เนื่องจากชื่อเสียงของสมาคมอักขระที่มีความแม่นยำการตรวจจับพื้นที่มิติมากที่สุด ทำให้ข่าวดินแดนลับที่กำลังจะเปิดออกกระพือโหมไปไกลมาก ยิ่งหลายวันมานี้คนของสมาคมอักขระและหอเทพโอสถยังเดินทางมาแคว้นโจวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยิ่งมีข่าวแพร่กระจายออกไปตามการคาดเดาว่า บางทีมิติร่วมนภาอาจจะเปิดที่เมืองหลวงแคว้นโจวก็ได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั่วทุกหัวมุมเมือง ทุกตรอกช่องทางของเมืองหลวงมักมีกลุ่มคนเดินสวนกันขวักไขว่อยู่เสมอ หลายคนต่างระมัดระวังการใช้ชีวิตยิ่งขึ้น กลุ่มผู้มีอำนาจของแคว้นโจวต่างบอกลูกหลานให้เก็บเนื้อเก็บตัวสักระยะ ด้วยกลัวว่าหากไปชนตอเข้า อำนาจที่ตระกูลมีจะช่วยไม่ได้ อย่าลืมว่าคนที่มายังเมืองหลวง นอกจากผู้ฝึกยุทธ์อิสระยังมีผู้เยาว์และกลุ่มอำนาจจากดินแดนเบื้องบนเดินทางมาเยือนด้วย
กลุ่มคนที่เติบโตในดินแดนกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงทั้งสิ้น ด้วยลมปราณที่หนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าดินแดนเบื้องล่าง เพียงเกิดมาก็มีร่างกายแข็งแกร่ง ครั้นพลังปราณตื่นขึ้นยังตื่นในระดับแม่ทัพแล้ว ไม่เหมือนชาวทวีปนภาครามที่ต้องไต่ระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้น เพียงเกิดยังต่างชั้นขนาดนี้ ไม่นับว่าผ่านไปหลายปีคนเหล่านั้นเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกปราณอย่างจริงจัง ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า ระดับพลังของพวกเขาเหล่านั้นจะล้ำหน้าเหมือนพยัคฆ์ติดปีกเพียงใด พวกเราดินแดนเบื้องล่างไม่อาจรู้ได้ เช่นนั้นการระมัดระวังรู้จักหลบหลีกได้เป็นดี
ชั่วพริบตาวันนัดหมายเดินตลาดกับสหายก็มาถึง เว่ยซือหงอยู่ในชุดสีเขียวไล่ระดับอ่อนไปเข้มปักลายกิ่งไผ่ลู่ลม ดูนุ่มนวลและสุภาพทั้งยังช่วยขับผิวขาวให้เปล่งประกาย ยิ่งนางดื่มกินน้ำและผักผลไม้ปราณเป็นประจำ ผิวพรรณยิ่งเปล่งปลั่งสะท้อนแสงแดดราวหยกน้ำงาม ยามเด็กหญิงเดินผ่าน คนอื่น ๆ คล้ายหมองลงไปเล็กน้อย
ข้างกายเว่ยซือหงคือหลินหว่านสหายสนิทที่นัดกันมาเที่ยวชมตลาดในวันนี้นั่นเอง เด็กหญิงอยู่ในชุดปักลายดอกเหมยสีเหลืองนวลไล่ระดับเช่นกัน ผิวพรรณของนางแม้ไม่อาจเทียบเท่าเว่ยซือหงแต่ก็ดีกว่าคนทั่วไปมาก
ทั้งสองหยุดพูดคุยเป็นระยะเมื่อเห็นร้านที่ถูกใจ ก่อนจะพากันเดินต่อ สายตายังลอบประเมินท่าทีของผู้คนที่เดินสวนกันอยู่บ่อย ๆ พบคนที่กลิ่นอายแข็งแกร่งไม่น้อยเลย เด็กทั้งสองและกลุ่มผู้ติดตามเดินตลาดอย่างมีความสุข ทว่าดูเหมือนจะปกติสุขเกินไป สวรรค์จึงดลบันดาลให้ไปเจอกับปัญหาเข้า
“คุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”
ด้านหน้าของเว่ยซือหงมีคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่พร้อมเสียงโวยวายที่เล็ดลอดออกมา ชาวบ้านที่ทำมาค้าขายต่างพากันก้มหน้าไม่กล้ามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดมากนัก
“ดูเหมือนคุณชายกู้จะแย่แล้ว”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเขาก้าวเท้าไหนออกจากบ้านจึงมาเจอกลุ่มคุณหนูคุณชายของดินแดนเบื้องบนเข้า”
“ไม่น่าเลย ชีวิตกำลังไปได้ดีแท้ ๆ”
