เว่ยซือหงและพี่ชายทั้งสองรวมผู้ติดตาม เดินทางออกจากจุดที่ต่อสู้กับเสิ่นเถาและเตียวฝานมาไกลมาก ถึงได้หยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง“คุณหนู ไม่เดินทางต่ออีกหน่อยหรือเจ้าคะ เดี๋ยวคนพาลสองคนนั้นจะตามเราทันนะเจ้าคะ” หลิงจูออกความเห็น ถึงจะรู้ว่าคุณหนูของนางเก่งมาก แต่นางไม่อยากให้คุณหนูไปเสียเวลากับคนอันธพาลพวกนั้นเว่ยซือหงจุดรอยยิ้มมุมปากสายตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องกังวลหรอกพี่หลิงจู สองคนนั้นออกมาจากจุดนั้นไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”“ยันต์อักขระพื้นที่กักขังของน้องจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน” เว่ยซือหลางถามเข้าประเด็น ก่อนหน้านี้มัวแต่เร่งเดินทางจึงไม่ได้ไต่ถาม“คงอยู่ได้สองชั่วยามเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเราพักกันสักครู่แล้วค่อยออกเดินทางได้หรือไม่ขอรับพี่ใหญ่ ข้าอยากฟื้นพลังอีกสักหน่อย” เว่ยซือเหลียงบอกความต้องการแต่ก็ยังถามความคิดเห็นพี่ชาย“ได้สิ ข้าก็คิดว่าควรหยุดพักสักครู่เช่นกัน พวกเราไม่ได้พักกันเลยตั้งแต่ต่อสู้กับสัตว์อสูรวารียังต้องมารับมือจากสองคนนั้นอีก”“เช่นนั้นก็พักกันเถอะเจ้าค่ะ อีกสักครึ่งชั่วยามค่อยเดินทางต่อ หาสถานที่เหมาะ ๆ ให้พี่รองได้ครอบครองสมบัติธาตุน้ำสักหน่อย”“นั่นสินะ หากน้องเ
“คุณหนู ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่ขอรับ” อาฮุนเอ่ยขออนุญาต เห็นคุณหนูน้อยพยักหน้าจึงถามต่อว่า“คุณชายเสิ่นกับคุณชายเตียวเป็นอะไรไปหรือขอรับ ประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวร้องไห้ ข้าทันเห็นตอนที่เราเดินมาไกลแล้ว”“แค่พิษหลอนประสาทน่ะ ครึ่งชั่วยามก็หายแล้ว ใครใช้ให้พวกเขาใช้พิษเล่นงานกลุ่มของเราล่ะ ดีนะที่เขามอบยาถอนพิษให้พี่รองแลกกับสมบัติธาตุน้ำ ไม่เช่นนั้นละก็ ข้าจะใช้พิษตัวแรงกว่านี้อีก” เว่ยซือหงเข่นเคี้ยวเอ่ยอย่างหมายมาด“ร้ายกาจจริงนะตัวเท่านี้”“ย่อมร้ายแน่นอนเจ้าค่ะ ใครทำร้ายครอบครัว ทำร้ายตระกูลเว่ย ข้าย่อมไม่ดีด้วยอยู่แล้ว” เว่ยซือหงเอ่ยเสียงดังฟังชัด“เอาละ พอก่อน พร้อมแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อนจะเจอที่เหมาะ ๆ”“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”กลุ่มของเว่ยซือหงออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางเก็บเกี่ยวทรัพยากรดี ๆ มาได้ไม่น้อย ในที่สุดก่อนยามค่ำพวกเขาก็มาเจอถ้ำขนาดกลางที่พอให้พวกเขาทุกคนใช้พักผ่อนได้แบบไม่รู้สึกอึดอัด จึงได้หยุดพักกันที่นี่“สมบัติธาตุน้ำเจ้าค่ะพี่รอง”“ขอบใจมากน้องเล็ก”“การครอบครองสมบัติวิเศษเหล่านี้มีหลายวิธี แต่อาหงคิดว่าวิธีที่เหมาะสมที่สุดคือการหยดเลือดเ
ความสำเร็จของเว่ยซือเหลียงนำความยินดีมาสู่ทุกคน แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็ไม่น่าตกใจเท่าความสามารถที่เพิ่มขึ้นครอบครองต้นกำเนิดของวารี เป็นดั่งนายเหนือหัวธาตุน้ำทั้งปวง มีอันใดไม่น่ายินดีเล่า เว่ยซือเหลียงจึงได้รับคำชมไปไม่น้อย“ข้าใช้เวลาหลอมรวมสมบัติวิเศษนานหรือไม่ขอรับพี่ใหญ่” ชายหนุ่มถามพี่ชายด้วยไม่รู้ว่าเวลาผ่านมาเท่าใดแล้ว เดิมทีคิดว่าคงไม่นานนัก แต่ดูจากร่องรอยบริเวณหน้าปากถ้ำที่คนอื่น ๆ ใช้เป็นที่อยู่อาศัยรอเขาแล้ว คงไม่ต่ำกว่าสิบวันเป็นแน่ ไหนจะความแข็งแกร่งของพี่ชายที่ดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นมาจนเขารับรู้ถึงแรงกดดันจาง ๆ นี้อีก“หนึ่งเดือนแล้วน้องรอง” เว่ยซือหลางตอบกลับยิ้ม ๆ“ใช้เวลานานถึงเพียงนี้!” เว่ยซือเหลียงอดตกใจไม่ได้ จนได้รับสายตาแปลก ๆ จากน้องสาวจึงเร่งเก็บอาการคืนความสุขุม“พี่รองคิดว่าการจะครอบครองสมบัติวิเศษสักชิ้นมันง่ายนักหรือเจ้าคะ”“พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้นี่นา”“ช่างเถอะเจ้าค่ะ ว่าแต่พี่รองอยากพูดอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ อาหงเห็นท่านมองพี่ใหญ่นานแล้วไม่พูดสักที”“นั่นสิเจ้ารอง อยากพูดสิ่งใดก็กล่าวมา อมพะนำด้วยเหตุใด”ในเมื่อน้องสาวและพี่ชายร
เว่ยซือหง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และคนสนิทที่เป็นผู้ติดตามทั้งหก เดินทางออกจากถ้ำเก็บเกี่ยวทรัพยากรไปเรื่อย ๆผ่านมาแล้วหลายวันตั้งแต่ได้รวมกลุ่มกันออกเดินทาง พวกเขาแทบไม่พบเจอสถานการณ์ยากลำบากอีกเลย ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนล้วนราบเรียบปราศจากอุปสรรคจนรู้สึกว่าพวกตนสบายเกินไปหน่อยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีจำนวนสมาชิกในกลุ่มของเว่ยซือหงเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากผู้ติดตามทั้งหกคน ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรที่ถูกชะตาและมีธาตุเดียวกันแล้วนั่นเอง ดังนี้หลิงจูทำพันธสัญญากับอินทรีวายุสัตว์อสูรธาตุลม ตั้งชื่อว่าเสี่ยวฮุย รูปลักษณ์ของมันใหญ่กว่าอินทรีทั่วไปเล็กน้อย ความสามารถเฉพาะตัวคือปรับขนาดร่างกายได้ตามใจนึก แม้ไม่โดดเด่นมากนัก แต่หลิงจูก็ชอบ นางพบมันบาดเจ็บตอนพักกลางวันของวันหนึ่งจึงช่วยไว้ เจ้าเสี่ยวฮุยเห็นความเมตตาของหลิงจูและซาบซึ้งที่อีกฝ่ายช่วยมัน จึงเป็นฝ่ายขอทำพันธะด้วยตัวเองหลิงอิงทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรธาตุไฟจิ้งจอกเพลิง ขนของมันมีสีขาว มีเพียงปลายหางเท่านั้นที่มีสีแดงกับสัญลักษณ์รูปเปลวไฟกลางหน้าผาก ร่างกายขนาดเล็กกะทัดรัด คล่องแคล่วปราดเปรียวแต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่พอมันเห็นว่
ทั้งคนทั้งสัตว์อสูรรวมทั้งหมด 15 ชีวิต กระโจนไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตา ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นหอมปริศนายิ่งรุนแรงชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับต้นไม้ที่ขึ้นติดกันอย่างหนาแน่นเดินทางมาได้ 10 ลี้(5กม.) ต้าเป่ากับต้าไป๋จึงหยุดนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อันเป็นจุดที่มีกลิ่นหอมปริศนาเข้มข้นชัดเจนที่สุดผู้เยาว์ของตระกูลเว่ยรู้สึกตกตะลึงและอัศจรรย์ใจ เมื่อต้นไม้ตรงหน้ามีขนาดร้อยคนโอบ ลำต้นของมันสูงใหญ่มองไม่เห็นยอด แตกกิ่งก้านมากมายทอดยาว ใบหนาดกปกคลุมผืนฟ้า จนแสงอาทิตย์ยังส่องลอดผ่านมายังใต้ต้นไม่ได้ ดูเหมือนทึบทว่าบรรยากาศกลับร่มรื่นปลอดโปร่งยิ่งนักพวกเขาไม่เคยเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน!“พฤกษาบรรพกาล” มีแค่เพียงเว่ยซือหงที่ไม่ได้ประหลาดใจอันใดนัก เพราะต้นไม้ตรงหน้ามีอยู่ในมิติของนางเต็มไปหมด แยกเป็นเอกเทศมีอยู่นับหมื่นต้นเลยแหละ “ต้นไม้เก่าแก่จากอดีตกาลเช่นนั้นหรือ ใหญ่โตนัก” เว่ยซือหลางกล่าวคำสายตายังไม่ละจากต้นไม้ตรงหน้า“ตัดกิ่งเล็ก ๆ พกไว้ยามนอนน่าจะหลับสบายนะขอรับพี่ใหญ่” เว่ยซือเหลียงผู้เป็นน้องชายมองต้นไม้ใหญ่ด้วยสายตาหลงใหลพฤกษาบรรพกาล ตามตำราของวิเศษจากอดีตกาลกล่าวไว้
‘ท่านปู่ต้นไม้ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านนะเจ้าคะ’ เว่ยซือหงหลับตาสื่อจิตพูดคุยกับต้นไม้บรรพกาลด้วยท่าเดิม‘ท่านเรียกหาข้าด้วยเหตุใดหรือขอรับ’ เสียงชราของจิตวิญญาณต้นไม้ตอบกลับมาด้วยความอ่อนโยน“ท่านปู่ต้นไม้ อาหงชื่อเว่ยซือหง อยากจะขอกิ่งเล็ก ๆ จากพฤกษาบรรพกาลของท่านสักกิ่ง ไม่ทราบว่าท่านมอบให้ได้หรือไม่เจ้าคะ”‘ท่านอยากได้กิ่งไม้ของข้าหรือ’‘เจ้าค่ะ แต่อาหงไม่ได้ขอเปล่า ๆ นะเจ้าคะ อาหงยินดีแลกเปลี่ยนกับน้ำพลังปราณ แต่หากท่านปู่มอบให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาหงยังยินดีมอบน้ำพลังปราณให้ท่านปู่ต้นไม้เหมือนเดิม เป็นการขออภัยที่มารบกวนเจ้าค่ะ’‘แค่กิ่งไม้เล็ก ๆ กิ่งเดียวเหตุใดจะให้ไม่ได้เล่า หากเป็นท่านพวกเราเหล่าพฤกษาล้วนยินดีสละอยู่แล้ว’‘ท่านปู่ต้นไม้ล้ออาหงเล่นแล้ว ก่อนหน้านี้อาหงก็เคยขอกิ่งเล็ก ๆ เช่นนี้จากพฤกษาบรรพกาลต้นอื่น แต่ก็ไม่เคยได้เลยเจ้าค่ะ’ เว่ยซือหงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นจึงแย้งกลับ‘นั่นเป็นเพราะมันยังไม่ถึงเวลาของพวกเขา’ เสียงชราของจิตวิญญาณต้นไม้ตอบกลับด้วยความใจเย็น‘เวลา? เวลาอันใดหรือเจ้าคะ’‘ไว้ถึงเวลาท่านจะรับรู้เอง เอาละข้าต้องกลับไปจำศีลแล้ว ข้าขอให้ท่
“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เจอมัน” เว่ยซือหลางที่เว้นช่วงไปนานเพราะมัวแต่คิดถึงคุณและโทษจากผึ้งมรกตกล่าวอีกครั้ง “ผึ้งมรกตมีพิษรุนแรงและอันตรายมาก แต่น้ำหวานของมันก็วิเศษมากพอที่เราจะลองเสี่ยงเหมือนกันนะขอรับพี่ใหญ่” แม้จะรู้ว่าอันตรายแต่เว่ยซือเหลียงไม่ยินดีตัดใจตอนนี้ไม่เพียงเจ้าสงสงเท่านั้นที่อยากกินน้ำผึ้งหยก เว่ยซือเหลียงยังไม่อาจตัดใจ แล้วเว่ยซือหงจะปล่อยผ่านหรือ นางไม่เพียงอยากได้น้ำผึ้งหยกเท่านั้น นางอยากได้ผึ้งมรกตไปเลี้ยงด้วย!“อาหงคิดว่าเราโชคดีนะเจ้าคะ”“ใช่! โชคดีที่หงเอ๋อร์เจอน้ำพลังปราณ สมบัติวิเศษที่ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์อสูรก็ยากจะปฏิเสธ” เว่ยซือหลางตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาให้น้องนำน้ำพลังปราณที่ใส่ในโหลแก้วใบใหญ่ออกมา แล้วตนเป็นคนถือไว้เองหึ่ง หึ่งพลันนั้นผึ้งมรกตที่เกาะรังผึ้งนิ่ง ๆ ราวไม่มีชีวิตพลันแตกออกจากรัง ก่อนผึ้งตัวใหญ่เท่ากาน้ำชาจะปรากฏด้านหน้ารังผึ้ง โดยมีผึ้งอีกนับหมื่นอยู่ด้านหลังราชินีผึ้งมรกต หรือเรียกอีกอย่างว่าราชินีผึ้งพิษปรากฏออกมาแล้ว!“ระดับจักรพรรดิ!”หลังได้ยินคำพูดของเว่ยซือหลางคนอื่น ๆ มีท่าทีระมัดระวังตัวมากขึ้น ทั้งยังย้ายตัวเองมาอยู
“หึ่ง หึ่ง ถึงจะน่าสนใจ แต่เสียดายยิ่งนัก พวกข้าไม่อาจอยู่ในพื้นที่ที่พลังปราณถดถอยได้” ถึงจะไม่เคยออกไปนอกดินแดนลับ แต่มันย่อมรู้ว่าด้านนอกต้องไม่ดีเท่าที่ที่พวกมันอยู่ตอนนี้แน่ เพราะถ้าดีจริงมนุษย์พวกนี้คงไม่เข้ามาแสวงโชค และขอแลกเปลี่ยนน้ำผึ้งหยกกับพวกมันเช่นนี้หรอกได้ยินคำกล่าวของราชินีผึ้งมรกต และอากัปกิริยาของพวกมัน ดวงตาของเด็กหญิงพลันทอประกายวูบไหวฉายความเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ เพียงแต่ว่าข้ามีสถานที่เหมาะ ๆ ไม่ด้อยไปกว่าที่นี่นัก สำหรับให้พวกเจ้าอยู่อาศัยอย่างไรเล่า จึงได้เอ่ยชวน”“นะ นี่เจ้าพูดจริงหรือ” ราชินีผึ้งมรกตตัวหนึ่งเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น สายตายังจับจ้องโหลน้ำพลังปราณทั้งสิบไม่เลิก“จริงสิ ข้าไม่โกหก”ได้รับคำยืนยันจากเด็กมนุษย์เหล่าผึ้งยิ่งอยากไปด้วย เพราะการที่นางเรียกน้ำพลังปราณสิบโหลออกมาหลอกล่อพวกมันง่าย ๆ อย่างไม่เสียดายเช่นนี้ย่อมหมายความว่า นางมีมันในครอบครองมากกว่าอย่างไรเล่า ต่อให้ผึ้งมรกตตัวอื่น ๆ จะพูดคุยกับนางไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้โง่!ด้วยเหตุนั้นตอนนี้สถานการณ์ด้านหน้าของนางจึงเริ่มวุ่นวายเพราะพวกผึ้งตกลงกันไม่ได้“สถานที่ที่เจ้าพ
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส