ณ จวนตระกูลเว่ย
“ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าดินแดนลับที่กำลังจะเปิดนี้มีประตูทางเข้าที่ป่าจินหลินชั้นใน” เว่ยซือหลิวเอ่ยออกมาเมื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวอยู่กันแบบพร้อมหน้า
“ขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางตอบกลับ สายตาชายหนุ่มมองผู้เป็นปู่มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจพาดผ่าน นั่นเป็นเพราะปัจจุบันเว่ยซือหลิวไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว เพราะเขามีพลังปราณอยู่ที่ระดับราชัน!
ถึงจะเป็นราชาขั้นต่ำแต่ก็ยังเป็นระดับราชันคนแรกของดินแดนเบื้องล่างที่สามารถตัดผ่านขั้นพลังไปยังระดับนี้ได้ ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบนเองหากมีทรัพยากรไม่เพียงพอก็ยากจะไปถึง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องสาวของเขา ที่ชอบนำของดี ๆ มาให้คนในครอบครัวอยู่เสมอ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงพากันเลื่อนระดับกลายเป็นตระกูลที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม
ท้าวความกลับไปตอนที่ตระกูลเว่ยทำการค้าผักปราณอย่างเปิดเผยกับดินแดนเบื้องบนใหม่ ๆ การค้าของพวกเขาไปกระตุ้นผู้มีอำนาจบางคนเข้าจึงถูกกดดันอย่างหนัก โชคดีที่ได้สองพี่น้องตระกูลโอหยางและหอเทพโอสถกับสมาคมอักขระออกหน้าให้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าพวกตนยังจะรักษาการค้านี้ไว้ได้หรือไม่
นับจากวันนั้นเว่ยซือหลิวที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากพอแล้วถึงกับปิดด่านกักตนร่วมปี จนในที่สุดก็สามารถเลื่อนระดับมาอยู่ในขั้นราชันได้ เขาถึงได้ออกมา ระดับพลังคนอื่น ๆ ในปัจจุบันเองก็ไม่ได้น้อยหน้า
หลินซือเหยาเลื่อนพลังปราณมาอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นต่ำ แต่กลายเป็นนักอักขระระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้เป็นบุตรชายเว่ยซือซานนั้นมีความคืบหน้ามากกว่ามารดาเพราะมีพลังปราณอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลาง พลังยุทธของเขาจึงล้ำลึกมาก
หลิวลี่หงเลื่อนระดับพลังปราณมาอยู่ที่จอมยุทธิ์ขั้นกลาง และกลายเป็นนักปรุงโอสถระดับสูงแล้ว มีบางครั้งที่ปรุงโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ นับว่าก้าวหน้ามาก
หลานชายคนโตของตระกูลเว่ยซือหลางเองมีพลังอยู่ในระดับปราชญ์ขั้นต่ำ ส่วนคนน้องอย่างเว่ยซือเหลียงมีพลังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ขั้นต่ำ
ในขณะที่พลังปราณของเว่ยซือหงอยู่ที่จอมยุทธ์ขั้นต่ำเท่าพี่ชายคนรอง ทว่าพิเศษตรงที่นางสามารถเลื่อนไปยังระดับถัดไปได้ทุกเมื่อ เคล็ดวิชาหยินหยางลมปราณสวรรค์มีอัตราการดูดซับลมปราณยากจะหยั่ง จนเว่ยซือหงต้องใส่กำไลผนึกพลังไว้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้นางอาจมีพลังอยู่ขั้นเดียวกับพี่ใหญ่หรือมารดาก็ได้ ทั้งหมดทั้งมวลยังคงปิดบังไว้ด้วยแหวนปกปิดระดับเทพ คนอื่น ๆ ในครอบครัวจึงไม่รู้ว่าเจ้าตัวก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วกันแน่
กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน เว่ยซือซานที่วิเคราะห์เรื่องนี้อยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง “ท่านพ่อ เช่นนั้นเราควรจัดเตรียมคนคุ้มกันฝีมือดีไว้หลายชุดสักหน่อยนะขอรับ การฝ่าไปยังป่าจินหลินชั้นในไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“ใช่ เราต้องทำทุกอย่างอย่างรัดกุม อาหลางกับอาเหลียงต้องเข้าไปในดินแดนลับโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน”
เว่ยซือหงนั่งฟังเงียบ ๆ ขมวดคิ้ว เหตุใดมีเพียงพี่ใหญ่กับพี่รองล่ะ ชื่อนางอยู่ไหน?
“หงเอ๋อร์หลานยังเด็ก ยังเข้าไปตอนนี้ไม่ได้” หลินซือเหยามีหรือจะไม่รู้ว่าหลานรักคิดอะไรอยู่
“แต่ว่าอาหงดูแลตัวเองได้นะเจ้าคะท่านย่า”
“พวกเรารู้ว่าหงเอ๋อร์เก่งกาจ แต่แม่ให้ลูกเข้าไปในดินแดนลับครั้งนี้ไม่ได้จริง ๆ” หลิวลี่หงนาน ๆ ทีจะค้านบุตรสาวเอ่ยเสียงเข้ม ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่มีวันให้เจ้าตัวแสบเข้าไปเด็ดขาด
ใบหน้าของเว่ยซือหงบึ้งตึง อย่างไรก็ไม่ยินยอม ปกตินางเชื่อฟังทุกคนในครอบครัวมาก แต่ครั้งนี้เห็นทีว่าต้องขัดคำสั่งแล้ว
“อาหงต้องไปเจ้าค่ะ”
“...”
“ท่านแม่ ท่านย่า ทุกคนเจ้าคะ ให้อาหงไปเถอะนะเจ้าคะ อาหงรู้สึกว่าต้องไปจริง ๆ”
“ไม่! ฟังแม่ของเจ้าหงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ!” เด็กหญิงส่งสายตาร้องขออย่างน่าสงสาร หากบิดาและคนอื่น ๆ ต่างหลบสายตากันหมด
“หงเอ๋อร์ ปู่ไม่สามารถปล่อยหลานไปเผชิญอันตรายได้จริง ๆ เชื่อฟังพ่อแม่หลานเถอะ” เว่ยซือหลิวเองก็ลำบากใจ หลานคนนี้เป็นเด็กดีเสมอมา มีไม่กี่เรื่องที่จะยกเหตุผลขึ้นมาขัด ทว่าครั้งนี้ไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็ปล่อยให้นางเข้าดินแดนลับไม่ได้
มีพลังมากแล้วอย่างไร อย่าลืมนางเพิ่งอายุ 10 ขวบ ประสบการณ์การต่อสู้ยังมีไม่มาก ปล่อยให้ไปไม่ได้เด็ดขาด
เว่ยซือหงรู้ว่าพูดต่อก็รังแต่จะทะเลาะกันนางจึงเงียบใส่ทุกคน แต่ในหัวเอาแต่ขบคิดวิธีการ ไม่ใช่ว่านางรั้นไม่อยากเชื่อฟัง เพียงแต่นางต้องไปจริง ๆ หากไม่ไปครั้งนี้นางต้องสูญเสียบางอย่างไปแน่ ๆ ไม่ยอมหรอก
เช่นไรก็จะไปให้ได้!
“เอาละนี่คือโอสถเยียวยาและโอสถลบกลิ่นอายระดับศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าสองพี่น้องเก็บเอาไว้ให้ดี ภายในดินแดนลับมีอันตรายมากมาย เมื่อถึงคราวต้องใช้อย่าได้ลังเลเป็นอันขาด เอาชีวิตให้ปลอดภัยสำคัญที่สุด”
“ขอบคุณขอรับท่านปู่” เว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงกล่าวขอบคุณเว่ยซือหลิวพร้อมกัน พร้อมกับรับโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชนิดมาเก็บไว้กับตัว
“โอสถสองชนิดนี้ข้าจำได้ว่าท่านลุงจิงนำมามอบเป็นของขวัญให้ท่านพ่อ เมื่อครั้งที่ท่านเลื่อนขั้นพลังปราณเป็นระดับจักรพรรดิใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่แล้ว ข้าสงสัยมาตลอดว่าความจำเป็นต้องใช้ที่พี่ชายจิงเอ่ยถึงคืออันใด มาวันนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
“ที่แท้พวกเขาก็รู้เรื่องดินแดนลับมาเนิ่นนานแล้ว”
“อืม แต่ก็ต้องขอบคุณพวกเขา มันมีประโยชน์ต่อพวกเราจริง ๆ นั่นแหละ” เว่ยซือหลิวตอบบุตรชาย
จากนั้นความสนใจของทุกคนก็พุ่งมาที่เว่ยซือหง เห็นเจ้าตัวเงียบขรึมผิดแปลกไปจากทุกทีรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่ถ้าการขัดใจบุตรหลานแล้วนางปลอดภัยพวกเขาก็ยอม
เว่ยซือหงไม่ใช่ไม่เข้าใจความรู้สึกของทุกคน ทว่าอย่างที่เอ่ย นางจำเป็นต้องไปจริง ๆ ตลอดมานางไม่เคยรั้น ครั้งนี้คงต้องเป็นครั้งแรกแล้ว ต่อให้โดนลงโทษทีหลังนางขอน้อมรับโดยดุษดี
หลังรับประทานมื้อเย็นพร้อมครอบครัวเสร็จ เว่ยซือหงปลีกตัวกับเรือนมาด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก นางไม่พูดไม่จา จดจ่ออยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่สดใสเช่นเคย จนสาวใช้คนสนิททั้งสองต่างเป็นห่วง ทว่าเจ้านายตัวน้อยอย่างเด็กหญิงกลับไม่นำพาความรู้สึกของผู้อื่น นางเอาแต่คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ว่าจะมีวิธีใดเข้าไปในดินแดนลับโดยที่ครอบครัวไม่อาจห้ามปรามได้บ้างอันที่จริงถ้าให้แอบเข้าไป เว่ยซือหงค่อนข้างมั่นใจในตัวเคล็ดวิชาพรางกายที่เพิ่งสำเร็จมาไม่นาน แต่นางไม่อยากหลบซ่อนจากครอบครัว ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อยพร้อมคิ้วเล็ก ๆ สองข้างที่ไม่ยอมคลายออกจากกันในขณะที่เว่ยซือหงหลับสนิทไปแล้ว ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด สรรพชีวิตหลับใหลราวตกอยู่ในมนต์สะกด แสงบุหลันสีทองเจิดจ้าพลันส่องผ่านหลังคากระเบื้องชั้นดีของจวนตระกูลเว่ย ก่อนลำแสงนั้นจะตกกระทบและครอบคลุมร่างของเด็กหญิงคล้ายว่ากำลังประทานพร ค้างอยู่เช่นนั้นนานกว่าหนึ่งเค่อ(15นาที) ในที่สุดลำแสงสีทองก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งกลางนภากาศลำแสงสีทองถักทอก่อตัวเป็นรูปปลาหลีสีแดงสองตัวกำลังแหวกว่ายในนที วนเวียนพันเกี่ยวสล
เว่ยซือเหลียงที่ความสงสัยเต็มท้องทนต่อไปไม่ไหวโพล่งถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ “น้องเล็ก จะบอกพวกเราได้หรือยังว่าที่อารมณ์ดีอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าเลื่อนระดับพลังได้แล้วใช่หรือไม่”เจ้าตัวส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ ทุกคนลองเดาดูสิเจ้าคะ”“สำเร็จวิชาใหม่” เว่ยซือหลางเอ่ยบ้าง เจ้าตัวก็ยังส่ายหน้าเช่นเดิม“เจอผักผลไม้ชนิดใหม่ในมิติ”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นอะไรเล่า บอกพวกเรามาเถอะ พวกเรายอมแพ้แล้ว” เว่ยซือเหลียงโอดครวญเล็กน้อย พูดไปหลายครั้งแต่กลับไม่ใช่คำตอบที่ถูก จึงไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว“คิกคิก” เว่ยซือหงป้องปากหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ออกมา ก่อนยื่นมือซ้ายมาด้านหน้าให้ทุกคนมองกันชัด ๆ“อะไร อวดถุงมือคู่ใหม่งั้นหรือ” เว่ยซือหลิวขมวดคิ้วถามหลานสาว รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมไขข้อกระจ่างสักที“โอ๊ะ! ขอโทษเจ้าค่ะ อาหงลืมถอด” อุตส่าห์อยากทำให้ทุกคนแปลกใจเลยใส่ถุงมือไว้ตลอด ไม่คิดว่าจะลืมเสียได้ เด็กหญิงยิ้มแห้งหดมือกลับมาถอดถุงมือออก แล้วยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง“ดูสิเจ้าคะ พวกท่านเห็นอะไรหรือไม่”คนในครอบครัวส่งสายตาหากันก่อนมองไปยังหลังมือขาวผ่องข้างซ้ายที่เว่ยซือหงย
เว่ยซือซานส่งจดหมายด่วน ถึงพี่น้องตระกูลโอหยางทันทีที่เห็น สัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาบนหลังมือของเว่ยซือหงตอนนี้เด็กหญิงจึงย้ายตัวเองมานั่งอยู่ในห้องรับรองแขกพิเศษของเรือนใหญ่พร้อมบิดาและท่านปู่ มีโอหยางเจี๋ยและโอหยางจิงสองพี่น้องนั่งอยู่ตรงข้ามตัวโอหยางเจี๋ยและโอหยางจิงได้รับจดหมายพร้อมกัน หลังอ่านเนื้อความในจดหมายจบ พลันเร่งรีบมายังตระกูลเว่ย เพื่อมาดูให้เห็นชัด ๆ ว่าข้อความในจดหมายเป็นจริงหรือไม่ซึ่งมันก็จริงโอหยางเจี๋ยไม่เคยพบผู้ถูกเลือกที่เป็นบุตรแห่งโชคชะตาอายุน้อยเช่นนี้มาก่อน น้อยสุดที่เคยเจอคือ 14 ขวบ อายุ 10 ขวบปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรก!เฮ้อ ผู้เยาว์ที่มากด้วยพรสวรรค์และโชคโดยแท้ กล่าวถึงดินแดนลับนี้มีความพิเศษและน่าพิศวงเต็มไปหมด นอกจากด้านในจะเต็มไปด้วยโชควาสนาแล้ว ยังมีอันตรายมากมายซุกซ่อนทั่วทุกพื้นที่ทว่าขอเพียงคว้าโชคเล็กน้อยจากในนั้นได้ คนผู้นั้นจะกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีก หรือไม่ก็เหมือนกับปลาหลีฮื้อที่สามารถกระโดดข้ามผ่านประตูมังกรจนกลายเป็นมังกรแท้จริงได้ ด้วยเหตุนั้นเมื่อมีข่าวดินแดนลับจะเปิดออกที่ใด พื้นที่นั้นจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทว่าแม้จะมีโชค
เป้าหมายของเว่ยซือหงชัดเจนมาก เมื่อสองพี่น้องตระกูลโอหยางจากไป เด็กหญิงก็เก็บตัวฝึกฝนทันที อย่างที่เคยเอ่ยไปแล้ว เคล็ดวิชาบ่มเพาะหยินหยางลมปราณสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเข้าฌาน ก็สามารถดูดซับลมปราณได้ แต่ครั้งนี้เจ้าตัวจะนั่งสมาธิเพื่อเร่งอัตราการดูดซับให้เร็วมากกว่าเดิมทันทีที่กำไลผนึกพลังปราณถูกถอดออกจากลำแขนเล็ก ลมปราณในร่างของเว่ยซือหงพลันพลุ่งพล่านพร้อมทะลวงขั้นพลังระดับปราชญ์ในทันใดเว่ยซือหงนั่งหลับตาทำสมาธิ ชั่วลมหายใจที่จัดระเบียบลมปราณในร่างกายให้เข้าสู้สภาวะปกติพร้อมเลื่อนระดับพลังใหม่ เส้นปราณสีทองพลันหมุนวนบุกทะลวงเป็นทัพหน้าเข้าสู่ระดับปราชญ์สำเร็จในทันทีการเลื่อนระดับของเว่ยซือหงก็ง่ายดายเช่นนี้แหละ แต่เป็นเพราะลมปราณในร่างถูกดูดซับมามากและพร้อมเลื่อนระดับพลังเนิ่นนานแล้วนั่นเองเด็กหญิงทำความคุ้นเคยกับระดับพลังใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ครู่หนึ่ง แล้วนั่งสมาธิเร่งอัตราการดูดซับอีกราวสองชั่วยาม พลังลมปราณระดับปราชญ์ขั้นต่ำเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสูงทันที!ใครใช้ให้นางมีมิติพฤกษาสวรรค์ที่มีพลังลมปราณบริสุทธิ์หนาแน่นเล่า?สถานที่ฝึกปรือพร้อมเช่นนี้ ทั้งยังบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิ
ณ ป่าจินหลินชั้นในใจกลางป่าจุดที่ลึกที่สุดเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ต่างคนต่างปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมา หลายคนมีร่องรอยบาดเจ็บ เนื่องจากตลอดทางที่ผ่านเข้ามาถึงจุดที่คาดว่าประตูดินแดนลับจะเปิดออก เต็มไปด้วยขวากหนามอย่างสัตว์อสูรประเภทต่าง ๆมีเพียงคนจากดินแดนเบื้องบนเท่านั้นที่สภาพไร้รอยขีดข่วน เนื่องจากพลังความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้สัตว์อสูรไม่กล้าเข้าหา อันที่จริงต้องบอกว่า ผู้เยาว์ทุกคนที่ต้องเข้าไปในมิติร่วมนภา ต่างไร้ซึ่งบาดแผลและอาการเหนื่อยหอบ แต่ละคนมีสภาพสมบูรณ์พร้อมอย่างหาที่สุดมิได้สายตาหลายคู่จับจ้องมายังกลุ่มของตระกูลเว่ย หลิน หลิวและกู้ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลง เนื่องจากในกลุ่มผู้เยาว์ที่คาดว่าน่าจะได้เข้าไปแสวงโชคภายในดินแดนลับแล้ว ศูนย์กลางของกลุ่มยังมีร่างแน่งน้อยของเด็กอายุราวสิบขวบอยู่ด้วย?พวกเขาคิดว่าการเข้ามายังป่าจินหลินชั้นในมันง่ายนักหรือ ถึงได้พาเด็กอายุสิบขวบเข้ามาเช่นนี้!เพ่งมองด้วยสายตาจริงจังจึงพบว่า เด็กคนนั้นคือคุณหนูน้อยของตระกูลเว่ย เว่ยซือหงนั่นเองช่างตามใจอะไรเช่นนี้!“ไม่รู้ว่าตระกูลเว่ยมั่นใจในพลังที่มี หรือรักหลานสาวมากเกินไปกันแน่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครใช้ให้บุตรสาวเจ้าเป็นบุตรแห่งโชคชะตากันเล่า ไหน ๆ ก็ได้รับสัญลักษณ์ผู้ถูกเลือกมาแล้ว ก็ช่วยเอาความโชคดีนั้นแจกจ่ายผู้อื่นบ้างจะเป็นไรไป” เสิ่นเฮ่อมีความสุขมาก อารมณ์ไม่ดีถูกปัดเป่าหายสิ้นเว่ยซือซานใบหน้าเขียวคล้ำแต่จนใจเพราะรู้ว่าทำอันใดไม่ได้ มีแต่ต้องเชื่อมั่นในตัวบุตรสาวให้มาก“ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ พวกเราจะหาน้องให้เจอให้เร็วที่สุด” เว่ยซือหลางเอ่ยขึ้น“ใช่ขอรับท่านพ่อ พวกเราหาน้องสาวเจอแน่” เว่ยซือเหลียงเสริมคำพูดพี่ชายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง บิดาของเขาจะได้วางใจลงบ้าง“อืม ฝากลูกทั้งสองแล้ว จำไว้ดูแลกันให้ดี ๆ”“ขอรับท่านพ่อ” สองพี่น้องเว่ยรับคำบิดา“หงเอ๋อร์มีเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม(2ชม.) ด้วยนิสัยของนาง นางต้องไปให้ไกลที่สุดจากประตูทางเข้าแน่ พวกเจ้าก็วางใจเถอะไม่ต้องรีบร้อน อย่าลืมว่าหงเอ๋อร์ไม่ธรรมดา”“ขอรับท่านพ่อ” เว่ยซือซานคิดตามคำพูดของบิดาเอ่ยรับคำ“หลังเข้าดินแดนลับแล้ว พวกเจ้าต้องไปให้ห่างประตูที่สุดเข้าใจหรือไม่” เว่ยซือหลิวกำชับหลานชายทั้งสอง“ทราบแล้วขอรับท่านปู่ พวกเราจะระมัดระวังตัวเองให้ดี และหาน้องเล็กให้เจอโดยเร็วที่สุด” เว่ยซือหลางกล่าวยืนยัน“ไ
อีกด้านหนึ่งของมิติร่วมนภา เว่ยซือซานและเว่ยซือเหลียงรวมถึงคนตระกูลเว่ยและพรรคพวกเข้ามายังดินแดนลับแล้ว พวกเขาเร่งทะยานร่างเพื่อหนีไปให้ไกลประตูทางเข้าให้มากที่สุด สมุนไพรปราณทรัพยากรล้ำค่าชนิดใดล้วนไม่สำคัญ ด้วยรู้กันดีว่า ไม่ควรเก็บเกี่ยวสิ่งใดใกล้บริเวณประตูทางเข้า เพราะนอกจากจะถูกพบเห็นได้ง่ายแล้วยังเสี่ยงต่อการโดนแย่งชิงด้วย เพิ่งเข้ามาวันแรก ยังมีเวลาเป็นปีในการเก็บเกี่ยว สู้เก็บแรงไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ หลายคนคิดเช่นนั้นแต่บางคนก็ถูกความโลภบังตา ทำให้สูญเสียหลายอย่างไปอย่างน่าเจ็บใจตลอดเส้นทางที่คนตระกูลเว่ยผ่าน กว่าจะฝ่าฟันมาได้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บกันไปไม่น้อย โชคดีที่ยังรักษาชีวิตไว้ได้สภาพอเนจอนาถไม่น่าดูชมเลยแม้แต่น้อย ความโชคดีของเว่ยซือหงไม่เผื่อแผ่มายังพี่น้องของตนเลยสักนิด โชคเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาคงจะเป็นการเข้ามาในดินแดนลับแล้วโผล่มายังจุดที่ใกล้กันง่ายต่อการรวมตัวเป็นแน่ “เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ขอรับพี่ใหญ่ พวกเราเดินทางกันกว่าสองชั่วยามแล้วยังไม่ได้หยุดเลย ประมือกับสัตว์อสูรจนได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน ข้าว่าพักกันก่อนเถอะขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่
“เหอะ! ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้ปะทะกับมันแน่” ตั้งแต่ที่มีปัญหากันครั้งก่อน เว่ยซือเหลียงก็ไม่ชอบหน้าเสิ่นเถาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เอ่ยเสียงสะบัด พลางมองพี่ชายที่กำลังใช้ความคิดไปด้วย มิติร่วมนภาค่อนข้างใหญ่ ยากต่อการสำรวจให้ครบ อย่างไรพวกเขาก็ต้องเก็บเกี่ยวได้แน่นอน ใช้โอกาสตอนที่สถานการณ์ยังไม่สงบ เพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้ตัวเองก่อนน่าจะสำคัญกว่า หลังคิดอ่านด้วยความรอบคอบเว่ยซือหลางจึงเอ่ยสรุปออกมา“เช่นนั้นก็เอาตามนี้ พวกเราจะใช้ถ้ำนี้เป็นฐานชั่วคราว แล้วทำสมาธิบ่มเพาะลมปราณ สลับกันเฝ้ายาม ทำเช่นนี้จนกว่าจะมีคนเลื่อนระดับได้หรือไม่ก็จนกว่าสถานการณ์ด้านนอกจะสงบ”“ขอรับ/เจ้าค่ะคุณชาย”โดยอาเฮ่อกับอาลั่วจะเฝ้ายามผลัดแรก อาฮุนกับหลิงจูผลัดสอง อาลู่กับหลิงอิงผลัดสาม สลับวนเวียนกันไปเช่นนี้ ส่วนเจ้านายทั้งสองให้ทำสมาธิบ่มเพาะลมปราณอย่างเดียวกลุ่มตระกูลเว่ยคิดวางแผนได้ดีแล้ว กลุ่มอื่นก็มีวิธีการจัดการดี ๆ ไม่แตกต่างกันมากนัก หนึ่งในนั้นคือกลุ่มสหายของพวกเขาที่รวมตัวกันตั้งแต่เข้ามายังดินแดนลับแล้วหลิวเมิ่ง หลิวซาน หลินจางหย่ง หลินฝู กู้ฉี พร้อมผู้ติดตามอีกสิบคนจัดการกลุ่มของตัวเองเช่นเดีย
เห็นดังนั้น เว่ยซือหลิวจึงวางใจ ปล่อยให้นางฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนเขาก็กลับไปตั้งใจบ่มเพาะอย่างจริงจัง ตัวเว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงเองก็จากไปบ่มเพาะเช่นกันเว่ยซือหงยังคงฝึกทักษะการต่อสู้ต่อไปแม้จะไม่มีคู่ซ้อม นางไม่คิดไปนั่งบ่มเพาะ เพราะพอใจในระดับพลังตอนนี้ของตนแล้ว ขอแค่อยากเลื่อนระดับ แค่หลับตานางก็สามารถเลื่อนไปยังระดับราชันได้ทันที ดังนั้นการบ่มเพาะสำหรับนางแล้วไม่จำเป็นเลยเด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกยุทธ์ขัดเกลาฝีมือของตนต่อไปไม่หยุดยั้ง กระบวนท่าของนางก็เฉียบคมและดุดันขึ้นเรื่อย ๆทั้งรวดเร็วและอันตรายมั่นใจได้เลยว่า หากได้ประมือกับพี่ชายทั้งสองอีก ต่อให้ไม่อาจเอาชนะ แต่นางก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน พอใจในพัฒนาการของตนยิ่งนักเว่ยซือหงจึงสลับไปศึกษาศาสตร์อักขระและปรุงยาบ้าง สลับสับเปลี่ยนไปเช่นนี้อย่างไม่รู้เบื่อ วันเวลาในมิติผลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะมีใบหน้าและอายุเท่าเดิม เพราะเวลาในมิติไม่ส่งผลต่อมนุษย์ ทว่าระดับพลังของพวกเขานั้นคนละเรื่องไปเลย มันพัฒนาอย่างมากชนิดที่ว่าหากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนในมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจคิดฝันว่าตนเองจะมาถึงระดับนี้!เว่ย
ความจริงแล้วตระกูลเว่ยไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่พวกเขามารวมตัวกันอยู่ภายในมิติพฤกษาสวรรค์เว่ยซือหลินกับหลินซือเหยา แม่สามีลูกสะใภ้พากันเดินชมแปลงสมุนไพรพลังปราณระดับเซียนที่เคยเห็นชื่อแค่ในตำราด้วยความตื่นตาตื่นใจเว่ยซือหลิวกับเว่ยซือซานเองพากันศึกษากลยุทธ์ด้านการศึกสงครามในเรือนตำราส่วนสามพี่น้อง เว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียง และเว่ยซือหง พากันนอนกินผลไม้ปราณนิ่ง ๆ เนื่องจากพวกเขาเที่ยวเล่นในมิติจนพอแล้วกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนก็มารวมตัวรับประทานอาหารพร้อมกันที่จุดเดียว จากนั้นเว่ยซือหลิวก็เอ่ยแจกแจงสิ่งที่แต่ละคนต้องทำขึ้นว่า“หลังจากนี้ข้าคิดว่าให้ทุกคนตั้งใจทำการบ่มเพาะดีกว่า ด้วยความช่วยเหลือจากมิติพฤกษาสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนน่าจะเลื่อนระดับพลังปราณได้ไม่ยาก”“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะขอรับ แต่นั่งบ่มเพาะนาน ๆ อย่างเดียวอาจเบื่อได้ เช่นนั้นให้ศึกษาอย่างอื่นที่ตนสนใจด้วยดีหรือไม่ขอรับ” เว่ยซือหลิวเสนอแนะ“จริงด้วยขอรับท่านปู่ ทำเช่นนี้จะได้คลายความเบื่อหน่าย การบ่มเพาะของพวกเราอาจจะก้าวหน้าเร็วขึ้น” เว่ยซือเหลียงเห็นด้วยกับความคิดบิดา“เช่นนั้นก็จัดเวลาด้วยตนเอง ศึกษาสิ่งที่สนใจส
“ได้ เริ่มจากข้าเลยแล้วกัน” หวังไท่หยางเป็นคนตรงไปตรงมาเอ่ยรับคำ ก่อนที่จะเอ่ยถึงข้อเสนอที่ตนเตรียมมาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยและคนอื่น ๆ ได้ฟังถัดจากเขาคนอื่น ๆ ก็เริ่มนำเสนอข้อเสนอหรือสิ่งแลกเปลี่ยนของตนเองบ้าง การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ทั้งเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานเองยังต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอหรือแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายหรือไม่การเจรจาเริ่มตั้งแต่ยามซื่อ(09:00-10:59) จนถึงยามซวี(19:00-20:59) โดยมีการหยุดพักรับประทานอาหารหนึ่งครั้งเท่านั้น การพูดคุยตกลงกันถึงได้สิ้นสุดลงโดยที่แต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า บ่งบอกว่าการเจรจามันผ่านไปได้ด้วยดี“ยินดีที่ได้ร่วมมือนะน้องเว่ย” หรงเทียนฮ่าว “ยินดีที่ได้ร่วมมือเช่นกันน้องเว่ย” หวังไท่หยาง “หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอีกนะน้องเว่ย” ฉินตงหยาง“หากน้องเว่ยมีของดีอย่าลืมบอกพวกเราด้วยนะ” อิงหลันฮวาจาก ‘นายท่านตระกูลเว่ย’ ปัจจุบันเปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘น้องเว่ย’ ชี้ชัดว่าจากการพูดคุยครั้งนี้ พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์กันไม่น้อยเลยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากทุกข้อเสนอได้รับการตอบรับอย่างดีนั่นแหละ หากไม่ใช่เช่นนั้น
โอหยางจิง ตัวแทนจากหอเทพโอสถโอหยางเจี๋ย ตัวแทนจากสมาคมอักขระหรงเทียนฮ่าว ตัวแทนจากนิกายมังกรสวรรค์อิงหลันฮวา ตัวแทนจากนิกายจากบุปผาสวรรค์หวังไท่หยาง ตัวแทนจากนิกายพยัคฆ์สวรรค์ฉินตงหยาง ตัวแทนจากนิกายวิหคสวรรค์ตัวแทนที่มาจากนิกายทั้งสี่ ฟังจากที่โอหยางจิงที่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าล้วนแต่เป็นเจ้านิกาย เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่เขาสองพ่อลูกไม่อาจเสียมารยาทได้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ศึกษาประวัติดินแดนเบื้องบนหรือที่ถูกกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์มาแล้วอย่างคร่าว ๆ ทวีปศักดิ์สิทธิ์ เป็นทวีปที่ปกครองตนเอง ไม่มีราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 ดินแดน 4 นิกายหรือสำนักศึกษาอันเป็นขุมอำนาจสำคัญ ได้แก่ ดินแดนมังกร ดินแดนพยัคฆ์ ดินแดนวิหค และดินแดนบุปผาดินแดนมังกร เป็นดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่และเฟื่องฟูมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด จึงถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนมังกรเป็นที่ตั้งของนิกายมังกรสวรรค์ โดยตระกูลหรงจัดเป็นตระกูลใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดในดินแดนนี้ทิศเหนือของดินแดนมังกรคือดินแดนวิหค ที่อยู่บนเทือกเขาสูงไม่อาจเดินทางด้วยวิธีธรรมดา จำต้องขึ้นเรือเหาะหรือเรือบินเท่านั้น ดินแดนวิหคเป็นที่
เพียงสามวันหลังจากกลุ่มผู้เยาว์กลับออกมาจากการสำรวจดินแดนลับ ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และหลุมพรางมากมายก็ถูกยื่นตรงเข้าหาพวกเขา หลายคนมีความคิดตื้นเขินเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยก็สูญเสียบางอย่างที่ล้ำค่าไป ทว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง จึงอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ตระกูลเว่ยเป็นหนึ่งในคนกลุ่มหลังนี้เพียงแต่ว่าตระกูลเว่ยมีความแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีแต้มต่อที่เยอะมาก ทั้งยังไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยยังไม่นับรวมการที่เว่ยซือหลิวมีพลังปราณระดับราชัน จากที่คิดว่าอาจถูกกดดัน กลายเป็นว่าตัวตนของตระกูลเว่ยไปกดดันผู้ที่มาเจรจาต่อรองผลประโยชน์แทนแม้จะเป็นเช่นนั้น ประตูของตระกูลเว่ยก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีข่าวว่าพวกเขาตกลงปลงใจกับขุมอำนาจใด หมายความว่าพวกเขายังมีหวังต่อตระกูลเว่ยอยู่ทรัพยากรที่เด็ก ๆ ตระกูลเว่ยเก็บเกี่ยวมาได้นั้นหอมหวานเกินไป ต่อให้การเจรจาต่อรองจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาก็ไม่อาจตัดใจได้ จนกว่าจะมีข่าวว่าตระกูลเว่ยจับมือตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจใดไปแล้วนั่นแหละ พวกเขาจึงจะถอยในคนเหล่านั้น บา
“เรื่องที่อาหงสามารถพาทุกคนเข้าไปยังมิติของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ กล่าวให้ถูกคืออาหงสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในระดับแม่ทัพแล้ว ทว่ามันต้องแลกกับการต้องทำพันธสัญญาเลือดกับทุกคน คล้ายการทำพันธสัญญาทาสที่จะไม่ทรยศหรือหักหลังอาหง”“...”“แต่ทุกคนเป็นครอบครัวของอาหงนะเจ้าคะ อาหงจะทำพันธสัญญาเช่นนั้นกับพวกท่านได้อย่างไร จึงไม่เคยเอ่ยถึงหรือบอกกล่าวความจริงนี้ให้ฟัง ด้วยเหตุนั้นอาหงจึงเริ่มศึกษามิติของตนเองมาเรื่อย ๆ ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะพาทุกคนเข้าไปในมิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญากดขี่เช่นนั้น และอาหงก็ค้นพบ”“...”“นั่นก็คือต้องเพิ่มความเเข็งแกร่งให้ตนเองมาก ๆ อย่างน้อยต้องมีพลังระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถพาทุกคนเข้ามิติได้โดยไม่ต้องทำพันธสัญญาดังกล่าว เพียงแต่ว่า...” เด็กหญิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยที่จะเอ่ยส่วนที่เหลือออกไป“เด็กดี ไม่ต้องกังวล เอ่ยออกมาเถิด เป็นเช่นไรเดี๋ยวพวกแม่ตัดสินใจกันเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิวลี่หงปลอบบุตรสาว ไม่อยากให้นางกังวลเกินไปนัก อายุเพียงเท่านี้ก็คิดทำหลายอย่างเพื่อครอบครัวมากเกินไปแล้ว“เฮ้อ มิติของอาหงมันพิเศษเจ
ณ จวนตระกูลเว่ยเมื่อกลับเข้ามาภายในจวนตระกูลเว่ย ทายาททั้งสามต่างถูกเว่ยซือหลิว หลินซือเหยา เว่ยซือซาน และหลิวลี่หง สลับสับเปลี่ยนกันกอดพวกเขาทีละคน ๆ ก่อนคนในครอบครัวทั้งหมดจะร่วมตระกองกอดกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ถ่ายทอดความคิดถึง รักใคร่ และห่วงใยผ่านอ้อมกอดนั้นเว่ยซือหลาง เว่ยซือเหลียงและเว่ยซือหงซึ่งห่างจากครอบครัวไปนาน ต่างหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทุกคนอย่างยินดี ครั้นเมื่อต้องผละกอดจึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้“ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อาหงคิดถึงพวกท่านจังเลยเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงเอ่ยบอกความรู้สึกของตน ทั้งยังออดอ้อนคนในครอบครัวนับตั้งแต่ขึ้นรถม้าจวบจนถึงจวนของตนก็ยังเอ่ยเสียงหวานไม่หยุด ทำเอาบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าของนางใจเหลวไปตาม ๆ กัน“พวกเราก็คิดถึงอาหงเช่นกัน ไหนดูสิ เจ้าตัวน้อยของย่าผอมลงบ้างหรือไม่” หลินซือเหยาคว้าตัวหลานสาวเข้ามากอดแล้วจับนางพลิกหมุนไปมา ครั้นเห็นว่าหลานรักยังสมบูรณ์ดีจึงยิ้มออกมา“ท่านย่าไม่ต้องห่วง อาหงกินดีอยู่ดีมากเจ้าค่ะ”“ฮ่าฮ่า พวกปู่เห็นแล้วละ มาเถอะ มานั่งคุยกันดี ๆ ดีกว่า” เว่ยซือหลิวเดินนำเข้าไปยังห้องหนังสือของจวน“อาหลางอาเหลีย
เหตุการณ์วุ่นวายยังไม่ทันจะผ่านพ้น เจ้าเข่ออ้ายสัตว์อสูรตุ่นดินที่ถูกลืมไปชั่วขณะพลันปรากฏออกมาตรงหน้าเว่ยซือหง แม้ว่าตอนมองสัตว์อสูรในพันธสัญญาทั้งสองของนางจะหวาด ๆ อยู่บ้างก็ตามที ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นมันอยู่ที่เด็กคนนี้ลืมมัน!“นายหญิง!” สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิแต่ขี้ใจน้อยเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงแง่งอน“อ๊ะ เข่ออ้าย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม” เว่ยซือหงไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังไม่ได้ทักเฉย ๆ“ฮือ... นายหญิงลืมเข่ออ้าย ไหนนายหญิงบอกว่าหลังกลับออกจากถ้ำจะทำพันธสัญญากับข้าอย่างไรเล่าขอรับ” ไม่พูดเปล่าด้วยความน้อยใจน้ำตาหยดใส ๆ จึงพรั่งพรูออกจากดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นเว่ยซือหงนิ่งงันปรับอารมณ์ “เปล่านะ ข้าไม่ได้ลืม เพียงอยากแนะนำเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวไป๋ให้ทุกคนรู้จักก่อน เข่ออ้ายไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้ลืมจริง ๆ”“จริงนะขอรับ”“จริงสิ”“เช่นนั้นเรามาทำพันธสัญญากันเลยดีหรือไม่ขอรับ เข่ออ้ายรอนายหญิงมานานแล้ว” มันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ใจหนึ่งก็กลัวสัตว์อสูรสองตัวของนายหญิงตัวเล็ก แต่มันกลัวไม่ได้ทำพันธสัญญากับคนที่มันหมายปองมากกว่าเว่ยซือหงหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะทำพันธสัญญากับมันตา
“น้องเล็ก! พี่ใหญ่! ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าอีกเพียงสามวันจะครบกำหนดที่ดินแดนลับจะปิดตัวลงแล้วนะ พวกท่านหายเข้าไปในถ้ำเป็นเดือน ๆ เชียว!” เว่ยซือเหลียงที่นั่งรอพี่ชายน้องสาวด้วยความกลุ้มใจอยู่นั้น โล่งใจทันทีที่เห็นร่างของทั้งสองเดินออกจากถ้ำ ในขณะที่ปากก็บ่นทั้งสองไม่หยุด“ขออภัยเจ้าค่ะพี่รอง พวกเราอยู่ในถ้ำไม่รู้วันคืนจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้านในมีแต่ความมืด พวกเราคาดเดาวันเวลาไม่ได้เลย”“จริงของน้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”“เฮ้อ ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วขอรับ ข้าเพียงร้อนใจกลัวพวกท่านจะกลับออกมาไม่ทัน แล้วจะถูกขังไว้ในดินแดนลับนี้”ก่อนหน้านี้เขาร้อนใจแทบตาย วันแรก ๆ ก็ไม่เท่าใด ทว่าพอผ่านไปสองอาทิตย์ยังไม่เห็นวี่แววทั้งสองจะกลับออกจากถ้ำ พวกเขาก็เริ่มกระวนกระวาย ภายในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา กระทั่งจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรในมิติทับซ้อนแห่งนี้ต่อยังไม่มีเรี่ยวแรงหรือจิตใจอยากจะทำ ดีที่ช่วงแรกเก็บเกี่ยวของสำคัญ ๆ มาเยอะแล้ว จึงไม่น่าเสียดายเท่าใดนัก“เอาละ ๆ ตอนนี้พวกข้ากลับออกมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็วางใจเถิด”“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วขอรับ” เว่ยซือเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแง่งอน ส