“มีพลังปราณระดับจอมยุทธ์แล้วอย่างไร ต่อหน้าคนจากดินแดนเบื้องบนพวกเราก็ไม่ต่างอันใดกับมดปลวก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใช่ว่าคุณชายกู้จะเป็นคนผิดเสียหน่อย คนพวกนั้นต่างหากที่ผิด”
“ใช่ ๆ”
เว่ยซือหงและหลินหว่านที่ตอนแรกจะยืนดูเหตุการณ์อยู่วงนอกเฉย ๆ พลันเปลี่ยนใจทันทีเมื่อคนที่กำลังมีปัญหาเป็นสหายของพี่ชายคนรอง ครั้นพอมองให้ดียังเห็นเว่ยซือเหลียงยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีคุณชายจากตระกูลอื่น ๆ ที่สนิทชิดเชื้อรวมอยู่ในกลุ่ม
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านป้า ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ พอจะเล่าให้พวกข้าฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ” หลินหว่านจูงมือสหายเดินเข้าไปถามท่านป้านางหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะพูดคุยด้วยได้
“จะอะไรเล่า ก็คุณชายกู้น่ะสิไปขัดขากลุ่มคุณหนูคุณชายเข้าจนทำให้พวกเขาไม่พอใจ”
“ขัดขา?”
“เฮ้อ จะโทษคุณชายกู้ก็ไม่ถูกต้องหรอก ความจริงเขาแค่เข้ามาช่วยเด็กคนหนึ่ง ที่บังเอิญวิ่งไปชนคนในกลุ่มนั้นเข้า คนพวกนั้นโหดร้ายยิ่งนัก เด็กเพียงห้าขวบวิ่งชนกลับถึงขั้นลงไม้ลงมือส่งพลังปราณไปทำร้าย หากไม่ได้คุณชายกู้ปัดป้องเอาไว้ ไม่แน่อาจถึงชีวิต เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ นี่ก็นานเป็นเค่อแล้ว ยังจบเรื่องไม่ได้เลย ซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเจ้าก็รีบกลับเถอะ อย่าอยู่นานนัก ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลงไม่รู้ตัว ชาวบ้านหลาย ๆ คนก็เริ่มปลีกตัวกลับแล้ว แผงลอยหลายร้านก็เก็บข้าวของกลับแล้วเช่นกัน”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงกล่าวขอบคุณพร้อมยื่นเงินให้อีกฝ่ายหนึ่งตำลึง
“เอาไงดีอาหง” หลินหว่านถามสหายด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ในกลุ่มนั้นมีพี่ชายของข้าอยู่ เจ้าไปรอข้าที่โรงเตี๊ยมของท่านตา ประเดี๋ยวเสร็จธุระตรงนี้ข้าจะรีบตามไป”
“เรื่องอะไรเล่า มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ ข้าไม่ทิ้งเจ้าแน่” หลินหว่านยืนยันแม้นางจะหวาดกลัวแต่ไม่คิดทิ้งสหาย
เว่ยซือหงที่เห็นว่าอย่างไรสหายก็ไม่ยอมไปจึงพยักหน้าแล้วเดินนำไปยังกลุ่มคนที่มีปัญหากันทันที
“พี่รอง”
“น้องเล็กมาทำอันใดที่นี่ กลับจวนได้แล้ว” เว่ยซือเหลียงตกใจที่เห็นน้องสาวอยู่ตรงนี้เอ่ยเสียงเครียด
เด็กหญิงส่ายหน้าเหลือบสายตามองไปยังกลุ่มคุณหนูคุณชายจากดินแดนเบื้องบนเล็กน้อย ฝ่ายนั้นมีกันอยู่ห้าคนไม่รวมผู้ติดตาม แต่ละคนมีพลังระดับปราชญ์ขั้นต้นทั้งสิ้น
‘มีพลังระดับปราชญ์? ไม่แปลกที่สร้างความกดดันให้พี่รองได้’
“น้องเล็กไม่ใช่เวลามาดื้อนะ กลับไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มดุน้องสาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยกลัวว่าน้องจะได้รับอันตราย
“ไม่เจ้าค่ะ” เว่ยซือหงยืนกราน แล้วเลือกไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนตรงหน้าทันที
ฝ่ายคุณหนูคุณชายที่มาจากดินแดนเบื้องบนเองต่างรู้สึกแปลกใจที่เด็กสิบขวบกล้าสบตากับพวกเขา
“เหอะ ช่างไม่กลัวตาย” เสิ่นเถา คุณชายจากทวีปศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งไม่เกรงกลัวในพลังอำนาจที่เขามี
เว่ยซือหงเพียงมองนิ่ง ๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองคนอื่น ๆ ทั้งห้าคนนี้มีอยู่หนึ่งคนที่จิตใจสว่างกว่าคนอื่น ๆ น่าจะพอคบหาได้
“ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะเจ้าค่ะ ข้านามซือหงแซ่เว่ย ไม่ทราบว่าพวกท่านมีชื่อแซ่อย่างไรกันบ้างเจ้าคะ”
ทันทีที่ได้ยินแซ่เว่ยออกจากปากเด็กหญิงตรงหน้า ท่าทีเหยียดหยามดูแคลนของคนกลุ่มนั้นพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เสิ่นเถาเองยังชะงักไปครู่หนึ่ง
“ที่แท้เป็นคุณหนูตระกูลเว่ยนี่เอง ข้าเปียวหย่ง ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูน้อย” เปียวหย่งมีอัธยาศัยดีที่สุดในกลุ่มเอ่ยแนะนำตัวเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายเปียวเช่นกันเจ้าค่ะ แล้ว...” เด็กหญิงทิ้งหางตาไปยังคนอื่น ๆ เปียวหย่งกลั้วหัวเราะพลางว่า
“ข้าจะแนะนำให้คุณหนูได้รู้จักเอง เริ่มจากสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มของข้า นางมีนามว่าจิวซิน เป็นผู้ปรุงโอสถ คนที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานามเตียวฝานเป็นนักอักขระ ส่วนนั่นอี้หยวนไท่ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด และสุดท้ายเสิ่นเถา”
เว่ยซือหงไล่สายตาจับจ้องไปยังทีละคนตามชื่อ เริ่มจากจิวซิน สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนี้ที่เป็นถึงนักปรุงโอสถ แม้จะมีใบหน้างดงามทว่าเป็นคนหัวสูง ใครมีประโยชน์ก็คบหา หากหมดประโยชน์ไม่เพียงก้าวข้ามนางยังรอเหยียบด้วยเตียวฝานนักอักขระที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลาคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าจิวซินนัก เขาค่อนข้างเจ้าเล่ห์เลยทีเดียว ทว่าเก็บซ่อนตัวตนได้เก่งยิ่ง หากนางไม่มีเนตรสวรรค์ ด้วยภาพลักษณ์อ่อนโยนเช่นนั้น คงจะมองไม่ออกง่าย ๆ แน่เสิ่นเถาคือบุรุษที่กำลังมีปัญหากับกู้เยว่สหายของพี่ชาย และยังเป็นคนเดียวกับที่กล่าววาจาดูแคลนนาง คนคนนี้เป็นคนเลือดร้อนชั่วร้ายคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ไม่มีความจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษทว่าอี้ไท่หยวนบุรุษเงียบขรึมไม่พูดจา วางตัวนิ่งเฉยตัดขาดออกจากทุกคนเช่นนี้น่าสนใจกว่ามาก เพราะจิตใจของเขาดำมืดยิ่งนัก นางหาแสงสว่างสีขาวในตัวเขาไม่เจอเลย เด็กหญิงหลุบตาต่ำคนคนนี้อันตราย สัญชาตญาณระวังภัยของเว่ยซือหงตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่สบเข้ากับเนตรคมกริบคู่นั้น“ในเมื่อรู้จักกันแล้ว เช่นนั้นปล่อยผ่านเรื่องวันนี้สักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ” เว่ยซือหงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใบหน้าเล็
กลุ่มของเว่ยซือหงมารวมตัวกันในห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว สหายของเว่ยซือเหลียงทั้งหมดอยู่ในห้องนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงแต่อย่างใด เพราะทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณด้วยกันทั้งนั้นทว่าแม้คนจะเยอะแต่ในห้องพิเศษกลับเงียบไร้ซึ่งบทสนทนาอย่างที่ควรเป็น เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย“สั่งอาหารเถอะ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยนำร่อง“นั่นสิ ๆ สั่งอาหารกันดีกว่า” กู้เยว่พยักพเยิดจนทุกคนพากันสั่งอาหาร ไม่นานอาหารน่ากินหลายจานถูกนำมาส่ง ทุกคนนั่งกินกันอย่างเงียบ ๆ จวบจนอาหารบนจานถูกกวาดเรียบนั่นแหละ จึงเริ่มพูดคุยกันบ้าง“เว่ยซือหง อย่างไรพี่ชายต้องขอบใจเจ้ามากนะ หากเจ้าไม่เข้ามาช่วย บางทีกลุ่มของพวกพี่ชายต้องได้ปะทะกับคนพวกนั้นจนต้องเจ็บตัวไม่น้อยแน่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างไรก็คนคุ้นเคย ช่วยกันน่ะดีแล้ว” เว่ยซือหงตอบรับยิ้ม ๆ พลางมองสหายของพี่ชายทีละคน ๆ ไม่ว่าจะกู้ฉี หลินฝู หลิวจางหย่ง หลิวซาน ล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งนั้นขอกล่าวถึงสมาชิกตระกูลใหญ่ทั้งสาม ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเว่ยตลอดมาอีกสักครั้งอย่างละเอียดตระกูลหลิน ตระกูลเสนาบดีกรมกล
ณ จวนตระกูลเว่ย “ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าดินแดนลับที่กำลังจะเปิดนี้มีประตูทางเข้าที่ป่าจินหลินชั้นใน” เว่ยซือหลิวเอ่ยออกมาเมื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวอยู่กันแบบพร้อมหน้า“ขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางตอบกลับ สายตาชายหนุ่มมองผู้เป็นปู่มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจพาดผ่าน นั่นเป็นเพราะปัจจุบันเว่ยซือหลิวไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว เพราะเขามีพลังปราณอยู่ที่ระดับราชัน!ถึงจะเป็นราชาขั้นต่ำแต่ก็ยังเป็นระดับราชันคนแรกของดินแดนเบื้องล่างที่สามารถตัดผ่านขั้นพลังไปยังระดับนี้ได้ ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนเองหากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ยากจะไปถึง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องสาวของเขา ที่ชอบนำของดี ๆ มาให้คนในครอบครัวอยู่เสมอ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงพากันเลื่อนระดับกลายเป็นตระกูลที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมท้าวความกลับไปตอนที่ตระกูลเว่ยทำการค้าผักปราณอย่างเปิดเผยกับดินแดนเบื้องบนใหม่ ๆ การค้าของพวกเขาไปกระตุ้นผู้มีอำนาจบางคนเข้าจึงถูกกดดันอย่างหนัก โชคดีที่ได้สองพี่น้องตระกูลโอหยางและหอเทพโอสถกับสมาคมอักขระออกหน้าให้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าพวกตนยังจะรักษาการค้านี้ไว้ได้หรือไม่นับจากวันนั้นเว่ยซือหลิวที่คิดว่าตนเอง
หลังรับประทานมื้อเย็นพร้อมครอบครัวเสร็จ เว่ยซือหงปลีกตัวกับเรือนมาด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก นางไม่พูดไม่จา จดจ่ออยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่สดใสเช่นเคย จนสาวใช้คนสนิททั้งสองต่างเป็นห่วง ทว่าเจ้านายตัวน้อยอย่างเด็กหญิงกลับไม่นำพาความรู้สึกของผู้อื่น นางเอาแต่คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ว่าจะมีวิธีใดเข้าไปในดินแดนลับโดยที่ครอบครัวไม่อาจห้ามปรามได้บ้างอันที่จริงถ้าให้แอบเข้าไป เว่ยซือหงค่อนข้างมั่นใจในตัวเคล็ดวิชาพรางกายที่เพิ่งสำเร็จมาไม่นาน แต่นางไม่อยากหลบซ่อนจากครอบครัว ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อยพร้อมคิ้วเล็ก ๆ สองข้างที่ไม่ยอมคลายออกจากกันในขณะที่เว่ยซือหงหลับสนิทไปแล้ว ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด สรรพชีวิตหลับใหลราวตกอยู่ในมนต์สะกด แสงบุหลันสีทองเจิดจ้าพลันส่องผ่านหลังคากระเบื้องชั้นดีของจวนตระกูลเว่ย ก่อนลำแสงนั้นจะตกกระทบและครอบคลุมร่างของเด็กหญิงคล้ายว่ากำลังประทานพร ค้างอยู่เช่นนั้นนานกว่าหนึ่งเค่อ(15นาที) ในที่สุดลำแสงสีทองก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งกลางนภากาศลำแสงสีทองถักทอก่อตัวเป็นรูปปลาหลีสีแดงสองตัวกำลังแหวกว่ายในนที วนเวียนพันเกี่ยวสล
เว่ยซือเหลียงที่ความสงสัยเต็มท้องทนต่อไปไม่ไหวโพล่งถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ “น้องเล็ก จะบอกพวกเราได้หรือยังว่าที่อารมณ์ดีอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าเลื่อนระดับพลังได้แล้วใช่หรือไม่”เจ้าตัวส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ ทุกคนลองเดาดูสิเจ้าคะ”“สำเร็จวิชาใหม่” เว่ยซือหลางเอ่ยบ้าง เจ้าตัวก็ยังส่ายหน้าเช่นเดิม“เจอผักผลไม้ชนิดใหม่ในมิติ”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นอะไรเล่า บอกพวกเรามาเถอะ พวกเรายอมแพ้แล้ว” เว่ยซือเหลียงโอดครวญเล็กน้อย พูดไปหลายครั้งแต่กลับไม่ใช่คำตอบที่ถูก จึงไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว“คิกคิก” เว่ยซือหงป้องปากหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ออกมา ก่อนยื่นมือซ้ายมาด้านหน้าให้ทุกคนมองกันชัด ๆ“อะไร อวดถุงมือคู่ใหม่งั้นหรือ” เว่ยซือหลิวขมวดคิ้วถามหลานสาว รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมไขข้อกระจ่างสักที“โอ๊ะ! ขอโทษเจ้าค่ะ อาหงลืมถอด” อุตส่าห์อยากทำให้ทุกคนแปลกใจเลยใส่ถุงมือไว้ตลอด ไม่คิดว่าจะลืมเสียได้ เด็กหญิงยิ้มแห้งหดมือกลับมาถอดถุงมือออก แล้วยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง“ดูสิเจ้าคะ พวกท่านเห็นอะไรหรือไม่”คนในครอบครัวส่งสายตาหากันก่อนมองไปยังหลังมือขาวผ่องข้างซ้ายที่เว่ยซือหงย
เว่ยซือซานส่งจดหมายด่วน ถึงพี่น้องตระกูลโอหยางทันทีที่เห็น สัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาบนหลังมือของเว่ยซือหงตอนนี้เด็กหญิงจึงย้ายตัวเองมานั่งอยู่ในห้องรับรองแขกพิเศษของเรือนใหญ่พร้อมบิดาและท่านปู่ มีโอหยางเจี๋ยและโอหยางจิงสองพี่น้องนั่งอยู่ตรงข้ามตัวโอหยางเจี๋ยและโอหยางจิงได้รับจดหมายพร้อมกัน หลังอ่านเนื้อความในจดหมายจบ พลันเร่งรีบมายังตระกูลเว่ย เพื่อมาดูให้เห็นชัด ๆ ว่าข้อความในจดหมายเป็นจริงหรือไม่ซึ่งมันก็จริงโอหยางเจี๋ยไม่เคยพบผู้ถูกเลือกที่เป็นบุตรแห่งโชคชะตาอายุน้อยเช่นนี้มาก่อน น้อยสุดที่เคยเจอคือ 14 ขวบ อายุ 10 ขวบปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรก!เฮ้อ ผู้เยาว์ที่มากด้วยพรสวรรค์และโชคโดยแท้ กล่าวถึงดินแดนลับนี้มีความพิเศษและน่าพิศวงเต็มไปหมด นอกจากด้านในจะเต็มไปด้วยโชควาสนาแล้ว ยังมีอันตรายมากมายซุกซ่อนทั่วทุกพื้นที่ทว่าขอเพียงคว้าโชคเล็กน้อยจากในนั้นได้ คนผู้นั้นจะกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีก หรือไม่ก็เหมือนกับปลาหลีฮื้อที่สามารถกระโดดข้ามผ่านประตูมังกรจนกลายเป็นมังกรแท้จริงได้ ด้วยเหตุนั้นเมื่อมีข่าวดินแดนลับจะเปิดออกที่ใด พื้นที่นั้นจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทว่าแม้จะมีโชค
เป้าหมายของเว่ยซือหงชัดเจนมาก เมื่อสองพี่น้องตระกูลโอหยางจากไป เด็กหญิงก็เก็บตัวฝึกฝนทันที อย่างที่เคยเอ่ยไปแล้ว เคล็ดวิชาบ่มเพาะหยินหยางลมปราณสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเข้าฌาน ก็สามารถดูดซับลมปราณได้ แต่ครั้งนี้เจ้าตัวจะนั่งสมาธิเพื่อเร่งอัตราการดูดซับให้เร็วมากกว่าเดิมทันทีที่กำไลผนึกพลังปราณถูกถอดออกจากลำแขนเล็ก ลมปราณในร่างของเว่ยซือหงพลันพลุ่งพล่านพร้อมทะลวงขั้นพลังระดับปราชญ์ในทันใดเว่ยซือหงนั่งหลับตาทำสมาธิ ชั่วลมหายใจที่จัดระเบียบลมปราณในร่างกายให้เข้าสู้สภาวะปกติพร้อมเลื่อนระดับพลังใหม่ เส้นปราณสีทองพลันหมุนวนบุกทะลวงเป็นทัพหน้าเข้าสู่ระดับปราชญ์สำเร็จในทันทีการเลื่อนระดับของเว่ยซือหงก็ง่ายดายเช่นนี้แหละ แต่เป็นเพราะลมปราณในร่างถูกดูดซับมามากและพร้อมเลื่อนระดับพลังเนิ่นนานแล้วนั่นเองเด็กหญิงทำความคุ้นเคยกับระดับพลังใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ครู่หนึ่ง แล้วนั่งสมาธิเร่งอัตราการดูดซับอีกราวสองชั่วยาม พลังลมปราณระดับปราชญ์ขั้นต่ำเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสูงทันที!ใครใช้ให้นางมีมิติพฤกษาสวรรค์ที่มีพลังลมปราณบริสุทธิ์หนาแน่นเล่า?สถานที่ฝึกปรือพร้อมเช่นนี้ ทั้งยังบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิ
ณ ป่าจินหลินชั้นในใจกลางป่าจุดที่ลึกที่สุดเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ต่างคนต่างปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมา หลายคนมีร่องรอยบาดเจ็บ เนื่องจากตลอดทางที่ผ่านเข้ามาถึงจุดที่คาดว่าประตูดินแดนลับจะเปิดออก เต็มไปด้วยขวากหนามอย่างสัตว์อสูรประเภทต่าง ๆมีเพียงคนจากดินแดนเบื้องบนเท่านั้นที่สภาพไร้รอยขีดข่วน เนื่องจากพลังความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้สัตว์อสูรไม่กล้าเข้าหา อันที่จริงต้องบอกว่า ผู้เยาว์ทุกคนที่ต้องเข้าไปในมิติร่วมนภา ต่างไร้ซึ่งบาดแผลและอาการเหนื่อยหอบ แต่ละคนมีสภาพสมบูรณ์พร้อมอย่างหาที่สุดมิได้สายตาหลายคู่จับจ้องมายังกลุ่มของตระกูลเว่ย หลิน หลิวและกู้ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลง เนื่องจากในกลุ่มผู้เยาว์ที่คาดว่าน่าจะได้เข้าไปแสวงโชคภายในดินแดนลับแล้ว ศูนย์กลางของกลุ่มยังมีร่างแน่งน้อยของเด็กอายุราวสิบขวบอยู่ด้วย?พวกเขาคิดว่าการเข้ามายังป่าจินหลินชั้นในมันง่ายนักหรือ ถึงได้พาเด็กอายุสิบขวบเข้ามาเช่นนี้!เพ่งมองด้วยสายตาจริงจังจึงพบว่า เด็กคนนั้นคือคุณหนูน้อยของตระกูลเว่ย เว่ยซือหงนั่นเองช่างตามใจอะไรเช่นนี้!“ไม่รู้ว่าตระกูลเว่ยมั่นใจในพลังที่มี หรือรักหลานสาวมากเกินไปกันแน่
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส