เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วสามปี กิจการค้าผักปราณของตระกูลเว่ยดีวันดีคืน ภายในระยะเวลาข้างต้นมีคู่ค้าไปแล้วร่วมยี่สิบราย ทั้งจากดินแดนเบื้องล่างและดินแดนเบื้องบนด้วยเหตุนี้ตระกูลเว่ยจึงมีชื่อเสียงมากในดินแดนเบื้องบน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยย่างกรายขึ้นไปเหยียบทวีปที่สูงกว่าเลยก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งอย่างไรก็ตามกิจการและความสำเร็จของตระกูลเว่ยนั้นมากเกินไปจนไปเตะตาผู้มีอำนาจจากดินแดนเบื้องบนเข้า โชคดีที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับสองพี่น้องตระกูลโอหยาง เมื่อครั้งที่ตัวตนระดับราชันมากดดันตระกูลเว่ยถึงหน้าประตูจวน ก็ได้สองพี่น้องที่ออกหน้าช่วยเหลือ ยังมีหอเทพโอสถและสมาคมอักขระเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ผู้มีอำนาจคนนั้นจึงล่าถอยไปด้วยความเจ็บใจเดิมทีหลายคนคิดว่าตระกูลเว่ยจบสิ้นแล้ว พวกเขาถึงกับส่ายหน้าเสียดาย แต่อย่างว่าความสำเร็จของตระกูลเว่ยมีมากเกินไป ไม่แปลกที่จะไปกระตุ้นตัวตนระดับนั้นเข้า ใครจะไปคาดคิดว่าผลจะออกมาเช่นนี้เล่า นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบแล้วยังมีสองขั้วอำนาจระดับสูงหนุนหลัง คนที่รอเหยียบย่ำซ้ำเติมหากตระกูลเว่ยล่มจมถึงกับกระอักเลือดให้กับความโชคดีนี้จากวันนั้น
“ทำไมชีวิตของคนที่โตแล้วมันเหนื่อยอย่างนี้นะ”หลิงจูหลิงอิงมองหน้ากันด้วยอาการกระอักกระอ่วน เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านายตัวน้อย คุณหนูของพวกนางเพิ่งอายุสิบขวบมาได้เท่าไรเอง หากว่าถึงวัยปักปิ่นอันเป็นวัยผู้ใหญ่ที่แท้จริงนางจะบ่นมากกว่านี้หรือไม่กันหนอ“อะไร มองแบบนี้หมายความว่ายังไง คงคิดว่าข้าแก่แดดสินะ”“เปล่านะเจ้าคะ”“พวกพี่จะไปรู้อะไร เด็กสิบขวบก็มีเรื่องเหนื่อยยากเหมือนกันกับผู้ใหญ่โตเต็มวัยนั่นแหละ”“คุณหนูพูดเหมือนพวกข้าไม่เคยอายุสิบขวบ”“อีกแล้วนะพี่หลิงอิง ชอบขัดข้าอยู่เรื่อย ประเดี๋ยวเถอะ ฮึ่ม”“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”ดรุณีน้อยปรายตามองสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะพิศมองด้วยสีหน้าจริงจัง จนขนถูกมองทั้งขวยอายและรู้สึกแปลก ๆ“คุณหนูมองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” หลิงจูเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังเว่ยซือหงเผยยิ้มใช้สายตาแพรวพราวมองแม่นางทั้งสอง “โอ้ ปกติข้าไม่เคยมองพวกท่านตรง ๆ แบบจริง ๆ จัง ๆ วันนี้พอได้พิศแล้วกลับรู้สึกว่าพวกท่านงดงามมาก เป็นความงามที่แตกต่างกันยิ่ง”สาวใช้ทั้งสองของเว่ยซือหงไม่ต่างอันใดกับดอกไม้แรกแย้มเลยสักนิด หากให้เปรียบเป็นดอกไม้ ความงามของหลิงจูนั้นคงเหมือนกับดอ
“จริงสิ จดหมายที่หลินหว่านส่งมาให้ข้าเมื่อเช้าอยู่ไหนหรือ” เมื่อเช้ายังไม่ทันจะได้เปิดจดหมายของสหายอ่าน ท่านย่าดันเดินมาเห็นกิริยาไม่งามของนางเข้า จึงเป็นเหตุให้ถูกเคี่ยวกรำเพิ่งจะได้กลับมาพักนี่แหละ“เดี๋ยวข้าหยิบมาให้เจ้าค่ะคุณหนู” หลิงอิงเดินไปหยิบจดหมายของคุณหนูจวนหลินมาส่งให้เว่ยซือหง“ขอบใจเจ้าค่ะ” มือเล็กค่อนข้างอวบยื่นไปรับมาพร้อมคลี่จดหมายออกอ่าน เนื้อความบนกระดาษไม่มีอันใดมาก นอกจากการพร่ำบ่นของสหายที่ถูกครอบครัวเคี่ยวกรำให้เรียนและประพฤติตนตามหลักสตรีชนชั้นสูงซือหง ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่ ส่วนข้าไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ด้วยถูกท่านย่าเคี่ยวกรำศาตร์ศิลป์ทั้งสี่ ช่วงนี้ถูกบังคับให้เรียนฉินหนักมาก เจ็บนิ้วปวดแขนไปหมด ข้าไม่ชอบเลย ขอออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ กล่าวว่าสตรีในห้องหอไม่ควรเยี่ยมหน้าออกไปนอกจวนบ่อยนัก โธ่เอ๊ย ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ข้าไม่ได้ทำอันใดเสียหายสักหน่อย เจ้าบอกข้าเองไม่ใช่หรือ ว่าวัยอย่างพวกเราควรเล่นและกินให้เต็มที่ โตกว่านี้ก็ทำเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่เจ้าดูข้าสิ ข้าสิบขวบเองนะ สิบขวบ! ซือหงเจ้าเห็นใจสหายอย่างข้าใช่หรือไม่ เจ้าไม่คิดว่าข้าน่าสงสารห
เว่ยซือหลางในวัย 20 ปีมีความสุขุมมากกว่าน้องชายส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็จับมือเว่ยซือเหลียงออกจากหัวของน้องสาว “อย่าแกล้งน้อง”“โธ่พี่ใหญ่ ข้าแค่แกล้งน้องนิด ๆ หน่อย ๆ เอง”“ไม่ได้ อย่าแกล้งน้อง” เว่ยซือเหลียงทำหน้าขัดใจเพราะไม่อาจขัดคำพูดพี่ใหญ่ได้ “สมน้ำหน้า แบร่” เว่ยซือหงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายคนรอง เล่นเอาเว่ยซือเหลียงทั้งฉุนทั้งขำ“พี่ใหญ่ท่านดูนางสิ”“น้องเล็ก เดี๋ยวเถอะ”เว่ยซือหงเปล่งเสียงหัวเราะที่แกล้งทั้งพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองได้ แต่พอถูกสายตาเรียบนิ่งของพี่ชายทั้งสองมองมาเจ้าตัวจึงค่อย ๆ เงียบลง “ขออภัยเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเถอะสบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะ พวกท่านเล่าเจ้าคะ”“พวกพี่สบายดี”สามพี่น้องตระกูลเว่ยผลัดกันถามสารทุกข์สุกดิบก่อนผลัดกันเล่าเรื่องราว ถึงจะเขียนจดหมายเล่าให้กันฟังทุกเดือนอยู่แล้วก็เถอะ ทว่าเมื่อเจอหน้ากันทั้งเรื่องใหม่เรื่องเก่าล้วนถูกเล่าปะปนกันไปอยู่ดี เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว“ว่าแต่ครั้งนี้พวกท่านจะอยู่ที่จวนนานหรือไม่เจ้าคะ”“ทำไม เจ้าอยากให้พวกพี่กลับไปแล้วหรือ” เว่ยซือเหลียงกวนน้องสาว จนเว่ยซือหงมุ่ยหน้า“ใช่ที่ไหนเล่าเจ้าคะ ข้าก็แค่อ
เนื่องจากชื่อเสียงของสมาคมอักขระที่มีความแม่นยำการตรวจจับพื้นที่มิติมากที่สุด ทำให้ข่าวดินแดนลับที่กำลังจะเปิดออกกระพือโหมไปไกลมาก ยิ่งหลายวันมานี้คนของสมาคมอักขระและหอเทพโอสถยังเดินทางมาแคว้นโจวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยิ่งมีข่าวแพร่กระจายออกไปตามการคาดเดาว่า บางทีมิติร่วมนภาอาจจะเปิดที่เมืองหลวงแคว้นโจวก็ได้ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั่วทุกหัวมุมเมือง ทุกตรอกช่องทางของเมืองหลวงมักมีกลุ่มคนเดินสวนกันขวักไขว่อยู่เสมอ หลายคนต่างระมัดระวังการใช้ชีวิตยิ่งขึ้น กลุ่มผู้มีอำนาจของแคว้นโจวต่างบอกลูกหลานให้เก็บเนื้อเก็บตัวสักระยะ ด้วยกลัวว่าหากไปชนตอเข้า อำนาจที่ตระกูลมีจะช่วยไม่ได้ อย่าลืมว่าคนที่มายังเมืองหลวง นอกจากผู้ฝึกยุทธ์อิสระยังมีผู้เยาว์และกลุ่มอำนาจจากดินแดนเบื้องบนเดินทางมาเยือนด้วยกลุ่มคนที่เติบโตในดินแดนกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงทั้งสิ้น ด้วยลมปราณที่หนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าดินแดนเบื้องล่าง เพียงเกิดมาก็มีร่างกายแข็งแกร่ง ครั้นพลังปราณตื่นขึ้นยังตื่นในระดับแม่ทัพแล้ว ไม่เหมือนชาวทวีปนภาครามที่ต้องไต่ระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้น เพียงเกิดยังต่างชั้นขนาดนี้
เว่ยซือหงไล่สายตาจับจ้องไปยังทีละคนตามชื่อ เริ่มจากจิวซิน สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนี้ที่เป็นถึงนักปรุงโอสถ แม้จะมีใบหน้างดงามทว่าเป็นคนหัวสูง ใครมีประโยชน์ก็คบหา หากหมดประโยชน์ไม่เพียงก้าวข้ามนางยังรอเหยียบด้วยเตียวฝานนักอักขระที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลาคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าจิวซินนัก เขาค่อนข้างเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว ทว่าเก็บซ่อนตัวตนได้เก่งยิ่ง หากนางไม่มีเนตรสวรรค์ ด้วยภาพลักษณ์อ่อนโยนเช่นนั้น คงจะมองไม่ออกง่าย ๆ แน่เสิ่นเถาคือบุรุษที่กำลังมีปัญหากับกู้เยว่สหายของพี่ชาย และยังเป็นคนเดียวกับที่กล่าววาจาดูแคลนนาง คนคนนี้เป็นคนเลือดร้อนชั่วร้ายคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ไม่มีความจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษทว่าอี้ไท่หยวนบุรุษเงียบขรึมไม่พูดจา วางตัวนิ่งเฉยตัดขาดออกจากทุกคนเช่นนี้น่าสนใจกว่ามาก เพราะจิตใจของเขาดำมืดยิ่งนัก นางหาแสงสว่างสีขาวในตัวเขาไม่เจอเลย เด็กหญิงหลุบตาต่ำคนคนนี้อันตราย สัญชาตญาณระวังภัยของเว่ยซือหงตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่สบเข้ากับเนตรคมกริบคู่นั้น“ในเมื่อรู้จักกันแล้ว เช่นนั้นปล่อยผ่านเรื่องวันนี้สักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ” เว่ยซือหงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใบหน้าเล็
กลุ่มของเว่ยซือหงมารวมตัวกันในห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว สหายของเว่ยซือเหลียงทั้งหมดอยู่ในห้องนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงแต่อย่างใด เพราะทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณด้วยกันทั้งนั้นทว่าแม้คนจะเยอะแต่ในห้องพิเศษกลับเงียบไร้ซึ่งบทสนทนาอย่างที่ควรเป็น เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย“สั่งอาหารเถอะ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยนำร่อง“นั่นสิ ๆ สั่งอาหารกันดีกว่า” กู้เยว่พยักพเยิดจนทุกคนพากันสั่งอาหาร ไม่นานอาหารน่ากินหลายจานถูกนำมาส่ง ทุกคนนั่งกินกันอย่างเงียบ ๆ จวบจนอาหารบนจานถูกกวาดเรียบนั่นแหละ จึงเริ่มพูดคุยกันบ้าง“เว่ยซือหง อย่างไรพี่ชายต้องขอบใจเจ้ามากนะ หากเจ้าไม่เข้ามาช่วย บางทีกลุ่มของพวกพี่ชายต้องได้ปะทะกับคนพวกนั้นจนต้องเจ็บตัวไม่น้อยแน่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างไรก็คนคุ้นเคย ช่วยกันน่ะดีแล้ว” เว่ยซือหงตอบรับยิ้ม ๆ พลางมองสหายของพี่ชายทีละคน ๆ ไม่ว่าจะกู้ฉี หลินฝู หลิวจางหย่ง หลิวซาน ล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งนั้นขอกล่าวถึงสมาชิกตระกูลใหญ่ทั้งสาม ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเว่ยตลอดมาอีกสักครั้งอย่างละเอียดตระกูลหลิน ตระกูลเสนาบดีกรมกล
ณ จวนตระกูลเว่ย “ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าดินแดนลับที่กำลังจะเปิดนี้มีประตูทางเข้าที่ป่าจินหลินชั้นใน” เว่ยซือหลิวเอ่ยออกมาเมื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวอยู่กันแบบพร้อมหน้า“ขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางตอบกลับ สายตาชายหนุ่มมองผู้เป็นปู่มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจพาดผ่าน นั่นเป็นเพราะปัจจุบันเว่ยซือหลิวไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว เพราะเขามีพลังปราณอยู่ที่ระดับราชัน!ถึงจะเป็นราชาขั้นต่ำแต่ก็ยังเป็นระดับราชันคนแรกของดินแดนเบื้องล่างที่สามารถตัดผ่านขั้นพลังไปยังระดับนี้ได้ ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนเองหากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ยากจะไปถึง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องสาวของเขา ที่ชอบนำของดี ๆ มาให้คนในครอบครัวอยู่เสมอ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงพากันเลื่อนระดับกลายเป็นตระกูลที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมท้าวความกลับไปตอนที่ตระกูลเว่ยทำการค้าผักปราณอย่างเปิดเผยกับดินแดนเบื้องบนใหม่ ๆ การค้าของพวกเขาไปกระตุ้นผู้มีอำนาจบางคนเข้าจึงถูกกดดันอย่างหนัก โชคดีที่ได้สองพี่น้องตระกูลโอหยางและหอเทพโอสถกับสมาคมอักขระออกหน้าให้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าพวกตนยังจะรักษาการค้านี้ไว้ได้หรือไม่นับจากวันนั้นเว่ยซือหลิวที่คิดว่าตนเอง
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส