแลฉันอย่างดีแน่นอนค่ะ”หลีเกอช่วยพูดแก้ต่างกับจ้าวเหิง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูเข้าขากันดี รอยยิ้มบนใบหน้าก็แทบหุบไม่อยู่…โม
แต่หลี่ซูฉินไม่ได้คิดอะไรกับหลีเกอ “เอาน่า อย่าคิดมาก อย่าลืมคำที่แม่พูด วางตัวให้ดีตอนอยู่ต่อหน้าศาสตราจารย์โม่”หลีเกอมาพร้อมกับฟู่ซิวเป่ยเมื่อทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้น หนุ่มสาวรูปงามก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักคนแปลกหน้าอย่างฟู่ซิวเป่ย แต่สำหรับหลีเกอที่เป็นข่าวลือหนาหู พวกเขาได้ติดตามเรื่องราวมาไม่น้อยเลยทีเดียว“คุณหนูหลีตอนนี้หย่าร้างแล้ว แต่กลับใช้ชีวิตอย่างสง่างาม แฟนหนุ่มคนใหม่ดูไม่เลวเลย เมื่อเทียบกับฮั่วจิ้นเฉิงแล้วก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน”“พวกคุณพูดถูก! ผู้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนที่อยู่ในแวดวงของเราเลย เป็นลูกชายตระกูลไหนกันนะ?”“...คุณรู้จักเอฟแอลกรุ๊ปไหม บริษัทนายทุนข้ามชาติรายใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไงล่ะ” ยังมีคนจำฟู่ซิวเป่ยได้ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ “ผู้ชายคนนั้นคือประธานของเอฟแอลกรุ๊ป!”ผู้คนต่างอุทานด้วยความตกใจ!“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาคบกับคุณหนูตระกูลหลี ทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริง ๆ”“อิจฉา อิจฉาจัง คุณหนูตระกูลหลีช่างโชคดีจริง ๆ นอกจากจะเกิดมาชาติตระกูลดีแล้ว หน้าตายังสะสวย แถมยังเก่งอีกต่างหาก! ตอนนี้ธุรกิจของบริษัทตี้เซิ่งอยู่ภายใต้
“แม่เดินวนจนทั่วแล้ว แต่ก็หาผลงานของลูกไม่เจอ แน่ใจเหรอว่าส่งผลงานให้ศาสตราจารย์โม่แล้ว?”ฮั่วซินรีบตั้งสติ “อ้อ หนูส่งแล้วจริง ๆ ค่ะ อาจจะอยู่อีกฝั่ง เดี๋ยวหนูพาไป”แม่ลูกคู่นั้นเดินไปยังอีกฝั่งของนิทรรศการจัดแสดงผลงานด้านนี้ หลีเกอถูกผู้คนล้อมรอบ แต่เธอกลับดูสงบมากหลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครู่หนึ่ง เธอก็กล่าวคำทักทายกับทุกคน จากนั้นก็หาโซฟาตัวหนึ่งเพื่อนั่งพักฟู่ซิวเป่ยถือแก้วแชมเปญมาให้เธอ “เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม?”หลีเกอพยักหน้า “โอเคอยู่ค่ะ”ฟู่ซิวเป่ยพูดต่อ “ผมเพิ่งเดินดูมาเมื่อกี้ ผลงานของศาสตราจารย์โม่เองมีน้อยมากในนิทรรศการวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลงานของนักศึกษาที่เขาสอน ได้ยินมาว่าศาสตราจารย์โม่จะเกษียณแล้ว ตั้งใจจะรับศิษย์สายตรงสักคน คิดว่าอาจารย์อาจจะใช้โอกาสนี้ในการดูความสามารถของนักศึกษา”“…อย่างนั้นเหรอคะ งั้นเราไปดูกันดีกว่า”ทั้งคู่เดินชมผลงานที่จัดแสดงตามทางเดิน หลีเกออดชื่นชมไม่ได้“ผลงานหลายชิ้นดีจริง ๆ ทั้งการออกแบบและแนวคิดล้วนแปลกใหม่ ฉันคิดว่าพวกเขาคงใช้ความพยายามอย่างมาก”หลีเกอพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม ฟู่ซิวเป่ยมองตามสายตาของเธอ แล้วพยักหน้าเ
“คุณหนูฮั่ว ผลงานชิ้นนี้โดดเด่นมาก คงจะมีแรงบันดาลใจในการออกแบบที่แปลกใหม่ คุณพอจะแบ่งปันให้เราฟังได้ไหมคะ?”มีคนอดไม่ได้ที่จะถามฮั่วซินยิ้มแย้ม ท่าทางสง่างาม พูดจาคล่องแคล่ว“ที่จริงแล้วผลงานชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากโชว์ที่ฉันไปชมในฝรั่งเศสค่ะ มันบ่งบอกถึงความเป็นอิสระ และความสวยงามฉลาดล้ำของผู้หญิง ดังนั้นฉันจึงเลือกใช้เฉดสีที่ฉูดฉาด เพื่อแสดงให้เห็นถึงสีสันของความเป็นผู้หญิง ในส่วนของการตัดเย็บก็มีการใส่ใจในรายละเอียด คุณสามารถดูการออกแบบที่ปลายแขนและปกเสื้อได้นะคะ…”หลังจากฮั่วซินพูดจบ ผู้คนรอบข้างก็มองมาด้วยสายตาชื่นชม“ว้าว คุณหนูฮั่วมีความเข้าใจที่เป็นเอกลักษณ์ด้านการออกแบบ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอออกแบบผลงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ไม่รู้ว่าคุณหนูฮั่วมีแผนจะเซ็นสัญญากับสตูดิโอหรือเปล่า แต่สตูดิโอของเรากำลังต้องการนักออกแบบที่มีฝีมือเก่งกาจอย่างคุณหนูฮั่วอยู่พอดี”“บริษัทของเราก็ทำเกี่ยวกับเสื้อผ้าเหมือนกัน นักออกแบบที่เก่งกาจอย่างคุณหนูฮั่ว ถ้าเรียนจบแล้วต้องเก็บบริษัทของเราไว้พิจารณานะครับ”พูดจบก็ไม่ลืมที่จะยื่นนามบัตรให้ฮั่วซินฮั่วซินรับมาด้วยรอยยิ้ม กล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
หลี่ซูฉินพูดพลางผลักฮั่วซินออกไปฮั่วซินจึงรีบคว้าโอกาสนี้พูดขึ้นมาว่า “ฉันตั้งใจจะสอบเรียนต่อเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทของคุณหลังจบปีสี่ หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมศึกษาภาคการออกแบบกับคุณนะคะ”ศาสตราจารย์โม่เข้าใจ จึงให้กำลังใจว่า “ตั้งใจเข้าไว้”พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไปท่ามกลางผู้คนที่ยืนรายล้อมอยู่หลี่ซูฉินเห็นศาสตราจารย์โม่พูดแบบนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นในใจ จึงดึงฮั่วซินมากระซิบกระซาบว่า“ซินซิน สบายใจได้เลย! วางใจหายห่วงแน่นอน! ลูกต้องตั้งใจเข้าไว้นะ อย่าทำให้แม่ผิดหวังล่ะ!”ฮั่วซินหน้าตาเปื้อนยิ้ม“วางใจได้เลยค่ะแม่! ลูกสาวแม่เก่งจะตาย”หนึ่งในนักศึกษาระดับปริญญาโทของศาสตราจารย์โม่ เธอต้องสอบติดแน่ทว่าในวินาทีถัดมา หลีเกอเดินหน้าบึ้งตึงตรงมาหาเธอไม่รู้ทำไม ฮั่วซินถึงเกิดความรู้สึกอยากหนีหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว“มาคุยกันหน่อย!”คำสั้น ๆ สี่คำ แต่กลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นฮั่วซินไม่อยากสนใจหลีเกอหันหลังเตรียมจะเดินจากไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป หลีเกอก็คว้าข้อมือของเธอไว้ “ทำไม ร้อนตัวเหรอ?”หลี่ซูฉินที่อยู่ข้าง ๆ เห็นหลีเกอจับฮั่วซินก็รีบวิ่งเข้ามา“หลีเกอ
แต่เห็นได้ชัดว่าฮั่วซินดูจะไม่ค่อยพอใจ“ฮั่วซิน ฉันจะให้โอกาสเธอ ถอนผลงานชิ้นนี้ออกจากนิทรรศการด้วยตัวเองซะ ไม่งั้นฉันจะทำให้เธอต้องเสียใจจนลืมไม่ลง”ฮั่วซินไม่สนใจหลีเกอไม่มีต้นฉบับ เธอแน่ใจว่าหลีเกอเองก็ไม่มีหลักฐานเช่นกัน ดังนั้นจึงพูดจาโอหังโดยไม่ละอาย“แล้วแต่”พูดจบก็ยืดอกเดินจากไปอย่างหยิ่งผยองเมื่อผลักประตูกระจกก็ชนเข้ากับโม่อี้เฟยพอดี “พี่อี้เฟย! มาทำอะไรที่นี่คะ?”โม่อี้เฟยไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่กลับมองไปทางหลีเกอที่อยู่ไม่ไกลนัก ถามเหมือนไม่ตั้งใจว่า “ความสัมพันธ์ของเธอกับหลีเกอดีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”ฮั่วซินพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “พี่อี้เฟย พูดอะไรน่ะ ใครมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ เธอกลายเป็นคุณหนูตระกูลหลีไปแล้ว ฉันเอื้อมไม่ถึงหรอก”คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความประชดประชัน“อ๋อ…”โม่อี้เฟยลากเสียงยาว ไม่ได้พูดอะไรมากฮั่วซินก็ไม่ได้สนใจโม่อี้เฟยอีก เหยียบรองเท้าส้นสูงก้าวเดินจากไปหลังจากที่เธอจากไปแล้วโม่อี้เฟยจึงก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ซึ่งแสดงโปรแกรมบันทึกเสียง เวลาหยุดอยู่ที่ห้านาทีดวงตาของเขามืดลง กดปุ่มหยุดและเซฟคลิปเสียงไว้“คุณหนูหลี นานเลยนะ